ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 410 ช่วงนี้ซานเป่าเป็นอย่างไรบ้าง
บทที่ 410 ช่วงนี้ซานเป่าเป็นอย่างไรบ้าง?
บทที่ 410 ช่วงนี้ซานเป่าเป็นอย่างไรบ้าง?
หลังจากที่อาการป่วยของเหยาซูดีขึ้น นางก็ค่อย ๆ เข้ามารับมือกับกิจการร้านอาหารและร้านค้าต่อ
หลายวันที่รักษาตัว คนอื่นๆ ในบ้านก็ไม่ยอมให้นางเป็นกังวลเรื่องกิจการเลย แค่กำชับให้ดูแลรักษาตัวให้ดีเท่านั้น
แม้เหยาซูจะยังไม่วางใจ แต่เพราะความอ่อนแอเหนื่อยล้าของร่างกายเรื่องหนึ่ง เพราะความเป็นห่วงหลินเหราอีกเรื่องหนึ่ง จึงไม่อาจขัดความเป็นห่วงเป็นใยนี้ได้
อากาศในต้นฤดูสารทนำความหนาวเย็นเข้ามาในวันนี้ เหยาซูจึงพาอาซือไปยังร้านขายผ้าเหยาจี้
ครั้นเถ้าแก่อู๋เห็นเหยาซู เขาก็ถึงกับคลี่ยิ้มจนเกิดรอยย่นบนใบหน้าเลยทีเดียว “ไอหยา นายหญิงขอรับ! ในที่สุดนายหญิงก็มาสักที ได้ยินว่าป่วยตลอดทั้งเดือน ตอนนี้สุขภาพร่างกายดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
เหยาซูปล่อยมือของอาซือ ให้เด็กน้อยไปเล่นอยู่ในร้าน ระหว่างนั้นก็กล่าวทักทายเถ้าแก่อู๋ไปพลาง “ขอบคุณในความห่วงใยของเถ้าแก่ อาการป่วยของข้าดีขึ้นมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายดีขึ้นโดยสมบูรณ์ ท่านแม่คงไม่อนุญาตให้ข้าออกจากบ้านหรอก”
เถ้าแก่พินิจมองสีหน้าของเหยาซู ก่อนจะพูดอย่างทอดถอนใจ “ผอมไปแล้ว ผอมไปแล้ว! อาการป่วยนี้ทรมานคนยิ่งนัก ถือโอกาสในช่วงฤดูสารทและฤดูเหมันต์ปีนี้บำรุงร่างกายให้ดีขึ้น เอาความมีน้ำมีนวลที่หายไปนี้กลับมาคืนมาดีกว่าขอรับ”
แม้ว่าต้าเยี่ยนจะไม่อาศัยความสมบูรณ์มากำหนดความงดงาม แต่สำหรับผู้คนมากมายนั้นความอ้วนท้วนบริบูรณ์ถือว่างดงามที่สุด
สำหรับเถ้าแก่อู๋แล้ว ผู้เป็นนายงดงามผุดผ่องเสมอ แต่เพราะพิษไข้ในคราวนี้ลดความสมบูรณ์ของนางไปสองส่วน ซึ่งอาการป่วยในสองส่วนนี้อาจมีความหมายอื่นแอบแฝง แต่ไม่ว่าอย่างไร ในใจก็หวังเพียงแค่ให้ร่างกายของเหยาซูนั้นดีขึ้น
เหยาซูยิ้มรับในความหวังดีของเถ้าแก่อู๋ จากนั้นก็ถือโอกาสถามไถ่ถึงสถานการณ์ของร้านในช่วงนี้
เถ้าแก่อู๋รายงานกลับด้วยรอยยิ้ม “ลูกค้าในร้านของเรายังมีมาเรื่อย ๆ ประกอบกับร้านเสื้อผ้าที่เปิดคู่กัน การค้าขายจึงยิ่งเยอะขึ้นขอรับ ตอนนี้อย่าว่าแต่ทั้งเมืองหลวงเลย ถ้าจะเอ่ยถึงร้านขายผ้าทางทิศตะวันตกของเมือง ถือว่าร้านขายผ้าเหยาจี้ของเรามีชื่อเสียงที่สุด”
เหยาซูรับสมุดบัญชีในมือของเขา แล้วเปิดดูอย่างไม่ได้ใส่ใจพลางตอบรับคำสองคำ
กระทั่งได้ยินเถ้าแก่อู๋พูดอย่างทอดถอนใจ “ต้องขอบคุณวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของนายหญิงขอรับ ทำให้ข้าได้ตุนผ้าทั่วไปไว้ในร้านล่วงหน้าไม่น้อย สีที่เคยขายยากในช่วงก่อนหน้านั้น เดือนนี้ยอดขายถือว่าไม่เลวเลย นายหญิงคาดเดาเหตุการณ์ได้ดั่งเทพสวรรค์เลยจริง ๆ ขอรับ!”
