ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 429 จุดจบของตู้เหิง
บทที่ 429 จุดจบของตู้เหิง
บทที่ 429 จุดจบของตู้เหิง
มือเรียวยาวที่ขาวผุดผ่องของเหยาซูลูบไล้ใบหน้าของหลินเหราอย่างไม่อาจควบคุมได้ เพียงไม่กี่อึดใจต่อจากนั้น นัยน์ตาดอกท้อที่มักจะแฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างชัดเจนก็ดูแวววาวด้วยหยาดน้ำตา
“ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ยังมึนหัวอยู่หรือไม่?”
เสียงของหญิงสาวแผ่วเบาและอ่อนโยนราวกับมีสายลมบางเบาระลอกหนึ่ง พัดพาเข้ามาปะทะรอยย่นระหว่างหัวคิ้วของหลิวเหรา
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่มึนแล้ว อาซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เขาพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่มือทั้งสองข้างกลับไร้เรี่ยวแรง ครั้นเหยาซูเห็นท่าทางของเขาก็รู้สึกแสบจมูกทันใด จากนั้นก็ประคองชายหนุ่มขึ้นมา
หลินเหราจ้องเขม็งไปยังเหยาซูครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับนาง “อย่าร้องไห้สิ อาซู อย่าร้องไห้”
ในที่สุดน้ำตาที่เหยาซูพยายามอดกลั้นไว้ก็ร่วงหล่นลงมา หญิงสาวไม่พูดสิ่งใด นอกจากโน้มตัวไปด้านหน้า แล้วกอดหลินเหราไว้แน่น
นางซบใบหน้าลงบนแผงอกของชายหนุ่ม ฟังเสียงของหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะบนหน้าอกของเขา ไม่นานความรู้สึกขมขื่นที่ยากจะควบคุมก็ได้สงบลง
เขายังมีเลือดเนื้อ มีชีวิต เขาได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของนางแล้วจริง ๆ
หลินเหรากอดเหยาซูเช่นกัน และไม่พูดสิ่งใดเนิ่นนาน
ทั้งสองคนไม่อยากพูดอะไร เพราะไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็เข้าใจความคิดของกันและกัน
เมื่อเวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเพียงใด เหยาซูจึงได้แอบเช็ดน้ำตาบนร่างกายของหลินเหรา ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับลมหายใจที่สม่ำเสมอคล้ายนอนหลับ
หญิงสาวประคองหลินเหราอย่างเบามือ ให้เขาได้นอนลงไปอีกครั้งก่อนจะจัดการตัวเองครู่หนึ่ง แล้วออกไปหาเซี่ยเชียน
เซี่ยเชียนอยู่ในห้องหนังสือ ได้ยินเด็กรับใช้บอกว่าเหยาซูต้องการขอพบ จึงพยักหน้าให้นางเข้ามา
อีกฝ่ายกำลังจัดการกับเอกสารบนโต๊ะ ทันทีที่เหยาซูเข้ามาจึงได้ผงกศีรษะขึ้นพลางเอ่ยถาม “เจออาเหราแล้วใช่หรือไม่?”
เหยาซูทำความเคารพเซี่ยเชียนหนึ่งครั้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เจอแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านน้าสำหรับการดูแลในช่วงหลายวันนี้ แต่ไม่รู้ว่าสุขภาพร่างกายในตอนนี้ของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยเชียนรู้ว่าเหยาซูอยากพาหลินเหรากลับไปดูแลเองอย่างแน่นอน จึงไม่ปิดบัง พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ตอนนี้อาการบาดเจ็บบนร่างกายดีขึ้นมากแล้ว แต่กำลังวังชาอาจจะยังไม่สมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายก็อ่อนแอมากด้วย เคลื่อนตัวไม่ค่อยจะสะดวกนัก”
เหยาซูเกิดเป็นกังวล หัวคิ้วที่งดงามคู่นั้นยังคงขมวดเข้าหากันจนถึงตอนนี้ ไม่ได้คลี่ยิ้มเพราะคำพูดของเซี่ยเชียนแต่อย่างใด “ท่านน้ารู้สาเหตุที่กำลังวังชาของเขาไม่สมบูรณ์หรือไม่เจ้าคะ? ข้าเห็น อาเหราเหมือนจะยังปวดหัว…”
ศีรษะคือส่วนที่สำคัญที่สุด และเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดเช่นกัน ภายใต้เงื่อนไขการรักษายุคปัจจุบัน หากศีรษะบาดเจ็บร้ายแรง จะยิ่งรักษายาก ไม่ต้องเอ่ยถึงยุคโบราณ…
เซี่ยเชียนมองไปทางเหยาซู แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “อาการบาดเจ็บบนร่างกายของอาเหรา ส่วนที่หนักที่สุดคือท้ายทอยด้านหลัง แต่หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แค่ต้องพักผ่อนให้มากขึ้น เจ้าไม่ต้องกังวล”
เซี่ยเชียนไม่เคยกล่าวสิ่งใดที่ไม่แน่ใจ ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ สถานการณ์ของหลินเหราก็คงจะไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้แล้ว
ครั้นเหยาซูคิดได้เช่นนี้ จึงถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย
นางเงยหน้าขึ้น ความรู้สึกบนใบหน้าก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย “ท่านน้าเจ้าคะ อนุญาตให้ข้ารบกวนจวนของท่านสักสองสามวันได้หรือไม่?”
