ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 412 เด็กหญิงทำให้ปวดใจ
บทที่ 412 เด็กหญิงทำให้ปวดใจ
บทที่ 412 เด็กหญิงทำให้ปวดใจ
สมุดบัญชีของร้านขายเสื้อผ้าเหยาจี้ เป็นสมุดที่เซวียหรงทำขึ้นมาเอง ทุกถ้อยคำ ถูกเขียนขึ้นมาอย่างชัดเจน
ประกอบกับลายมือที่ช่างงดงามของนาง เมื่อเปิดดูก็พบว่าสมุดบัญชีเล่มนี้ดูสบายตายิ่งนัก
เหยาซูพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลายมือที่งดงามของพี่เซวีย กลับมาใช้กับอาชีพนักบัญชี ช่างไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย”
เซวียหรงเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดนับตั้งแต่เปิดร้านขายเสื้อผ้ามา เพราะในร้านยังหานักบัญชีที่เหมาะสมไม่ได้ จึงต้องให้นางมาดูแลในส่วนของสมุดบัญชีแทน
ครั้นได้ยินเหยาซูหยอกเย้าตัวเอง เซวียหรงจึงพูดว่า “อย่าว่าแต่นักบัญชีเลย ตอนนี้ข้าผันตัวมาเป็นเถ้าแก่ร้านไปแล้วครึ่งหนึ่ง! เจ้าและอาฉีสองคน คนหนึ่งก็ป่วย อีกคนก็วางมือไม่สนใจ ลำบากข้าน่ะสิ”
เหยาซูกุมท้องหัวเราะอย่างอดไม่ได้ แม้แต่สมุดบัญชีก็แทบจะถือไม่ไหวไปชั่วขณะ
“รีบดูสิ อย่ามัวแต่หัวเราะ ดูสิว่าร้านของเราสร้างเงินได้เท่าไร?” เซวียหรงพูด
สมุดบัญชีเล่มนั้นระบุรายการชัดเจน เหยาซูหาตัวเลขสรุปในช่วงสุดท้ายของรายการได้อย่างง่ายดาย
นอกจากกิจกรรมส่วนลดมากมายในตอนที่เปิดร้านขายเสื้อผ้าเมื่อสามวันก่อน ที่มีลูกค้าหลั่งไหลกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีเงินเข้าร้านมากขึ้นแล้ว ระยะเวลาหลังจากนั้นอีกเกือบเดือน ก็ยังคงรักษาในสามส่วนเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้นได้อย่างดี
เหยาซูดูอย่างละเอียด กระทั่งเปิดมาถึงหน้าสุดท้าย หลังจากที่เห็นตัวเลขรายรับของเดือนนี้ จึงอดพูดอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “พี่เซวียช่างมีความสามารถยิ่งนัก!”
เซวียหรงยิ้ม “จะเป็นความสามารถของข้าได้อย่างไรกัน? เดือนนี้รวม ๆ แล้วเรามีรายได้เข้ามาถึงสองพันห้าร้อยหกสิบเจ็ดตำลึงเชียวล่ะ”
สองพันกว่าตำลึง ถ้าเป็นร้านอาหารของนาง ในหนึ่งเดือนยังไม่เคยมีรายได้ถึงเพียงนั้น!
