ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 407 จะเข้าใจสถานการณ์ของฝั่งซีเป่ยได้อย่างไร
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม
- บทที่ 407 จะเข้าใจสถานการณ์ของฝั่งซีเป่ยได้อย่างไร
บทที่ 407 จะเข้าใจสถานการณ์ของฝั่งซีเป่ยได้อย่างไร?
บทที่ 407 จะเข้าใจสถานการณ์ของฝั่งซีเป่ยได้อย่างไร?
ต้นไม้ใบหญ้ายามคิมหันต์พากันแตกกิ่งก้านสาขาจนแน่นขนัด จู่ ๆ พายุฝนก็โปรยปรายลงมากระทบกับต้นไม้ใบหญ้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนเกิดเสียงซ่าๆ ดังอื้ออึงอย่างฉับพลัน
ท่ามกลางสายฝนยามราตรี เหยาซูกลับยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินเพียงลำพัง สติเลื่อนลอย ราวกับไม่รู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ใด และไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องทำสิ่งใดต่อไป
ท่ามกลางความมืดมิดของสายฝนอันเย็นเยือก โลกนี้พลันดูเหมือนถูกเจ้าเทาเถี่ย[1] กลืนกินก็มิปาน จู่ ๆ กลับปรากฏแสงสว่างกลุ่มหนึ่ง ณ ที่ไกลแสนไกล
เบื้องหลังของแสงสว่างนั้นคือเงาที่นางคุ้นเคยไม่เปลี่ยนแปลง
“อาเหรา…” เหยาซูเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าวอย่างอดไม่ได้ สายฝนได้ปะทะใบหน้าของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ทำให้เส้นผมของนางเปียกชุ่ม
กระทั่งเห็นหลินเหรายืนถือโคมไฟอย่างโดดเดี่ยว สาดส่องผ่านความมืดที่ไม่มีจุดสิ้นสุดแห่งนี้
สายฝนโหมกระหน่ำ ร่างของเขาถูกเม็ดฝนซัดสาดเข้ามาจนเปียกชุ่มไปทั่วตัว แม้แต่ชายเสื้อก็ยังเปื้อนไปด้วยโคลนและหยดน้ำ
เหยาซูรู้สึกได้เลือนรางว่าหลินเหราในตอนนี้เหมือนกับจะเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกล ร่างกายถึงได้หมดสภาพเช่นนี้ แต่ใบหน้าของเขายังคงซ่อนอยู่ภายใต้ม่านฝนที่หนาแน่น ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน
เนื่องด้วยเสียงฝนที่ค่อนข้างดัง ทำให้เหยาซูจึงต้องตะโกนขึ้นมา “อาเหรา รีบเข้ามาสิ!”
กระทั่งชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ทีละนิด เหยาซูจึงได้มองเห็นเขาอย่างชัดเจน
หญิงสาวตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนจะขานเรียกอีกครั้ง “อาเหรา…”
กระทั่งเห็นใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยสายฝน สีหน้าอิดโรย แต่สติกลับยังคงนิ่งสงบ แข็งแกร่งและเฉยชา
เพียงแต่หน้าผากและแก้มของเขา นอกจากจะเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดฝนแล้ว ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตไม่ขาดสาย ทำให้คนที่เห็นต้องตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่นัยน์ตาของเขาก็ยังแดงฉานและฉายชัดถึงความเจ็บปวดไม่จบสิ้น
เขาอ้าปากเล็กน้อย ดูจากรูปปากของเขาแล้วเห็นได้ชัดว่าเขากำลังขานเรียกคำๆ หนึ่งมานับครั้งไม่ถ้วน “อาซู…”
