ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 422 ไม่หวนกลับมาเดินหมากใหม่อีกครั้ง
บทที่ 422 ไม่หวนกลับมาเดินหมากใหม่อีกครั้ง
บทที่ 422 ไม่หวนกลับมาเดินหมากใหม่อีกครั้ง
สองสามวันนี้หลินเหรายังคงไม่ได้สติ เหยาซูทำตามคำแนะนำของเซี่ยเชียน ด้วยการแสร้งทำเป็นไม่รู้ที่อยู่ของหลินเหรา แม้แต่เหยาเฉาเองนางก็ไม่มีวันยอมบอก
แต่ไม่ว่าจะคุยเรื่องกิจการในวันปกติก็ดี หรือพักผ่อนอยู่ในจวนก็ดี นัยน์ตาดอกท้อที่ดูสดใสคู่นั้นกลับแฝงไปด้วยความอ้างว้างและกังวลใจจนแยกไม่ออก ไร้ความเปล่งประกายเช่นก่อนหน้า
ทุกคนในบ้านต่างเห็นหญิงสาวดูผิดแผกไปจากเดิม แม้แต่คนในร้านอาหารและร้านผ้าอีกสองร้านก็ยังมองเห็นถึงความผิดปกติไม่มากก็น้อย
กระทั่งซีเป่ยได้รับชัยชนะกลับมา งานเลี้ยงเฉลิมฉลองกลับขาดแม่ทัพเวยหยวนที่ได้รับแต่งตั้งจากจักรพรรดิไป
ตลอดจนเหล่าทหารกลุ่มสุดท้ายกลับมาถึงเมือง ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลินเหรา
คนในตระกูลเหยาจึงได้รู้ว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับหลินเหราอย่างแน่นอน
เหยาซูมีท่าทางนิ่งสงบมากราวกับรู้ผลลัพธ์นี้อยู่แล้ว ยังคงทำสิ่งต่าง ๆ เฉกเช่นเดิม อาทิไปสะสางบัญชีร้านขายผ้า ไปดูรูปแบบของร้านเสื้อผ้า บางครั้งก็ยังไปปรึกษาหารือถึงรายการอาหารจานใหม่กับพ่อครัวในร้านอาหารอีกด้วย
ในใจของทุกคนต่างกลัดกลุ้มใจ กระนั้นก็ได้แต่อับจนปัญญา
ทุกคนต่างคิดว่าความเงียบของหญิงสาวคือการหนีปัญหาก่อนจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง และต้องตื่นขึ้นในสักวัน
แม้แต่เหมิงฉิงที่เฝ้าสังเกตการณ์เหยาซูมาตลอดก็ไม่มีข้อยกเว้น
…
สายลับที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำทมิฬได้คุกเข่าลงตรงหน้าของเหมิงฉิง ก่อนกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านอ๋อง คนที่คอยสืบหาที่อยู่ของหลินเหราในกองทัพซีเป่ยยังไม่ถอนตัว ตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว ยังคงไร้วี่แววพ่ะย่ะค่ะ”
เหมิงฉิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะด้วยท่าทางดุดัน ถือจดหมายที่ส่งตรงมาจากทางซีเป่ยอยู่ในมือ บนนั้นมีตัวอักษรเพียงไม่กี่คำ หลังจากอ่านแล้วเหมิงฉิงก็พลันขมวดคิ้วแน่น
เขาเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจียงหนิงเล่า? เขามีปฏิกิริยาอะไรบ้าง? ตอนนี้สงครามทางซีเป่ยได้สิ้นสุดลงแล้ว เขาก็ยังไม่กลับมา จะอยู่ต่อในซีเป่ยไปเพื่ออะไร? หรือว่าหาตัวหลินเหราไม่เจอ เขาก็เลยไม่กลับอย่างนั้นหรือ?”
