ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 426 กระหม่อมยินดีรับโทษ
บทที่ 426 กระหม่อมยินดีรับโทษ
บทที่ 426 กระหม่อมยินดีรับโทษ
เหมิงฉิงบันดาลโทสะจนกระทั่งกำหมัดแน่นทั้งสองข้าง สายตาจับจ้องไปยังข้าหลวงผู้นั้น ก่อนจะเอ่ยด้วยความโกรธเคือง “เหลวไหล! น้องข้าจากโลกนี้ไปตั้งแต่เด็ก อย่าว่าแต่ฝ่าบาทเลย แม้แต่ข้าผู้ซึ่งเป็นพี่ชายก็ยังเจ็บปวดไม่แพ้กัน! เจ้าบังอาจใส่ร้ายข้าได้อย่างไร!”
ข้าหลวงผู้นั้นยังไม่ลดละ ยิ้มเยาะอย่างเย็นชาพร้อมกับโต้แย้งประชดประชันกลับไป “กระหม่อมทราบดีว่าองค์ชายรองสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่วัยเยาว์ ฝ่าบาทเคยทรงรับสั่งห้ามจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เป็นเวลาสามเดือนเพื่อส่งดวงวิญญาณขององค์ชายรอง ทว่าหลังจากฝังพระศพขององค์ชายได้เพียงไม่ถึงปีก็มีข่าวการตั้งครรภ์เกิดขึ้นในตำหนักหลังของท่านอ๋อง แม้ว่าท่านอ๋องกำจัดหญิงสาวที่ตั้งครรภ์ไปพร้อมเด็กอย่างรวดเร็วแล้ว แต่เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ จึงทรงลงมือกระทำด้วยตัวเอง เรื่องนี้ท่านอ๋องจะอธิบายว่าอย่างไรพะยะค่ะ?”
ทุกคนเห็นเหมิงฉิงมีใบหน้าถอดสีและพูดไม่ออก ดูท่าจะต้องมีเบื้องหลังบางอย่างแน่นอน
เหมิงฉิงจนปัญญา ทำได้เพียงเอ่ยว่า ‘ปรักปรำ’ แล้วขอความเมตตาต่อองค์จักรพรรดิช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้เขา
จวบจนตอนนี้ในใจของเขายังคงเจ็บปวดกับการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ร่วมกับเขามานานหลายปี เพราะไม่สามารถก้าวออกจากความเจ็บปวดเพราะการสูญเสียได้ จึงค่อย ๆ ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในช่วงสุดท้ายให้หมดสิ้นไปกับตำหนักหลัง
องค์จักรพรรดิมีสีพระพักตร์เปลี่ยนไป พระหัตถ์ทั้งสองข้างจับพนักพระที่นั่งของตัวเองไว้แน่น สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม แล้วตรัสถามข้าหลวงที่กล่าวหาผู้นั้นว่า “ยามที่องค์ชายรองสิ้นพระชนม์ ฉิงเอ๋อร์ยังมีอายุไม่มากนัก เจ้ามีหลักฐานหรือไม่เล่า?”
ข้าหลวงผู้นั้นกราบทูลด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กระหม่อมมีหลักฐานที่มัดตัวอย่างแน่นหนาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ไม่เพียงแค่นี้ กระหม่อมยังสืบหาหญิงมีครรภ์และเด็กในท้องของนางที่ถูกท่านอ๋องสังหารอย่างเลือดเย็นอีกด้วย หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้กระหม่อมเรียกพยานปากเอก ให้มาเผชิญหน้ากับเหล่าข้าราชบริพารทั้งราชสำนักและท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
สายเลือดราชวงศ์ไม่มีทางยอมรับผิดเป็นแน่
ขอแค่ข้าหลวงผู้นั้นพาตัวเด็กและสตรีผู้นั้นเข้ามา เพียงครู่เดียวก็รู้ความจริงแล้ว
สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธของเหมิงฉิงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึม
สตรีในตำหนักหลังของลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ล้วนแต่มาจากตระกูลบริสุทธิ์ มีสถานะไม่มากก็น้อย
เหมิงฉิงยังจดจำสตรีที่ตั้งครรภ์ผู้นั้นได้อย่างชัดเจน นางมีความเฉลียวฉลาด รู้ว่าตัวเองไม่ควรปล่อยให้ตั้งครรภ์เด็กผู้นี้ จึงพยายามปิดบังมาตลอด กระทั่งยามให้กำเนิดจึงถูกเขาจับได้
มิใช่ว่าเขาเสนอเหล้าพิษให้กับหญิงสาวผู้นั้นไปแล้วหรือ? เพราะนั่นคือลูกคนแรกของเขา ด้วยความจนปัญญา เขาทำได้แค่ต้องตัดใจจากเด็กคนนั้น แต่เพราะเหตุนี้ เขาจึงได้เสนอค่าปิดปากแก่ครอบครัวก้อนใหญ่แทน
นี่ก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว เหตุใดยังมีหลักฐานมาเปิดโปงในราชสำนักอีก?!