หลินเหราถือร่มในมือ ส่วนมืออีกข้างถือโคมไฟที่เด่นสะดุดตา เสียงนั้นได้ทะลุม่านฝนที่ตกกระหน่ำ ยามที่เข้ามาในหูของเหยาซู มันได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ และแสดงซึ่งความอิสระเสรี
เหยาซูกำลังจะอ้าปาก แต่กลับพบว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้
หญิงสาวมองไปทางหลินเหราที่เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว แล้วใช้สายตาที่กำลังวูบไหวจากความเจ็บปวดมองนาง ทว่าจนถึงตอนนี้ยังคงหยุดนิ่งบนระเบียงทางเดิน ไม่ยอมก้าวขึ้นหน้า
เขาส่งเสียงเรียกขานนางทีละคำ “อาซู อาซู…”
เหยาซูรีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว อยากจะพูดกับเขาว่านางอยู่ตรงนี้
หญิงสาวพยายามจะเดินเข้าไปใกล้ผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนนอกระเบียงทางเดิน แต่ร่างกายกลับถูกหยุดไว้ที่เดิม ขยับเขยื้อนไม่ได้
หญิงสาวอ้าปาก แล้วตะโกนเรียกชื่อของหลินเหราซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เสียงนั้นกลับไม่สามารถฝ่าม่านฝนออกไปได้ กระทั่งไม่สามารถเปล่งออกมาจากลำคอของตัวเองได้
แต่เหยาซูก็ยังพร่ำเรียกเขาไม่หยุด เหมือนกำลังคาดหวังว่าท่ามกลางเสียงเรียกนับครั้งไม่ถ้วน มันจะต้องมีสักเสียงหนึ่งที่สามารถเข้าไปในโสตประสาทของอีกฝ่ายได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด หลินเหราก็ขยับตัว
สุดท้ายเขาก็มองมายังนางที่ยืนอยู่บนระเบียงทางเดินแวบหนึ่ง สายตาคู่นั้นขจัดสิ้นความเจ็บปวด จากนั้นก็ถือร่มกระดาษที่ถูกสาดซัดอยู่ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำคันนั้น หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในความมืด
เหาซูร้องเรียกชื่อของเขาราวคนบ้า ร้องไห้คร่ำครวญให้เขากลับมา แต่เสียงนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ล้วนถูกกักขังอยู่ในร่างกายของตัวเอง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีเล็ดลอดออกมา
เหยาซูมองไปทางแผ่นหลังของหลินเหราที่ถูกความมืดกลืนกินทีละนิด โคมไฟที่แกว่งไปแกว่งมาท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายนั้นค่อย ๆ กลายเป็นแสงไฟเลือนรางชัดบ้างไม่ชัดบ้าง สุดท้ายก็หายไปท่ามกลางความมืดดำอันไม่มีที่สิ้นสุด
เหยาซูร้องไห้สะอื้นอย่างสิ้นหวังและหมดแรง แต่กลับได้ยินแค่เสียงพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงกระทบกับดอกไม้ใบหญ้าที่แน่นขนัด กระทบกับเสาคานบ้าน และแผ่นไม้ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ นางอยู่เฉย ๆ ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงเสียงฝนจากทั่วสารทิศที่กำลังกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง
ยามที่นางไม่ได้ยินเสียงเขา ไม่ได้เห็นเขา ก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้สูญเสียเขาไปตลอดกาล
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป?”