เหยาซูพยายามข่มหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนี้ไว้ พลางพูดกับเซวียหรงด้วยเสียงเบาว่า “เท่าที่ดู พี่เซวียยังต้องจัดการทำบัญชีต่อไป แม้ว่าร้านของเราจะไม่ใหญ่นัก แต่การแข่งขันกลับไม่น้อย ถ้าถูกผู้อื่นล่วงรู้เข้า คงจะเกิดความอิจฉาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เซวียหรงพยักหน้า จากนั้นก็กดเสียงต่ำแล้วพูดว่า “ข้าก็ว่าอย่างนั้น ตอนนี้นักบัญชีก็ยังหาที่เหมาะสมไม่ได้ กิจการร้านขายเสื้อผ้าของเราต้องการคนที่มีความเข้าใจ เป็นงาน และที่สำคัญต้องซื่อสัตย์”
เมื่อเอ่ยถึงความซื่อสัตย์ เหยาซูก็อดประหลาดใจไม่ได้ “ได้ยินว่าเถ้าแก่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วเคยเป็นคนของตู้เหิงมาก่อนใช่หรือไม่? ถึงขนาดเชิดเงินไปหมดเกลี้ยง ใจคนเรายากคาดเดายิ่งนัก”
เซวียหรงแบะปากแล้วพูดว่า “ใจคนเรายากคาดเดามันก็ด้านหนึ่ง แต่ถ้าเจ้าเห็นว่าแม่นางตู้ผู้นั้นปฏิบัติตัวกับคนที่ทำงานอยู่ใต้บัญชาของนางอย่างไร เจ้าจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงหนีไป”
เหยาซูพยักหน้าเห็นด้วย
ในแต่ละเดือนเถ้าแก่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วหยิบเงินออกมาเท่าไร พวกนางไม่รู้ แต่เมื่อสองสามวันก่อนลูกจ้างของร้านได้ไปโวยวายจะเอาเงินเดือนก้อนนั้น เสียงดังเอะอะโวยวายไปทั่วจนทุกคนต่างได้ยิน
เหยาซูก็เพิ่งรู้ว่าลูกจ้างของร้านขายผ้าจิ่นซิ่วได้รับเงินเดือนที่น้อยมาก และยังห่างไกลกว่าเงินเดือนของร้านเหยาจี้มากโข
ทั้งสองคนยังพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง เซวียหรงพลิกเปิดสมุดบัญชีถึงกับกลั้นความตื่นเต้นนั้นไว้ไม่ได้ “เดิมทีข้าคิดว่ากิจการร้านขายผ้าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสมุดบัญชีทั้งสองส่วน ร้ายขายเสื้อผ้าของเรายังทำเงินได้มากกว่า”
ไม่รอให้เหยาซูเอ่ยปาก เซวียหรงก็ดีใจจนลืมตัวไป จึงต้องข่มอารมณ์ดีใจนั้นไว้ พลางกระแอมเบา ๆ หนึ่งเสียง “แต่แม้ว่าร้านขายเสื้อผ้าของเราจะมีรายได้มากกว่า แต่ต้นทุนก็ไม่น้อยเลย บวกกับค่าจ้างของเหล่าช่างตัดเย็บ หน้าร้านและค่าจ้างของลูกจ้างด้วยแล้ว…”
เหยาซูยิ้ม “หลังจากที่บวกกันแล้ว ก็น่าจะประมาณห้าร้อยตำลึงกระมัง?”
ใบหน้าของเซวียหรงเผยรอยยิ้มเหมือนกับเหยาซู “ก็ประมาณนั้น ไม่ถึงห้าร้อย”
ทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากัน และเริ่มลบเงินค่าจ้างออก กระทั่งเห็นตัวเลขที่เหลือก็พากันดีอกดีใจเหมือนกับเด็กน้อย
หนึ่งเดือนสามารถทำเงินได้มากมายเพียงนี้ ต่อให้ลำบากเพียงใดก็คุ้มค่า!
เซวียหรงคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานใจ จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงต่ำว่า “อาซู เดิมทีข้าตั้งใจจะโน้มน้าวให้เจ้ามาเปิดร้านในเมืองหลวงนานแล้ว แต่ข้ามัวแต่ลังเล คิดไปคิดมา ถ้ารู้ว่าจะได้ตัวเลขที่เช่นนี้ในหนึ่งเดือน ข้าคงหาเรื่องมาที่นี่นานแล้ว!”
เหยาซูเองก็คลี่ยิ้มไม่หุบเช่นกัน “ก็ข้าบอกแล้ว เป็นพี่น้องกัน จะใส่ร้ายเจ้าได้อย่างไร? เรานำสมุดบัญชีเล่มนี้ไปให้พี่เจี่ยงดีกว่า นางจะได้ดีใจด้วย!”