สายลับผู้นั้นรายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แม้ว่าเจียงหนิงจะไม่ได้สืบหาที่อยู่ของหลินเหราด้วยตัวเอง แต่ทุกวันจะมีทหารม้าที่เขาส่งออกไปกลับมารายงานข่าวล่าสุดกับเขาเสมอ ส่วนยามอื่นก็จะฝึกทหารและจัดวางกำลังการป้องกันอยู่ในค่ายทหารซีเป่ยพ่ะย่ะค่ะ”
เหมิงฉิงยิ้มเยาะอย่างเย็นชาหนึ่งเสียง “คงจะปกป้องแม่ทัพเวยหยวนไว้ใกล้ตัวสินะ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดยามนั้นถึงได้ส่งเขาเข้าไปในค่ายศัตรูล่ะ? ตอนนี้ทั้งเซี่ยเชียนและเจียงหนิงร่วมมือกันปิดบังเรื่องที่หลินเหราหายตัวไป ทหารที่เก่งทั้งบุ๋นแลบู๊ทั่วทั้งราชสำนักใครเล่าจะโง่เขลา? ผู้ที่สามารถปิดบังได้ก็มีแค่จักรพรรดิผู้โง่เง่าที่ประทับอยู่บัลลังก์เท่านั้น”
ในยามที่ตัวเองไม่ควรพูด สายลับผู้นั้นเหมือนกับท่อนซุงไร้ชีวิต เอาแต่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
สายลับเหล่านี้เป็นสายลับที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนทิ้งไว้ให้เหมิงฉิง แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็ยังไม่รู้การมีตัวตนของพวกเขา พวกเขาต่างก็จงรักภักดีต่อเหมิงฉิงเพียงผู้เดียว
หลายเรื่องที่เหมิงฉิงไม่สามารถทำได้ ก็มักจะมอบหมายให้พวกเขาเสมอ ตัวอย่างเช่นการขุดเหมืองแร่เหล็กในชานเมือง
ยามปกติของคนเหล่านี้ นอกจากจะปกป้องอันตรายให้แก่เขาแล้ว ก็ยังเป็นหูเป็นตาและเป็นแหล่งข่าวชั้นดีของเขาอีกด้วย
เหมิงฉิงกดเสียงต่ำ แล้วเอ่ยถามว่า “ตอนนี้เรื่องของเหมืองแร่เหล็กเป็นอย่างไรบ้าง?”
สายลับเอ่ยอย่างรวบรัด “บัดนี้เหยาเฉาได้เข้าค้นจวนของหลี่เหวินซื่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของเหมิงฉิงเปลี่ยนไป จากนั้นก็พูดอย่างขุ่นเคืองใจ “แล้วเหตุใดถึงไม่รีบรายงานให้เร็วกว่านี้? หลี่เหวินซื่อเป็นหมากลับตัวสุดท้ายในราชสำนักของข้า เหตุใดถึงค้นได้ตามใจชอบ? เช่นนี้เหยาเฉาก็เจอหลักฐานแล้วอย่างนั้นสิ!”
การขุดเหมืองแร่เหล็กเพื่อตัวเองเป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นยึดทรัพย์และฆ่าล้างตระกูลได้เลยทีเดียว
เหมิงฉิงมีความระแวดระวัง ภายใต้การวางหมาก เขาได้ซ่อนไพ่ลับอย่างหลี่เหวินซื่อไว้
แม้เหยาเฉาจะสืบหาความจริงไปจนสุดทาง แต่ก็จะเจอเพียงหลี่เหวินซื่อเท่านั้น และไม่อาจสืบสาวไปได้มากกว่านี้
แต่ถ้าไม่มีหลี่เหวินซื่อ เขาก็เหมือนถูกตัดแขนไปข้างหนึ่ง ทั้งยังเป็นแขนขวาที่ถนัดที่สุดด้วย
เหมิงฉิงจะไม่โกรธได้อย่างไร?
เมื่อเผชิญหน้ากับโทสะของผู้เป็นนาย สายลับคนนั้นก็ยังคงสีหน้าเดิม แค่รายงานกลับว่า “เช้าตรู่วันนี้เหยาเฉาเข้าวังไปคุยเรื่องลับกับฝ่าบาทเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาอุ่น ยามที่ออกมาได้พาองครักษ์รักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งมาด้วย จากนั้นก็ตรงไปยังจวนหลี่ ล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา ตอนนี้ครอบครัวของหลี่เหวินซื่อถูกขังอยู่ในคุกพ่ะย่ะค่ะ”
เหมิงฉิงกัดฟันกรอดและกำหมัดแน่น
ถ้าไม่ใช่เพราะเหยาเฉาครอบครองหลักฐานไว้ทั้งหมด คงไม่มีทางทำเรื่องนี้ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าตัวเองซ่อนหลักฐานชิ้นสุดท้ายเอาไว้อย่างดี แต่ถ้าจะถูกตรวจเจอจริง ๆ ก็ไม่น่าจะเร็วเพียงนั้น
เขามีสีหน้าหม่นหมอง ครุ่นคิดอยู่ครึ่งวัน หัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมก็พลันคลายออก ก่อนจะพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลี่เหวินซื่อผู้นั้นก็คงถึงเวลาตัดหางทิ้ง”
สายลับไม่ตอบสิ่งใด
เหมิงฉิงกล่าวเสริมเสียงต่ำ “คืนนี้ส่งคนไปเบิกทางให้ใต้เท้าหลี่ซะ”
สายลับผู้นั้นตอบรับ ครั้นเห็นเหมิงฉิงโบกมือจึงรีบถอยออกไป
หลังจากที่เจ้าตัวจากไปแล้ว ในห้องหนังสือก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