เหยาซูสะดุ้งตื่นจากความฝันอย่างละลืมสะลือ พลันรู้สึกว่าทั้งร่างถูกห่อหุ้มไปด้วยคลื่นแห่งความสิ้นหวัง ลมหายใจที่ติดขัดอย่างรุนแรงสุดแสนจะน่ากลัวนั้น ได้กอบกุมหัวใจที่แตกสลายของนางไว้แน่น
มือเล็ก ๆ ที่แสนอบอุ่นข้างลูบใบหน้าของนาง เช็ดหยาดน้ำตาที่เย็นเยือก เสียงอันแผ่วเบานั้นยังคงเรียกหานางตลอด “ท่านแม่ ท่านแม่ ตื่นเร็วเข้า ท่านกำลังฝันร้ายเจ้าค่ะ”
เหยาซูลืมตาโพลงทันใด แสงไฟสีส้มเรืองรองภายในห้องนำพาความอบอุ่นมาให้หญิงสาว อาซือนั่งอยู่ข้างกายของนาง มือเล็ก ๆ ที่แสนนุ่มนวลนั้นได้เช็ดน้ำตาให้นางอยู่เสมอ
ใบหน้าของเด็กหญิงแสดงสีหน้าเป็นกังวล จากนั้นก็ขานเรียกนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ ท่านดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
เหยาซูบังคับให้ตัวเองออกจากฝันร้ายที่สิ้นหวังนั้น หลังจากปรับสภาพจิตใจให้สงบลงได้บางส่วนแล้ว จึงคลี่ยิ้มเหมือนกับปลอบใจก็มิปาน “แม่ไม่เป็นไร แค่ฝันร้ายเท่านั้น”
มืออวบอ้วนของอาซือเลื่อนขึ้นไปแตะหน้าผากของเหยาซูครู่หนึ่ง และแล้วนัยน์ตาที่สุกสกาวของเด็กหญิงก็ฉายแววกังวล จากนั้นก็พูดเสียงต่ำว่า “ท่านแม่ ท่านแม่มีไข้เจ้าค่ะ”
เหยาซูจึงเพิ่งตระหนักได้ ที่แท้ความเย็นเยือกลึกเข้ากระดูกในความฝันนั้นไม่ใช่จินตนาการของนาง หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวไปทั่วทั้งร่างกาย แม้แต่เรี่ยวแรงในการยกแขนก็ยังไม่มี เป็นไข้อย่างที่คิดไว้จริง ๆ
แต่ต่อหน้าของลูกสาว เหยาซูจึงต้องปิดบังความไม่สบายใจไว้ ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางพูดกับอาซือว่า “แม่ไม่เป็นไร คงเป็นเพราะเป็นหวัด คืนนี้ห่มผ้าสักหน่อย รุ่งสางก็ค่อยเชิญท่านหมอมาตรวจอาการ”
เด็กหญิงนอนลงข้างกายของเหยาซู แล้วขดตัวอยู่ข้างกายผู้เป็นแม่ พลางพูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ในยามที่ฝันเมื่อครู่ ท่านแม่เอาแต่เพ้อชื่อของท่านพ่อตลอด ท่านแม่เป็นห่วงท่านพ่อใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ดวงตาสีดำดุจนิลคู่นั้นได้ถูกปกปิดด้วยหนังตาที่ตกลงมา ขนตายาวที่เรียงตัวกันเป็นแพได้ทิ้งเงาอึมครึมบางอย่างไว้บนแก้ม
ครั้นเห็นสีหน้าหดหู่ของลูกสาว เหยาซูจึงลูบศีรษะของอาซือ และไม่มีการปฏิเสธ “แม่เป็นห่วงพ่อเจ้ามาก และก็ถวิลหาเขามากเช่นกัน”
เด็กสาวกัดริมฝีปากเบา ๆ และยังคงคลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเหยาซู ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ ข้าเองก็ถวิลหาท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านพ่อจะกลับมาเมื่อใด…”
เหยาซูนึกถึงข้อความที่ได้รับเมื่อตอนกลางวันอีกครั้ง จู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในใจ จนเกือบหลั่งหยาดน้ำตาออกมาอีกครา
แต่เนื่องจากลูกสาวยังอยู่ในอ้อมกอด นางจะร้องไห้ได้อย่างไร?
เหยาซูโอบกอดลูกสาวไว้ ใช้น้ำเสียงที่เบาที่สุด แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่ยอมให้เล็ดลอดออกมา
“อาซือวางใจเถอะ รอให้ท่านพ่อเสร็จสิ้นสงคราม เขาจะต้องกลับมาแน่นอน เขาก็เหมือนกัน คงจะคะนึงหาถึงเราอยู่ในใจตลอดเวลา”
เหยาซูปลอบใจอาซือด้วยเสียงแผ่วเบา ส่วนตัวเองก็ค่อย ๆ เผลอหลับไป รู้สึกแค่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เหมือนร่างกายอยู่ระหว่างความรุ่มร้อนและความเหน็บหนาว ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด
ยามหญิงสาวตื่นจากการหลับไหลอีกครั้ง ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว หัวเตียงมียาสีดำชามหนึ่งวางอยู่ ซึ่งตอนนี้มันเย็นชืดไปหมดแล้ว
เหยาซูแตะศีรษะด้วยจิตใต้สำนึก พบว่ามีผ้านุ่มเปียกน้ำผืนหนึ่งวางอยู่บนหน้าผาก
“ท่านแม่ ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ?”