เหยาซูคลี่ยิ้ม แล้วส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้นที่รู้ว่าลูกค้าชอบอะไร บางรูปแบบของเสื้อที่มีในร้านยังคงความเรียบง่ายและสุขุม จะต้องมีบางคนที่ชื่นชอบอย่างแน่นอน ประกอบกับกระแสความนิยมสีสันฉูดฉาดก็อยู่มาหลายปีแล้ว ตอนนี้ย่อมค่อย ๆ ซาลงและแปรผันไปบ้าง
สองสามวันนี้เถ้าแก่อู๋มักจะได้รับการขัดเกลาในด้านความคิดของการทำการค้าในมุมของเหยาซูเสมอ จวบจนตอนนี้ก็เข้าใจได้ในที่สุด
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูท่านายหญิงจะคิดเผื่อลูกค้า ถึงได้ทำการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดออกมาเสมอขอรับ”
หนึ่งในหลักการทำมาค้าขายของเหยาซูคือการมองการณ์ไกล หากอยากจะพัฒนาไปให้ไกลที่สุด ผู้นำต้องก้าวนำหน้ากระแสมากกว่าจะถูกจูงจมูกเดิมตามกระแส
คำพูดเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อน เหยาซูไม่ได้จะเสวนาพาทีถึงเรื่องเหล่านี้กับเถ้าแก่อู๋ในตอนนี้ แค่ถามไถ่ถึงสถานการณ์ในร้านช่วงนี้ว่าเกิดเรื่องอะไรที่จัดการได้ยากบ้างหรือไม่
เถ้าแก่อู๋จึงตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ และพูดอีกว่า “ยามนายหญิงไม่อยู่ ร้านค้าทางทิศตะวันออกผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงเกิดปัญหาขึ้นไม่น้อย แต่ไม่นานก็แก้ไขได้ขอรับ”
เหยาซูยังคงเชื่อมั่นในความสามารถของเถ้าแก่อู๋ จึงไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ
แต่เถ้าแก่อู๋กลับเอ่ยขึ้นเองว่า “นายหญิงคงจะได้ยินเรื่องของร้านขายผ้าจิ่นซิ่วมาบ้างแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
แม้ว่าเหยาซูจะไม่สนใจเรื่องนี้ แต่สองสามวันนี้สะใภ้รองเหยาได้พูดกับนางอยู่ไม่น้อย นายจึงพูดกับเถ้าแก่อู๋ว่า “ได้ยินว่ายังหาตัวเถ้าแก่ของร้านขายผ้าจิ่นซิ่วไม่พบหรือ?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เถ้าแก่อู๋จึงได้แสดงสีหน้าสะใจบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างไม่หลีกเลี่ยง และคลี่ยิ้มตาหยีพลางพูดว่า “หาไม่เจอแล้ว ฝูงคนดั่งมหาสมุทร ไฉนเลยจะหาคนคนเดียวเจอได้ง่าย? ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นก็หาใช่คนในเมืองหลวง อีกทั้งไม่แน่ว่าเป็นคนของจวนตู้หรือไม่ แม้แต่สัญญาการซื้อขายก็ไม่มี”
เหยาซูคิดในใจ ‘เช่นนั้นไม่ทำให้ตู้เหิงโกรธจนหูดับไปแล้วหรือ’
ประกอบกับการส่งเรื่องฟ้องถึงโรงศาลแล้ว ทั่วทั้งเมืองหลวงจึงรู้จักเถ้าแก่ของร้านขายผ้าตู้เหิงที่ชิงหนีไปและลูกน้องที่เคยอยู่ใต้อาณัติของนาง เมื่อเป็นเช่นนี้ ตู้เหิงจอมหยิ่งผยองรักชื่อเสียงหน้าตาเป็นชีวิตจิตใจ จะเชิดหน้าชูคออยู่ในเมืองหลวงต่อได้อย่างไร?
ครั้นคิดเช่นนี้ เหยาซูจึงได้ตระหนักถึงความสุขจากความยินดีบนความทุกข์ของผู้อื่นขึ้นมาบ้างแล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าชักอยากเห็นแล้วสิ เกิดเรื่องน่าขบขันดังกระฉ่อนมากเพียงนี้ ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วจะเปิดต่อไปอย่างไรได้”
เถ้าแก่อู๋กลั้วหัวเราะในลำคอแล้วพูดว่า “เปิดต่อไปไม่ได้อยู่แล้วขอรับ ได้ยินว่าลูกจ้างในร้านขายผ้าของพวกเขาต่างก็พากันออกไปบางส่วน เมื่อสองสามวันก่อนก็มีบางคนคิดจะมาฉกฉวยโอกาสจากเรา จึงถูกข้าไล่ตะเพิดกลับไป”
เหยาซูเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “ตั้งใจจะมาหาเรื่องถึงร้านคู่แข่งเชียวหรือ? ฝังนั้นคงจะเปิดร้านต่อไปไม่ได้แล้วกระมัง”
เถ้าแก่อู๋ยิ้มเยาะ “นั่นน่ะสิขอรับ! ตอนนี้ร้านขายผ้าของพวกเขาปิดทำการลงแล้ว พวกลูกจ้างต่างก็ต้องกินข้าว ไม่ออกเงินเดือนให้ ใครเล่าจะยอมขายชีวิตให้แก่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่ว?”