เหมิงฉิงกำหมัดทั้งสองข้างโดยที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ ๆ ก็คลายออก สีหน้าที่เด็ดเดี่ยวดุดันก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
ใบหน้าของเขาซีดเผือด ฝ่ามือที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อถูกวางบนหน้าตัก ก่อนจะพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ขอแค่หลินเหราตาย ขอแค่หลักฐานของซีเป่ยยังไม่ถึงมือของฝ่าบาท…ทุกอย่างก็ยังมีโอกาส”
แค่ตัดแขนทั้งหมดของจักรพรรดิองค์ก่อนแล้วอย่างไรเล่า? เขาวางแผนนี้มานานหลายปี ย่อมสามารถนอนจำศีลต่อไปได้ แล้วค่อยวางแผนใหม่
แต่เซี่ยเชียนยังคงวนเวียนอยู่ในราชสำนัก ไม่ใช่คู่ปรับที่ดีเลยจริง ๆ มองภายนอกช่างไร้พิษสง แต่ความจริงแล้วกลับเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่เฉลียวฉลาดที่สุดในราชสำนัก เขาจึงยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
เหมิงเฉิงกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชังเซี่ยเชียน ในขณะที่อีกฝ่ายอยู่ในวังและกำลังวางหมากกับจักรพรรดิ
บนที่นั่งในตำหนักถูกปูด้วยเบาะรองหนา มีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า ซึ่งด้านบนเป็นกระดานหมากล้อมสำหรับสองคน
จักรพรรดิไร้ซึ่งกฎระเบียบ ถอดฉลองพระบาทสีทองอร่ามออก และนั่งขัดสมาธิอยู่ทางซ้ายมือของโต๊ะขนาดเล็ก ในพระหัตถ์มีตัวหมากสีดำ ส่วนเซี่ยเชียนที่อยู่อีกด้านนั่งยืดตัวตรง ชุดคลุมสีดำทั้งตัวขับให้เขาดูน่าเกรงขามเด่นชัด นิ้วมือเรียวยาวดุจหยกขาวนั้นกุมหมากสีขาวไว้ ยิ่งขับให้ผิวพรรณดุจหิมะขาวผ่องขึ้นเป็นเท่าทวี
จักรพรรดิลงหมากไปหลายตัวแล้ว ก่อนจะตรัสด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดท่านขุนนางถึงเริ่มออมมือให้ข้าแล้วเล่า? นี่ไม่ใช่รูปแบบการวางหมากของเจ้าเสียเลย”
เซี่ยเชียนค่อย ๆ วางหมากในมือลงบนกระดานหมากล้อม แล้วทูลเสียงเรียบ “กระหม่อมไม่ได้ออมมือให้ฝ่าบาท เป็นเพราะทักษะการเล่นของฝ่าบาททรงก้าวหน้าต่างหากพ่ะย่ะค่ะ”
นับตั้งแต่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ จักรพรรดิมีเวลาเล่นหมากล้อมน้อยมาก ทั้งยังไม่มีผู้ใดเล่นกับเขา ตลอดหลายปีมานี้จึงไม่ค่อยแตะหมากล้อมเท่าไรนัก
กระทั่งเซี่ยเชียนก้าวเข้ามาในราชสำนัก พระองค์จึงคว้าตัวเซี่ยเชียนมาเป็นคู่เล่นหมากล้อมเสมอ แต่อีกฝ่ายกลับมีข้ออ้างอยู่บ่อยครั้ง ไม่ก็เล่นเพียงสองกระดานแล้วก็กลับไป
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านขุนนางที่ไม่ยอมฝึกกับข้า ทักษะหมากล้อมของข้าคงเหนือกว่าเจ้าไปแล้ว” จักรพรรดิบ่นพึมพำ
เซี่ยเชียนเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก น้อยนักที่เขาจะละสายตาจากหมากล้อม เขาปรายตามองพระพักตร์ของจักรพรรดิ จากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ และทูลว่า “ทักษะหมากล้อมก่อนหน้านั้นของฝ่าบาทก็ไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินิ่งงันไปชั่วขณะ รู้สึกว่านัยน์ตาของเซี่ยเชียนฉายรอยยิ้มแวบหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นตัวเองที่มองผิดไป
เขาวางหมากตามอำเภอใจอีกตัว ครั้นวางหมากสีดำลงบนกระดาน จู่ ๆ จักรพรรดิก็สบถคำหยาบคายในใจ
ชายอีกคนก้มหน้าลง มุมปากกระตุกขึ้นทันใด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและทูลว่า “ลงตัวนี้ ฝ่าบาททรงพลาดเสียแล้ว”
ความผิดพลาดเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับจักรพรรดิมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เขาคิดสับสนวุ่นวายอะไรถึงได้วางหมากผิดเช่นนี้
ถ้าหากตัวเองไม่เตือนเขา อีกประเดี๋ยวจักรพรรดิก็คงจะฉุกคิดได้เอง แล้วต้องบันดาลโทสะอย่างแน่นอน
เดิมทีก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดตัวเองถึงต้องทำลายอารมณ์ของเขาด้วย?