ไฉนเลยเซี่ยเชียนจะไม่เข้าใจความหมายของเหยาซู? หลินเหราพักอยู่ในจวนเซี่ย และยังป่วย เหยาซูย่อมอยากมาดูแลด้วยตัวเองเป็นธรรมดา
เขาพยักหน้าและเอ่ยว่า “แน่นอน”
เหยาซูรู้ว่าเซี่ยเชียนยุ่งมาก ไม่นานจึงออกจากห้องหนังสือของเขาไป
หญิงสาวมาหาหมอที่รักษาหลินเหรา แล้วถามถึงรายละเอียดอาการของเขาหลายคำถาม ทั้งยังเรียกเด็กรับใช้ที่เซี่ยเชียนหามาดูแลเขาในช่วงหลายวันนี้ เพื่อพูดคุยอยู่เนิ่นนาน
กระทั่งได้รู้ถึงอาการและสภาพร่างกายของหลินเหราอย่างละเอียด ในใจของเหยาซูจึงได้สงบลง
นางจึงสั่งให้คนไปนำเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนในชีวิตประจำวันจากในจวนเหยาของตัวเอง จากนั้นก็พักอาศัยในจวนเซี่ยอย่างสงบ เพื่อเฝ้าดูแลหลินเหรา
…
หลังจากที่ร่างกายของหลินเหราดีขึ้น สถานการณ์ในเมืองหลวงก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
หลักฐานที่เหมิงฉิงลอบติดต่อกับพวกศัตรูเป็นที่แน่ชัด แม้แต่เทพเซียนยังมิอาจทำลายได้ ไม่นานก็ได้ตัดสินบทลงโทษ พรรคพวกเหมิงฉิงต่างก็ถูกเซี่ยเชียนที่ร่วมมือกับเหยาเฉาลากตัวมาจากราชสำนักได้
ขุนนางทุกคนในราชสำนักเพิ่งตระหนักได้ว่าเหยาเฉาที่ปกติมักจะอบอุ่น มีมารยาทและเป็นสุภาพบุรุษอย่างชัดเจน ภายใต้รอยยิ้มนั้นสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าโดยไม่ทันตั้งตัวได้ ประกอบกับความโปรดปรานอย่างลึกซึ้งที่จักรพรรดิมีต่อเขา ไม่นานก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นอัครเสนาบดีศาลต้าหลี่ ดูแลบ้านเมืองครึ่งหนึ่ง
เพราะหลินเหรามีส่วนช่วยอย่างมากในคดีของเหมิงฉิง ตำแหน่งแม่ทัพเวยหยวนยังไม่ทันได้อุ่นเครื่อง ก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับที่สอง ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพผิงซีที่สาม
หลินเหราเป็นแม่ทัพที่เจียงหนิงแม่ทัพใหญ่พามาด้วยตัวเอง เขาสร้างบารมีอย่างมากให้แก่ค่ายทหารซีเป่ย ทั้งยังกลายเป็นผู้นำคนต่อไปของค่ายทหารซีเป่ย
หูทั้งสองข้างของเหยาซูไม่รับรู้เรื่องภายนอก สนใจแค่การอาศัยอยู่ในจวนเซี่ย ได้อยู่ข้างกายหลินเหราตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
ยามตื่นก็มักจะอ่านหนังสือให้ฟัง อีกทั้งมักจะพูดคุยถึงเรื่องที่น่าสนใจกับเขา โดยส่วนมากจะถือผ้าปักชิ้นหนึ่งในมือ แล้วปักด้ายเหล่านั้นอย่างสบายอารมณ์
แม้ว่าเซวียหรงจะอยู่ในจวนเซี่ยตลอด แต่ปกติก็มักจะออกไปข้างนอกเสมอ ตอนนี้เหยาซูได้มาอาศัยอยู่ในจวนเซี่ยแล้ว ยามว่างนางจึงมานั่งเป็นเพื่อนเหยาซูที่นี่
วันนี้ใกล้ถึงช่วงเที่ยงวัน เซวียหรงมาหาอีกครั้ง “อาซู เจ้าเดาสิว่าวันนี้ข้านำสิ่งใดมาด้วย?”