องค์จักรพรรดิไม่อยากรับรู้เรื่องเหลวไหลเหล่านี้ แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับเกียรติยศของราชวงศ์ จะให้เขามาทำลายมันต่อหน้าขุนนางในราชสำนักได้อย่างไร?
องค์จักรพรรดิขมวดพระขนง พลางตรัสเสียงเย็นชา “พอแล้ว!”
ความเงียบได้เข้าปกคลุมทั่วทั้งท้องพระโรง ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมา
เดิมทีทุกคนแค่สงสัยเรื่องที่เหมิงฉิงสังหารองค์ชายรองเพียงสามส่วนเท่านั้น แต่เพราะคดีความที่ไร้สาระนี้ สามส่วนนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นเจ็ดส่วน
ถึงกระนั้นเหมิงฉิงก็ใจกว้างจริง ๆ คงจะเกิดความผิดพลาดจากการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่วิงวอนต่อองค์จักรพรรดิ เพื่อเห็นแก่สายเลือดราชวงศ์ องค์จักรพรรดิก็คงจะรับเด็กคนนั้นได้
แต่เหมิงฉิงจะทำได้อย่างไรเล่า? เรื่องที่ลงมือสังหารชายาและลูกแท้ ๆ ของตน…
องค์จักรพรรดิมีสีหน้าเคร่งขรึมลง นัยน์ตาฉายแววเคร่งเครียด พลางจ้องเขม็งไปยังเหมิงฉิงอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉิงเอ๋อร์ ทำเรื่องนั้นจริงหรือ?”
เหมิงฉิงคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงดังก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง แล้วทูลต่อองค์จักรพรรดิราวกับจะร้องไห้ “เสด็จอา! ฉิงเอ๋อร์ถูกใส่ร้าย ฉิงเอ๋อร์ไม่เคยทำร้ายน้อง! ได้โปรดฝ่าบาทตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ตอนนี้เหมิงฉิงอกสั่นขวัญแขวน กระทั่งเสียสติไปแล้ว
เขาแค่บอกว่าตัวเองไม่เคยทำร้ายองค์ชายรอง แต่กลับแบกรับความผิดโทษฐานสังหารครอบครัวตัวเองไว้โดยไม่รู้ตัว
ขุนนางทุกคนที่ประจำอยู่ในราชสำนักต่างก็เฉลียวฉลาด ไฉนเลยจะไม่เข้าใจ? ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เสือร้ายเพียงใดก็ไม่มีทางกินลูกของตัวเอง คนที่ฆ่าคนอื่นได้อย่างเลือดเย็นเช่นนี้ จะยังมีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้อีกเล่า?
สีพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิดูย่ำแย่ลงยิ่งกว่าเดิม
ในยามที่เหมิงฉิงสารภาพความผิดโดยไม่รู้ตัว ข้าหลวงผู้นั้นได้กระตุกมุมปากอย่างไม่อาจยับยั้งได้ ไม่นานก็ข่มกลับไปอีกครั้ง จากนั้นกราบทูลเสียงดัง “ฝ่าบาท! เรื่องนี้ถือว่าอำมหิตโหดเหี้ยมเยี่ยงสุนัขป่านัก ได้โปรดฝ่าบาททรงตรวจสอบด้วย อย่าได้หลงกลในวาจามุสาอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ภายในท้องพระโรงเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่องค์จักรพรรดิกลับรู้สึกเพียงเสียงหวีดหวิวดังขึ้นในสมองของตัวเอง
เขาข่มความโกรธไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กักขังเหมิงฉิงไว้ในวัง ระหว่างนี้ห้ามผู้ใดเข้าเยี่ยม! รอให้ข้าสืบหาความจริงของเรื่องนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยหารือกัน!”