เด็กชายได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเดินเข้ามาจากลานบ้าน พร้อมกับยาชามหนึ่งในมือ
เหยาซูลุกขึ้นมานั่ง พลางถามว่า “อาจื้อ เจ้ากลับมาได้อย่างไร?”
สองสามวันนี้อาจื้อจะต้องร่ำเรียนอยู่ในสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนตลอด ทุกเดือนจะมีเวลาให้กลับบ้านได้เพียงสองครั้ง เหยาซูจำได้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่เขาต้องกลับบ้าน
กระทั่งเห็นเด็กชายคลี่ยิ้ม พลางวางยาในมือลงข้างเตียง จากนั้นก็ยกยาที่เย็นชืดไปแล้วชามนั้นมาวางด้านข้าง
อาจื้อพูดเสียงเบา “เมื่อวานช่วงพลบค่ำท่านแม่มีไข้สูงมาก น้องข้าเชิญหมอไม่ได้ เลยไปหาคนที่จวนไป๋ ข้าได้ยินข่าวนี้ ประกอบกับวิชาเรียนไม่เยอะพอดี วันนี้จึงรีบตรงกลับบ้านขอรับ”
ขณะพูด เด็กชายได้ใช้ริมฝีปากแตะขอบชามใส่ยา แล้วพูดว่า “ยังร้อนอยู่ ท่านแม่เดี๋ยวค่อยดื่มก็ได้ขอรับ”
เหยาซูตื่นขึ้นมาคราวนี้ไม่ได้รู้สึกหนาวเพียงนั้นแล้ว แต่ร่างกายยังคงไร้เรี่ยวแรง
หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ก็แค่มีไข้ ไฉนจะต้องแห่กันมาเช่นนี้?”
อาจื้อไม่พูดสิ่งใด ทำเพียงยิ้มออกมา
ครั้นเหยาซูเห็นใบหน้าที่แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ของเจ้าลูกชาย กระทั่งนึกถึงท่าทางของหลินเหราในฝันเมื่อคืนอีกครั้ง ใบหน้าของสองพ่อลูกค่อย ๆ ประสานเป็นหนึ่งเดียว และปรากฏอยู่ตรงหน้าของนาง
เหยาซูมองไปทางอาจื้อด้วยนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสติกลับมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไข้นี้ค่อนข้างรุนแรง ข้าเองก็ยังเหม่อลอย”
อาจื้อได้ยินน้องสาวบอกว่าเมื่อคืนมารดาของตนนั้นเอาแต่พร่ำเพ้อแต่ชื่อของท่านพ่อตลอด เขาจึงไม่พูดอะไรมากความนัก แค่เป่ายาในชาม และพูดกับเหยาซูว่า “กินยาตอนร้อน ๆ ถึงจะได้ผลดีขอรับ ตอนนี้ยังร้อนอยู่ ท่านแม่ข้าจะไปหยิบช้อนมาป้อนยาให้ท่านแม่นะขอรับ”
ไม่รอให้เหยาซูปฏิเสธ อาจื้อลุกขึ้นและออกไปทันใด ไม่นานก็หยิบช้อนขนาดเล็กเข้ามา แล้วเริ่มป้อนยาให้กับผู้เป็นแม่
เหยาซูไม่ค่อยได้รับการดูแลจากลูกชายคนนี้นัก จึงรู้สึกแปลกประหลาดจนพูดไม่ออก รู้สึกตื้นตันและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน
สีหน้าของเด็กชายนิ่งสงบ กระทั่งมีภาพเค้าโครงของผู้เป็นพ่อปรากฏขึ้นมา “ท่านแม่กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?”