เหยาซูได้ยินเสียงของนาง ก็รีบเดินออกมาจากห้องทันที ก่อนจะกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “พี่เซวีย ท่านมาแล้ว”
เซวียหรงกลัวว่านางจะเบื่อที่ต้องเฝ้าหลินเหราอยู่เพียงลำพัง จึงมักมาอยู่เป็นเพื่อน เหยาซูสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ของนาง จึงยิ่งสนิทสนมกับเซวียหรงมากขึ้น
เซวียหรงดึงตัวเหยาซูมานั่งบนม้านั่งหินอ่อนในลานกว้าง ก่อนจะหยิบกล่องอาหารใบหนึ่งขึ้นมาวางตรงหน้าของนาง แล้วเร่งรัดว่า “รีบเปิดดูสิ!”
เหยาซูมองไปทางกล่องอาหารแวบหนึ่ง จากนั้นดวงตาก็โค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว “นี่คือกล่องอาหารจากร้านอาหารหรือ? คิดว่าน่าจะเป็นอาหารที่พ่อครัวได้คิดค้นขึ้นใหม่ พี่เซวียตั้งใจนำมาให้ข้าชิมอย่างนั้นหรือ?”
เซวียหรงยิ้ม “เจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก หลายวันนี้เจ้าได้พักพิงอยู่ในจวนเซี่ย ตอนกลางวันก็รับเด็ก ๆ มาอยู่ด้วยกัน ตกค่ำก็ยังพาไปส่งตระกูลเหยา ร้านขายผ้าไม่สนใจ ร้านขายเสื้อผ้าก็ไม่สนใจ ร้านอาหารนี่ยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่ ข้าไม่ได้เห็นเจ้าในสถานการณ์จิตใจว้าวุ่นเลย เอาแต่อยู่อย่างสงบเช่นนี้ และเฝ้าอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือไร?”
หญิงสาวพูดกับเซวียหรงด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้อาเหราดูจะดีขึ้นในทุกวัน ข้าไม่ทันได้ดีใจ จะรู้สึกเบื่อได้อย่างไรเล่า?”
เซวียหรงก็จนปัญญา “แล้วแต่เจ้า แล้วแต่เจ้า”
เหยาซูเปิดกล่องข้าว ภายในเป็นเครื่องเคลือบใบหนึ่ง ดูท่าทางจะเป็นน้ำแกง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ก่อนจะพูดกับเซวียหรงทีเล่นทีจริง “ตั้งแต่รู้ว่าอาเหราเกิดเรื่อง หัวใจดวงนี้ของข้าก็ไม่สนใจใครหรือสิ่งใดที่อยู่รอบตัวในโลกใบนี้อีก แม้แต่อาจื้อและลูกอีกสองคนข้าก็นึกถึงน้อยลง”
เซวียหรงนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะเงียบลงครู่หนึ่ง
นางและเหยาซูรู้จักกันมานานแล้ว ย่อมรู้ว่าเหยาซูมีความรักและห่วงใยเด็ก ๆ อยู่เสมอ ยิ่งกว่าผู้เป็นแม่อีกมากมายในโลกใบนี้เสียอีก ครั้นนางพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหลินเหราค่อนข้างมีความสำคัญต่อใจของนาง สำคัญถึงขนาดที่ยากจะพรรณนาออกมาได้
เซวียหรงเคยได้ยินมาว่า ทางใต้ของต้าเยี่ยน บนดินแดนที่ต้องข้ามผ่านมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล มีนกในตำนานชนิดหนึ่ง มีสีสันงดงาม ประณีตวิจิตร ถูกชาวโลกขนานนามว่า ‘นกการเวก’
นางมองใบหน้าของเหยาซูที่ซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัด จนอยากจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับไม่เปล่งเสียงใดออกมา
เซวียหรงฝืนยิ้มก่อนจะเร่งรัด “รีบชิมสิ สดใหม่ จะไม่ทำให้รู้คาว น้ำแกงนี้เหมาะกับการกินในช่วงฤดูสารทมากนัก”
เหยาซูหยิบถ้วยดินเผานั้นออกมา เปิดฝาแล้วใช้ช้อนกระเบื้องตักเบา ๆ หนึ่งคำใส่ปาก
หญิงสาวยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า “อร่อยมาก”
เซวียหรงเห็นรอยยิ้มของนาง ในใจคาดเดาว่าหลินเหราคงจะดีขึ้นมากแล้ว ถึงทำให้เหยาซูกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน
เหยาซูดื่มน้ำแกงไปพลางฟังเซวียหรงพูดถึงเรื่องในเมืองหลวงกับนางอย่างสบายใจ “ก่อนหน้านั้นที่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วสู้ยิบตากับเรา กระทั่งต้องปิดกิจการไป เจ้าของร้านของพวกเขา คนผู้นั้นชื่อว่าตู้เหิง เจ้าได้ยินเรื่องนางหรือไม่?”
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องน้อยเกมของจริงแล้วน้า นังตู้จะรอดเหรอ ทางฝั่งจวนเซี่ยกับพี่เฉาสืบเก่งยิ่งกว่าโคนันอีกนะจะบอกให้
ไหหม่า(海馬)