เซี่ยเชียนตั้งใจออมมือครั้งนี้ให้กับจักรพรรดิด้วยความเต็มใจ แต่จักรพรรดิที่กำลังสะดุ้งพระทัยกลับหุบรอยยิ้มมุมพระโอษฐ์ลงอย่างรวดเร็ว ตัวหมากสีดำบนปลายนิ้วจึงได้รวบกลับเข้ามาอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ พร้อมกับพระเสโทที่ผุดซึมออกมาอย่างฉับพลัน
จักรพรรดิจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของเซี่ยเชียน โดยไม่เอ่ยเอื้อนสิ่งใด
เซี่ยเชียนก็มองกลับด้วยสายตาเรียบเฉย ราวกับจะรอให้จักรพรรดิวางหมากต่อ
ในสมองของจักรพรรดิไฉนเลยจะจดจำเรื่องหมากล้อมได้?
เขานึกย้อนกลับไปยังอดีต เมื่อครั้งพวกเขายังวัยเยาว์ และได้เล่นหมากล้อมอยู่ในห้องหนังสือด้วยกัน
ยามนั้นทักษะหมากล้อมของเขาดีกว่าเซี่ยเชียนมาก ทุกครั้งที่เซี่ยเชียนวางพลาด เขาก็จะเตือนอีกฝ่ายด้วยการยิ้มเยาะเสมอ แล้วปล่อยให้เขาเล่นต่อไปโดยไม่หวนกลับมาเล่นใหม่
ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนสถานะมาเป็นจักรพรรดิกับขุนนางแล้ว ท่าทางของเซี่ยเชียนก็เหมือนกับน้ำแข็งที่ละลายยาก ไม่ได้อบอุ่นเหมือนเมื่อครั้งอดีต
แต่ภายใต้สายตาเย็นชาคู่นั้นบางครั้งก็ฉายแววอบอุ่นขึ้นมา ทำให้จักรพรรดิได้สติโดยพลัน
เขานึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเซี่ยเชียน รู้ว่าเขากำลังรอตัวเองจึงเอ่ยปากพูดว่า “ในเมื่อข้าลงไปแล้ว จะไม่มีวันหวนเดินหมากใหม่”
น้ำเสียงของจักรพรรดิแหบพร่า เซี่ยเชียนฟังไม่ออก แต่ในใจของจักรพรรดินั้นรู้อย่างชัดเจน กระทั่งประหลาดใจ
เซี่ยเชียนกลับเผยรอยยิ้มจริงจังออกมา แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะสั้นเพียงชั่วครู่ แต่เพียงกระตุกยิ้มมุมปากก็สร้างความสับสนให้กับภายในจิตใจจักรพรรดิแล้ว
เขาทูลเสียงต่ำ “เช่นนั้นกระหม่อมน้อมปฏิบัติตามคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
นิ้วมือเรียวยาววางหมากสีขาวตัวหนึ่งลงไป การโจมตีของหมากสีดำบนกระดานหมากล้อมถูกดักทาง เดิมทีมังกรดำควรจะได้กินรวบ บัดนี้คล้ายกับการว่ายน้ำตื้นเสียแล้ว ยากที่จะเดินหมากต่อไปได้
จักรพรรดิก้มหน้ามองภาพรวมของหมาก ครั้งนั้นตัวเองก้าวพลาด ตอนนี้เขาพ่ายแพ้แล้ว
แต่ถ้าชนะแล้วอย่างไร? จักรพรรดิคลี่ยิ้มจากนั้นก็วางหมากสีดำลงไปข้างมังกรดำ เหมือนกับตัดสินใจแล้วว่าจะยอมแพ้ให้กับคู่แข่งหมากล้อมในครานี้
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทันเลยค่ะ ช่วงต้นคือเหมิงฉิงดูเคร่งเครียดที่เสียหมากสำคัญ พอมาช่วงท้ายก็คือฮ่องเต้เล่นหมากล้อมกับเซี่ยเชียนกันกระหนุงกระหนิงสองคน
ไหหม่า(海馬)