กล่าวจบ องค์จักรพรรดิก็สะบัดแขนฉลองพระองค์จากไป หลงเหลือเพียงแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโทสะแก่เหล่าขุนนาง
ต๋ากงกงเองก็ลำบากใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าควรจะถอยตามหลังฝ่าบาทไปดี หรือว่าควรจะออกคำสั่งให้ทหารองครักษ์นำตัวเหมิงฉิงไปกักขังไว้ดี
กลับเป็นเซี่ยเชียนที่เดินรุดขึ้นหน้า จากนั้นก็ออกคำสั่งกับคนที่อยู่ข้างกายขององค์จักรพรรดิด้วยเสียงทุ้มต่ำ ไม่นานก็มีองครักษ์รักษาพระองค์จำนวนหกคนเดินออกมาจากด้านหลังตำหนัก
เซี่ยเชียนมองเหมิงฉิงที่ยังไม่ลุกขึ้นด้วยท่าทางหยิ่งผยอง แววตาเยือกเย็น ทำให้เหมิงฉิงอยากจะขบขันจนน้ำตาไหลไปชั่วขณะ
น้ำเสียงของชายผู้นั้นไม่ได้เพิ่มระดับขึ้นลงแต่อย่างใด เหมือนกับกำลังพูดเรื่องที่ปกติเรื่องหนึ่ง “เชิญเสด็จพะยะค่ะ องค์ชาย”
ครั้นเหมิงฉิงถูกทหารองครักษ์จำนวนหกคนล้อมไว้ จึงตระหนักได้ว่าเซี่ยเชียนนั้นต้องการพูดสิ่งใด
เขาสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงสองครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าและเอ่ยว่า “ไม่! ข้าจะพบเสด็จอา! ข้าโดนใส่ร้าย!”
สีหน้าของเซี่ยเชียนยังคงเรียบเฉย ตอนนี้เขายืน และเหมิงฉิงคุกเข่า คล้ายกับว่าการปะทะกันของทั้งสองคนยังไม่เริ่มต้นขึ้น แต่จะไม่มีวันยอมแพ้อย่างไรอย่างนั้น
น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือก “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้องค์ชายประทับอยู่ในตำหนัก กระหม่อมคงยุ่งเรื่องนี้ไม่ได้ ขอตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ไฟโทสะของเหมิงฉิงยังไม่ทันสุมเต็มอก เซี่ยเชียนก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่ใยดี
เขาจึงได้ลุกขึ้น แล้วตะโกนไล่หลังด้วยความโกรธเกรี้ยว “เซี่ยเชียน! เพราะเจ้า เพราะเจ้า! เมื่อครู่ที่ข้าถูกกล่าวหาต่อหน้าราชสำนักนั้นเป็นเพราะเจ้า ใช่หรือไม่!”
เซี่ยเชียนไม่สนใจเขา กระทั่งเดินออกจากท้องพระโรงอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย ทุกคนที่ควรจะสลายตัวไปแล้วต่างก็พากันออกจากตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าคงเดิม แม้แต่ฝีเท้าก็ยังปกติไม่มีสิ่งใดแตกต่าง
เหมิงฉิงเดินรุดหน้า แต่กลับถูกองครักษ์เหล่านั้นขวางไว้ “ท่านอ๋อง เชิญตามกระหม่อมไปยังวังหน้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เหมิงฉิงถูกคนเหล่านี้กักขังไว้ในตำหนักจินหลวนเตี้ยน ต่อให้มีความสามารถมากเพียงใด ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ ทำได้เพียงเดินตามคนที่ดูเหมือนจะนำทาง แต่ในความจริงแล้วกลับมาเฝ้าตัวเองตลอดทางจนถึงในวัง
หลายวันนี้เหยาเฉาทะเลาะเบาะแว้งกับเซี่ยเชียนอย่างเปิดเผย ไม่ได้ไปศาลต้าหลี่ติดต่อกันหลายวันแล้ว แต่กลับวิ่งวุ่นกลับชนบทที่อยู่นอกเมืองหลายครั้ง ซึ่งความจริงแล้ว เขาต้องการสืบหาใครคนหนึ่งในชนบท
ข้าหลวงที่เข้ามาในราชสำนักคือคนของเซี่ยเชียนแน่นอน
เหยาเฉาบังเอิญไปเจอเรื่องราวไร้สาระที่เหมิงฉิงได้กระทำไว้ในยามที่ทั้งเมืองต่างก็อาลัยอาวรณ์กับการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรองโดยไม่ได้ตั้งใจ กระทั่งได้รู้ถึงหลักฐานที่เขาคิดว่ากำจัดไปหมดเกลี้ยงแล้ว แต่ความจริงแล้วมันเกิดความผิดพลาดเนื่องจากความประมาทอันใหญ่หลวง
เขาตามเบาะแสไปเรื่อย ๆ กระทั่งเจอตัวหญิงสาวและเด็ก นำตัวทั้งสองคนเข้ามาในเมืองอย่างเงียบ ๆ
ข้าหลวงผู้นั้นใช้ประโยชน์จากการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรองมาตั้งข้อหาเอาผิดเหมิงฉิงโทษฐานทำร้ายองค์ชาย นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้กักขังเหมิงฉิงไว้
เสี่ยวเว่ยที่เฝ้ามองเหมิงฉิงจากในความมืดชื่นชมความเก่งกาจขององครักษ์ข้างกายเขายิ่งนัก ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ได้ตั้งตัว กระทั่งนำตัวเหมิงฉิงไปขังไว้ได้ เกรงว่าการคิดจะจับเขาคงต้องใช้เวลาหลายวันเลยทีเดียว
ในห้องทรงอักษร องค์จักรพรรดิกำลังระบายโทสะใส่เซี่ยเชียนอย่างรุนแรง
“เรื่องที่เจ้าทำก่อนหน้านั้นเคยคิดจะปรึกษาหารือข้าหรือไม่? หา? การตายขององค์ชายรอง คิดจะชี้นิ้วใส่ร้ายผู้อื่นได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ? กล้าพูดอย่างไม่ละอายว่ามีหลักฐาน แล้วไหนเล่าหลักฐาน?! องค์ชายรองสิ้นใจอย่างไร ข้าจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะข้ากักบริเวณเขาไว้ในวัง แค่เผชิญหน้ากัน ทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยแล้วอย่างนั้นสิ!”