เหยาซูกลืนยาในปาก คลี่ยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่มีอะไร แม่แค่รู้สึกว่า ลูกชายของแม่โตแล้ว”
อาจื้ออดทนป้อนยาในชามให้กับผู้เป็นแม่ทีละช้อน โดยไม่ให้กระเด็นออกมาแม้แต่น้อย ตั้งใจเอาใจใส่จนแม้แต่เหยาซูก็รู้สึกเหมือนตัวเองไม่เข้าใจลูกชายคนนี้มาเนิ่นนาน
หลังจากป้อนยาให้แก่เหยาซูเป็นคำสุดท้าย อาจื้อก็หยิบน้ำชาให้นางดื่มล้างปาก
เมื่อเขาจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็คุกเข่าลงข้างเตียงของมารดา ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปดึงมือของเหยาซูอย่างแผ่วเบา แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ท่านแม่พูดถูก ลูกชายคนนี้โตแล้ว ต่อไปจะดูแลท่านแม่กับน้องสาวเองขอรับ”
เหยาซูยิ้ม สายตาคู่นั้นฉายแววอบอุ่นอย่างอ่อนโยน
สายตาของอาจื้อกลับเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก “สงครามทางซีเป่ย ความลำบากยากเข็ญของท่านพ่อ ข้าได้ยินมาจากท่านลุงแล้วขอรับ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าจะคิดหาทางเองขอรับ”
เหยาซูเงียบสนิทก่อนจะปรายตามองอาจื้อ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เดิมทีนางตั้งใจจะปิดบังพวกเด็ก ๆ หลินเหราอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ ซึ่งนั่นต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ
เพราะเด็ก ๆ อาจจะไม่สามารถรับได้ แต่เป็นนางที่นั่งกระวนกระวายใจ ทั้งยังมีไข้สูงตลอดทั้งคืนเช่นนี้
ไม่รู้ว่าเพื่อปลอบใจเด็ก ๆ หรือว่าปลอบใจตัวเองกันแน่ เหยาซูลูบศีรษะของลูกชาย แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจื้อ พ่อของเจ้าจะต้องพลิกจากร้ายกลายเป็นดีได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่าง เรื่องทางซีเป่ย ห้ามให้น้องสาว ท่านตาและท่านยายของเจ้ารู้เด็ดขาด”
อาจื้อร่ำเรียนตำราในสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนร่วมสองเดือนแล้ว จึงมีท่าทางของวัยรุ่นแสดงออกมาทางอากัปกิริยา บางเหตุผลที่ไม่เข้าใจก่อนหน้านั้น ตอนนี้ก็ค่อย ๆ เข้าใจขึ้นมา
ครั้นเขาได้ยินก็เงยหน้าแล้วพูดเสียงเบา “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านรักษาตัวเองอย่างสบายใจเถอะขอรับ เรื่องทางฝั่งซีเป่ย ข้าจะคอยสอบถามอยู่ตลอด”
เหยาซูยิ้ม แม้ว่าจะพยักหน้าตอบรับ แต่ในใจกลับไม่ได้เก็บเอาคำพูดของอาจื้อมาใส่ใจ
เขายังเป็นแค่เด็ก จะเข้าใจสถานการณ์ทางฝั่งซีเป่ยได้อย่างไร?
รออีกสักหน่อย ถ้ายังไม่มีข่าวคราวของหลินเหรา นางจะไปซีเป่ยด้วยตัวเอง
ในเมื่อหาไม่เจอ เช่นนั้นก็ไปอยู่ใกล้เขา ใกล้เขาอีกสักหน่อย…
…………………………………………………………………………………………………..
[1] เทาเถี่ย (饕餮) สัตว์ปีศาจแห่งความตะกละ รูปคล้ายหมาป่า มีนิสัยตะกละตะกลาม ในสมัยโบราณผู้คนจึงนำมาประดับไว้บนภาชนะที่บรรจุของเซ่นไหว้ และเนื่องจากเทาเถี่ยเป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้ายและตะกละ ดังนั้น จึงใช้เปรียบเปรยถึงบุคคลที่เห็นแก่กินและละโมบโลภมาก
สารจากผู้แปล
ตอนนี้เศร้ามากเลยค่ะ อาซูรอจนตรอมใจล้มป่วยอะ ขอให้พี่เหราอย่าเป็นอะไรเลยนะ
ไหหม่า(海馬)