รายได้ของร้านขายเสื้อผ้า ทำให้สภาพจิตที่หดหู่มาตลอดหนึ่งเดือนของเหยาซูผ่อนคลายลงมากทีเดียว
นางมีเงินในครอบครอง สามารถไปซีเป่ยโดยที่ทางบ้านไม่รู้ได้แล้ว
ถึงตอนนั้นแม้จะหาหลินเหราไม่เจอ ยังพอหาโรงเตี๊ยมพักไปก่อนได้ หรือไม่ก็เช่าบ้านหลังเล็ก ๆ สักหลัง คอยถามไถ่สถานการณ์ของเขาได้ทุกวัน
ถึงอย่างไรเด็ก ๆ ก็โต ๆ กันหมดแล้ว ไม่ต้องให้นางเอาใจใส่มากนัก
แต่เหยาซูไม่ได้บอกความคิดของตัวเองออกไป แค่ปรึกษาหารือถึงเรื่องบัญชีกับเซวียหรงอีกครู่หนึ่ง และยืนยันจำนวนเงินที่เซวียหรงจะได้รับในทุกเดือน ให้เงินจำนวนหนึ่งแก่จวนเซี่ย เพื่อความปลอดภัย เช่นนี้ถึงจะวางใจ
เมื่อวันนี้ผ่านพ้น ระหว่างทางกลับจวน เหยาซูได้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แม้แต่ใบไม้สีเหลืองอร่ามยามเข้าสู่ฤดูสารทที่ร่วงโรยปลิดปลิวลงมาบนถนนเป็นครั้งคราว ล้วนไม่ได้ทำให้นางรู้สึกเศร้าหมองแต่อย่างใด
อาซือเดินตามเหยาซูไปตลอด กระทั่งเห็นใบหน้าของผู้เป็นแม่ที่คลี่ยิ้มออกมาในที่สุด ในใจก็พลันดีใจ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนกับเหยาซูว่า “ที่ท่านแม่ดีใจเช่นนี้เป็นเพราะหาเงินได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ? ต้องเท่าไรถึงทำให้ท่านแม่ดีใจเช่นนี้?”
ดวงตาของเหยาซูโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว พลางลูบศีรษะของอาซือ จากนั้นก็พูดกับนางด้วยน้ำเสียงแบบเด็ก ๆ ว่า “ใครบ้างเล่าจะไม่ชอบเงินเยอะ ยิ่งหาได้เยอะก็ยิ่งดีใจเป็นธรรมดา”
เด็กสาวกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เหมือนกับตัวเองได้กุมความลับที่ทำให้มารดาเบิกบานใจ ในใจจึงยิ่งยินดีปรีดา
นางดึงแขนเสื้อของเหยาซู ส่งสัญญาณให้เหยาซูโน้มตัวลงมา จากนั้นกระซิบข้างหูของผู้เป็นแม่อย่างแผ่วเบาว่า “ท่านแม่ ต่อไปข้าจะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ แล้วให้ท่านแม่หมดเลย ท่านแม่จะได้ยิ้มทุกวันเจ้าค่ะ”
เหยาซูรู้สึกประหลาดใจกับลูกสาวที่มีความคิดเช่นนี้ กระทั่งได้ยินอาซือพูดอีกว่า “ยามที่ท่านแม่ยิ้ม ท่านแม่งดงามที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
ครั้นเห็นสายตาที่จริงจังของลูกสาว เหยาซูถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แค่รู้สึกว่าความรู้สึกเศร้าหมองในใจ มันถูกอัดอั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะพรรณนาออกมา
นางโน้มตัวลงและถือโอกาสยื่นหน้าออกไป หอมแก้มของอาซืออย่างแผ่วเบา จากนั้นก็คลี่ยิ้มบาง ๆ “มีเจ้าอยู่ แม่ยิ้มได้เสมอ”
แก้มของเด็กสาวช่างอ่อนนุ่มยิ่งนัก ทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นนมของเด็ก ทำให้อดหอมอีกสักสองสามฟอดไม่ได้ เหยาซูหอมไปหลายฟอดตามใจตัวเอง
อาซือเองก็คลี่ยิ้ม ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบ “ท่านแม่ จั๊กจี้!”
จนถึงตอนนี้ในใจของเหยาซูยังคงนึกถึงหลินเหราตลอด ทั้งยังตั้งใจจะไปซีเป่ยเงียบ ๆ เพียงลำพัง ครั้นได้รับความเอาใจใส่ของลูกสาวเช่นนี้ จึงทำให้ตัดสินใจยากขึ้น
นางลุกพรวดขึ้น ตัดสินใจก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “อาซือ ถ้าแม่มีเรื่องต้องปิดบังเจ้าและพี่ชายของเจ้าไว้ พวกเจ้าจะโกรธหรือไม่?”
ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าเหยาซูนั้นกังวลเรื่องอะไรในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่เมื่อมารดาของตนไม่ยอมพูด อาซือจึงคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ตอนนี้ มารดาของตนกำลังพูดอะไรกับนาง?
เด็กหญิงกุมมือของเหยาซูไว้ พลางเอ่ยถามอย่างกังวล “ท่านแม่ เกิดเรื่องกับท่านพ่อใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เหยาซูตะลึงงันไป จากนั้นก็กุมมือของลูกสาวเหมือนกำลังปลอบใจ พลางพูดเสียงต่ำว่า “แม่เองก็ไม่รู้ แม่เลยอยากไปดู เดิมทีตั้งใจจะไปแบบปิดบังพวกเจ้า แต่มาคิด ๆ ดูตอนนี้… ถ้าแม่ไปแล้วไม่บอกเจ้าสักคำ เกรงว่าคงจะทำร้ายจิตใจพวกเจ้าอย่างมาก”
ท่านแม่จะไป? จะไปที่ใด?
อาซือเบิกตากว้าง ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ท่านแม่อย่าไป!”
สองสามเดือนที่หลินเหราเดินทางไปซีเป่ย อาซือไม่เคยเอ่ยถึงเขา ยามมีสิ่งของที่น่าสนุกและแปลกใหม่อะไรก็มักจะนึกถึงผู้เป็นพ่อ นางคิดจะเก็บไว้ให้เขาดูยามเขากลับมา
จนตอนนี้หลินเหราไม่อยู่ มารดาของตนก็จะไปอีก เด็กหญิงจึงเกิดความหวาดกลัว
นางคว้ามือของเหยาซูไว้ จากนั้นก็เอ่ยอ้อนวอน “ท่านแม่ ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ พาข้าไปด้วยเถิด! ท่านพี่ร่ำเรียนอยู่ในสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน น้องก็อยู่ในจวนเซี่ย เหลือข้าเพียงผู้เดียว ถ้าท่านแม่ไปอีกคนข้าจะทำอย่างไร? ท่านแม่อย่าทิ้งข้าไป…”
เหยาซูไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรไปชั่วขณะ
เส้นทางไปซีเป่ย อย่าว่าแต่ระยะทางที่ค่อนข้างไกลอย่างหฤโหดเลย หากเกิดอะไรขึ้นมา เหยาซูก็หมดหนทางที่จะปกป้องความปลอดภัยของตัวเองและบุตรสาวได้
แต่ครั้นนางเห็นสายตาเว้าวอนของอาซือ จึงไม่อาจเอ่ยคำปฏิเสธ พูดแค่ว่า “แม่ไม่ได้คิดจะทิ้งเจ้า อาซืออย่ากลัวไปเลย แม่แค่จะไปหาพ่อของเจ้า ไม่นานก็กลับแล้ว”
เด็กหญิงขมวดคิ้ว นัยน์ตาที่เดิมทีแต้มไปด้วยรอยยิ้มบัดนี้ปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความหวาดกลัวและความกังวลชั้นหนึ่ง นางเริ่มกัดริมฝีปากล่าง จ้องมองเหยาซูโดยไม่พูดสิ่งใด
เหยาซูเห็นดังนั้นก็ปวดใจ ทำได้แค่กอดลูกสาว ปลอบใจนาง “เอาละ ๆ เรื่องไปซีเป่ย เราค่อยคุยกันวันหน้า แต่อาซือต้องจำไว้ อย่าให้ท่านตากับท่านยายรู้เรื่องนี้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
เด็กหญิงพยักหน้า แล้วพูดเสียงต่ำ “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านแม่”
เหยาซูทอดถอนใจ จากนั้นก็ยื่นมือซ้ายออกไปลูบศีรษะของอาซือ แล้วพูดกับนางว่า “วางใจเถอะ แม่จะไม่มีวันทิ้งเจ้าหรอก หืม?”
อาซือพยักหน้า จากนั้นก็ตามมารดาเข้าไปยังจวนหลังโดยไม่คิดปล่อยมือจากแม่ของนาง
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รอข่าวอยู่กับบ้านดีกว่านะอาซู ไปหาพี่เหราถึงที่นู่นคนเดียวมันอันตราย สมัยนั้นเป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียวสุดจะไม่ปลอดภัยเลย
ไหหม่า(海馬)