เซี่ยเชียนกล่าวเสียงเบา “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพื่อเห็นแก่หน้าของเชื้อพระวงศ์ในเวลานี้ ฝ่าบาททรงทำได้แค่กักขังเจ้าตัวและค่อย ๆ ถามเท่านั้น”
องค์จักรพรรดิถึงกับสำลัก ก่อนตวาดออกไป “เจ้ารู้จักไว้หน้าราชวงศ์ด้วยอย่างนั้นหรือ? ถ้าเจ้ารู้ เหตุใดถึงไม่รักษาหน้าแทนข้าเล่า?! ผู้เป็นนายได้รับความอับอาย ขุนนางก็สมควรตาย แล้วเจ้าล่ะ หา? เจ้าที่ทำข้าอับอายขายขี้หน้าไม่เหลือชิ้นดี เหยียบย่ำข้าต่อหน้าเหล่าขุนนางในราชสำนักเช่นนี้!”
เขาพ่นคำผรุสวาทออกมาอย่างไม่ลดละ แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่หนำใจ จึงโยนถ้วยน้ำชาในห้องทรงอักษรลงบนพื้นอย่างแรง เพียงพริบตาที่ถ้วยน้ำชาแตกเป็นเสี่ยง ๆ น้ำชาที่ร้อนกรุ่นก็ได้สาดกระจายทั่วพื้น ทั้งยังสาดกระเซ็นใส่หน้าของเซี่ยเชียนที่คุกเข่าอย่างเงียบ ๆ ไม่น้อย
ใบหน้าที่ขาวผุดผ่องของเขาถูกลวกจนแดกเถือกทันใด แต่ดวงตาคู่นั้นกลับไม่กะพริบแต่อย่างใด
องค์จักรพรรดิจ้องเขม็งไปยังใบหน้าที่แดงเถือกของเซี่ยเชียน ไม่นานก็เสมองไปทางอื่น หายใจฟึดฟัดด้วยความโกรธ จากนั้นก็เดินไปมาอยู่ในตำหนักใหญ่
น้ำเสียงของเซี่ยเชียนเหมือนน้ำพุที่ไหลลงมาจากภูเขาสูง พาให้รู้สึกเย็นสบาย ไม่นานก็ปลอบประโลมความกลุ้มใจของผู้อื่นได้ “ตอนนี้ไม่ว่าเหมิงฉิงจะถูกพิพากษาว่ามีความผิดหรือไม่ก็ตาม แต่ขุนนางทั้งราชสำนักต่างเชื่อว่าเขาเป็นคนทำร้ายองค์ชายรองไปแล้ว ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะเสื่อมเสียแก่ราชวงศ์หรอกพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้หากปิดบังไว้ในอดีตต่อไป เหล่าขุนนางในราชสำนักก็คงจะคิดว่าฝ่าบาทนั้นทรงโอบอ้อมอารี”
นี่คือความผิดร้ายแรงที่อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ เหตุใดเขาต้องพิพากษาเหมิงฉิงด้วย? ทำได้แค่ปิดบังเรื่องอดีตไว้ แต่ถ้ามันง่ายอย่างที่เขาปรารถนา ความคิดของเซี่ยเชียนยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
องค์จักรพรรดิหยุดชะงักงัน โดยไม่ตรัสสิ่งใด
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเซี่ยเชียนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำอยู่ด้านหลังขององค์จักรพรรดิว่า “ถ้าฝ่าบาทคิดว่า กระหม่อมทำร้ายความรู้สึกของฝ่าบาท กระหม่อมยินดีรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่พูด เขาก็โน้มตัวทำความเคารพโดยการโขกศีรษะลงบนพื้น และอยู่ในท่านั้นเนิ่นนาน
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องน้อยเกมแล้วเหรอ เดาว่าน่าจะยังไม่ตายง่าย ๆ นะ ความผิดใหญ่ยังไม่ถูกเปิดเผย
ต้องรองรับอารมณ์ขึ้น ๆ ลงๆ ของสหายรู้ใจฐานะใหญ่โตมันก็เหนื่อยหน่อยนะคะใต้เท้าเซี่ย
ไหหม่า(海馬)