ครั้นนึกถึงชื่อเสียงใหญ่โตของร้านขายผ้าจิ่นซิ่วในช่วงแรก เหล่าลูกจ้างในร้านแทบจะดูถูกผู้อื่นกันทุกคน ตอนนี้ดั่งความหมายที่ว่าไม้ล้มลิงกังกระเจิง[1] ก็มิปาน
เหยาซูยังพูดคุยเรื่องทั่วไปกับเถ้าแก่อู๋อีกเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วตรงไปยังร้านเสื้อผ้าที่อยู่ถัดไป
ร้านขายเสื้อผ้าแห่งนี้ดำเนินการในนามของเหยาจี้ หลัก ๆ ก็จะเป็นเซวียหรงและเหยาซูคอยดูแล เจี่ยงฉีเป็นเพียงหุ้นส่วนในเรื่องการเงินเท่านั้น
หลังจากที่เหยาซูเปิดร้านขายเสื้อผ้าได้ไม่นานก็ล้มป่วยมาตลอด เรื่องจิปาถะภายในร้านขายเสื้อผ้าจึงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของเซวียหรง
ขณะที่เซวียหรงกำลังอบรมลูกจ้างนั้น ก็เห็นเหยาซูพาอาซือเดินเข้ามา ความโกรธบนใบหน้ามลายไปหมดเกลี้ยง เหลือเพียงความยินดี “อาซู เจ้ามาได้อย่างไร?”
เหยาซูยิ้มเยาะเล็กน้อย “มาดูพี่สิ หลายวันนี้พี่เซวียคงจะลำบากแย่”
เซวียหรงด่านางด้วยรอยยิ้มฉากหนึ่ง “ถือว่าเจ้ายังมีมโนธรรมสำนึก หายป่วยแล้วรีบมาดูร้าน ถ้าไม่มาอีก ข้าจะไม่เปิดร้านนี้แล้วนะ!”
อาซือชอบเซวียหรงในยามที่อารมณ์ดีสดใสที่สุด จึงเดินมาตรงหน้านาง แล้วขานเรียกด้วยเสียงหวาน “ท่านป้าเซวียเจ้าคะ”
รอยยิ้มของเซวียหรงกว้างขึ้นทันใด จากนั้นก็บีบแก้มอันผุดผ่องของอาซือ แล้วพูดด้วยความรักใคร่ว่า “อาซือหลานรัก ป้าไม่ได้เจอเจ้าตั้งหลายวัน อาสะใภ้หูของเจ้าคิดถึงเจ้าแย่แล้ว”
ครั้นเหยาซูเห็นลูกสาวได้รับการต้อนรับดีกว่าตนเอง จึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หาที่นั่งพักกาย
เซวียหรงให้อาซือไปเล่นกับพวกช่างตัดเย็บหลังร้าน ก่อนจะนั่งลงข้างกายของเหยาซู และเอ่ยถามนาง “อาการป่วยดีขึ้นมากแล้วหรือ? ท่าทางของเจ้าเมื่อสองสามวันก่อนทำข้ากังวลแทบแย่ แต่ในร้านยามนั้นเกิดปัญหาจึงปลีกตัวออกไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงได้ไปกวนเจ้าทุกวัน ของดีไม่น้อยจากจวนเซี่ยที่ข้ายกให้เจ้า ได้กินได้ใช้บ้างหรือไม่เล่า?”
หญิงสาวพรรณนาไปเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่ง กระทั่งเร่งความเร็วขึ้น เหยาซูถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ตอบรับนางไปเท่านั้น
“ดีขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถ้ายังป่วย ธรณีประตูในบ้านข้าก็คงก้าวไม่พ้น แต่ของดีที่เจ้าส่งมาจากจวนเซี่ยนั้น…”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เหยาซูก็ต้องปวดหัวและพูดอย่างจนปัญญา “ล้วนแต่เป็นยาบำรุงเสียส่วนใหญ่ ข้ายังอ่อนเยาว์อยู่เลย จะกินของเหล่านั้นไปด้วยเหตุใด”
เซวียหรงเอ่ยด้วยเหตุผล “ป่วยมาตั้งนานก็ต้องบำรุงเป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เจ้าไม่ใช้ พ่อแม่ของเจ้าก็ยังใช้ได้”
เหยาซูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะพูดกับนางว่าอย่างไร
กระทั่งได้ยินเซวียหรงพูดอีกว่า “ข้าอยู่ที่นี่เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ถึงอย่างไรข้าก็พักอยู่ในจวนเซี่ย พี่เชียนเห็นข้าเป็นน้องสาว ยาที่อยู่ในจวนของเขา ตลอดชีวิตนี้ข้าก็คงกินไม่หมด ข้าเลยนำมาให้เจ้า จะได้ไม่สิ้นเปลือง”
ขณะพูด นางได้พูดเสริมอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเองก็จะได้ไม่เรียกเขาว่าท่านน้าโดยเปล่าประโยชน์”
เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ เหยาซูก็อดพูดแขวะไม่ได้ “ข้าเรียกท่านน้า เจ้าเรียกพี่เชียน ถือว่าเราไม่ใช่รุ่นเดียวกันนะ”
เซวียหรงหัวเราะออกมา ขณะที่กำลังจะแสดงความคิดเห็น กลับถูกเหยาซูดักทางด้วยความระแวดระวัง “อย่าพูดนะ! พี่อยากเป็นย่าของอาซือ หรือว่าอยากจะเป็นน้าสะใภ้ของข้าละ?”
เซวียหรงกลืนคำพูดในปากกลับลงไป ก่อนจะพูดด้วยความกลัดกลุ้มใจว่า “คนเรามีสติปัญญาตื้นเขิน ใช้ประโยชน์ในด้านอารมณ์ คิดจะเอาเปรียบเจ้าคงทำไม่ได้…”
เหยาซูคลี่ยิ้ม นัยน์ตาดอกท้อสุกสกาวคู่นั้นได้โค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ปกตินางมักผัดแป้งฝุ่นบางเบาอยู่แล้ว และไม่ชอบใช้ของจำพวกชาดปากด้วย แต่วันนี้เห็นสีหน้าไม่ดี จึงใช้ชาดปากแต้มสีสัน พาให้รอยยิ้มนั้นดูสดใสงดงามดั่งดอกสาลี่เลยทีเดียว
เซวียหรงพิจารณาใบหน้าของเหยาซู แล้วพูดด้วยความทอดถอนใจเบา ๆ “ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าเหตุใดคนโบราณถึงกล่าวว่า ‘ดอกสาลี่ต้องฝนพรำ’ เป็นสิ่งที่งดงาม แต่เมื่อเห็นยามนี้ที่เจ้าป่วยยังงดงามดั่งดอกสาลี่ได้เพียงนี้ หากร้องไห้ขึ้นมา ใครเล่าจะทนรับไหว?”
เหยาซูรู้สึกประหม่ากับสายตาที่นางจับจ้องมา ถึงกับต้องจิบชาแล้วเมินหน้าไปทางอื่น “ดอกมงดอกไม้อะไรกันเล่า ชอบนักนะกับการเอาคำพูดเหลวไหลมาเปรียบเทียบ…ยิ่งไปกว่านั้นคนโบราณที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นคือผู้ใดเล่า?”
น้อยนักที่นางจะแสดงอาการที่ดูลำบากใจเช่นนี้ กระทั่งเห็นเซวียหรงหัวเราะออกมา
เหยาซูวางจอกชาลง ตัดสินใจว่าจะแสดงความสดใสให้เซวียหรงได้เห็น ให้นางได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ดอกสาลี่ที่บอบบางและนุ่มนวลดอกนั้น ต่อให้ถูกสายลมโชยพัดต้องหยาดฝนกระหน่ำในฤดูวสันต์ ก็ยังถูกเชยชมว่าเป็นความอ่อนโยนนุ่มนวลที่ควรค่าแก่การทะนุถนอม
“พี่เซวีย ช่วงนี้ซานเป่าเป็นอย่างไรบ้าง?” หญิงสาวตัดสินใจเปิดประเด็นด้วยเรื่องของลูกชายที่อาศัยอยู่ในจวนเซี่ยเป็นอับดับแรก
………………………………………………………………………………………………….
[1] ไม้ล้มลิงกังกระเจิง (树倒猢狲散 ) เมื่อต้นไม้ล้มฝูงลิงก็แยกย้ายไปคนละทิศละทาง เปรียบเทียบกับการกำจัดผู้ชั่วช้าที่มีอำนาจบารมี เมื่อกำจัดตัวหัวหน้าใหญ่ได้เมื่อใด ลูกน้องต้องแยกย้าย แตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง
สารจากผู้แปล
อาซูคัมแบคแล้ว กิจการยิ่งรุ่งเรืองๆ แน่นอนค่ะ
ไม่เห็นซานเป่ามานานเลย ตอนนี้เป็นยังไงบ้างน้า
ไหหม่า(海馬)