ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 437 เที่ยวทะเลสาบ
บทที่ 437 เที่ยวทะเลสาบ
บทที่ 437 เที่ยวทะเลสาบ
วันต่อมา หลินซือเลือกเสื้อผ้าแล้วกองเอาไว้บนเตียงอยู่นานสองนาน สุดท้ายเด็กสาวก็เลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งตัดเสร็จก่อนหน้านี้
ด้วยเหตุนี้ เจี่ยงเถิงจึงพบหลินซือที่ทะเลสาบหลินเยว่ในสภาพหนาวสั่น
“อาซือ!”
เจี่ยงเถิงรีบถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วสวมทับให้กับหลินซือ “เหตุใดจึงสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเช่นนี้ ทะเลสาบมีไอน้ำมากมาย ถ้าป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร?!”
“แต่ชุดนี้สวยมากนะเจ้าคะ” หลินซือตัวสั่นเทา ซึ่งตรงกันข้ามกับคำพูดดื้อดึง
เจี่ยงเถิงโอบหลินซือไว้เพื่อบังลมให้กับนาง พลางบอกให้คนรีบกลับไปเอาเสื้อผ้ามาเพิ่ม
ทั้งสองคนรีบขึ้นเรือ เมื่อถึงบริเวณด้านในห้องโดยสารที่ป้องกันลมจากภายนอก อาการตัวสั่นของหลินซือก็ค่อย ๆ บรรเทา
เจี่ยงเถิงเริ่มรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองนั้นอยู่ใกล้ชิดกันเกินไป เด็กหนุ่มจึงรีบปล่อยมือจากอาซือเพิ่อเพิ่มระยะห่าง
“ท่านหน้าแดง เป็นอะไรหรือไม่?” หลินซือที่กำลังสำรวจห้องโดยสารด้วยความอยากรู้อยากเห็น จู่ ๆ เด็กสาวก็มองเห็นเจี่ยงเถิงที่ยืนหน้าแดงตัวแข็งทื่ออยู่ตรงมุมห้อง จึงถามขึ้นความความแปลกใจ
“ไม่ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” เจี่ยงเถิงรีบตอบกลับและเปลี่ยนเรื่อง “อีกไม่นานดอกบัวกลางทะเลสาบก็จะแห้งเฉาแล้ว ดอกบัวเหี่ยวแห้งดูไม่น่าสนใจหรอก หากว่าเจ้าไม่ชอบ ข้าก็เตรียมอุปกรณ์ตกปลามา เช่นนั้นพวกเราสามารถตกปลากันได้”
“เข่นนั้นข้าก็จะได้ลิ้มลองน้ำแกงปลาที่พี่เถิงทำเองกับมือ”
หลินซือไม่ได้สนใจดอกบัวอันแห้งเฉา แต่สนใจเรื่องอาหารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘อาหารที่ทำเองกับมือ’
แม้ว่าเจี่ยงเถิงจะไม่ได้มีพรสวรรค์ในการทำอาหาร แต่เขาก็ไม่ใช่บัณฑิตประเภทที่อยู่ห่างห้องครัวอะไรพวกนั้น
หลินซือชอบกินปลา ประจวบเหมาะกับที่เด็กหนุ่มทำน้ำแกงปลาได้รสชาติดีเป็นพิเศษ
นี่เป็นเพราะโชคชะตาหรือฝีมือมนุษย์ มีเพียงฟ้าดินเท่านั้นที่รู้
หลินซืออยู่ที่ทะเลสาบกับเจี่ยงเถิงมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว หลังจากที่ดื่มน้ำแกงไปจนท้องป่อง เด็กสาวจึงโบกมือแล้วกล่าวว่า “กลับกันเถอะ”
“พี่อาเถิง รสมือของท่านยังดีเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน”
หลินซือล้มตัวลงบนตั่งเตียง ยกนิ้วโป้งให้กับเจี่ยงเถิง “ข้าคิดว่าท่านน่าจะเปิดร้านขายน้ำแกงโดยเฉพาะ กิจการน่าจะดีกว่าหอหรูอี้อย่างแน่นอน”
เจี่ยงเถิงจับนิ้วโป้งของหลินซือลง เด็กหนุ่มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝีมือของข้าไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็จะสามารถลิ้มลองได้ง่าย ๆ”
มีแค่นางเท่านั้น มีเพียงแค่หลินซือเท่านั้น!
หลินซือได้ลิ้มชิมอาหารจนพึงพอใจแล้วก็ส่งเสียงเบา ๆ ในลำคอ นางเริ่มรู้สึกง่วงงุน
เด็กสาวไม่สนใจที่จะไปเดินซื้อของ นางเพียงต้องการลอยอยู่บนทะเลสาบอย่างช้า ๆ และนอนหลับอย่างสบายใจ
เจี่ยงเถิงหยิบผ้าเช็ดหน้าอุ่น ๆ เช็ดที่มุมปากของอาซืออย่างนุ่มนวล เมื่อเห็นใบหน้าง่วงงุนที่นุ่มนวลและงดงามประณีตค่อย ๆ เข้าสู่ภวังค์
หลายปีมานี้ หากชายหนุ่มมีเรื่องราวที่ไม่กล้าลืม เรื่องแรกคงจะเป็นเรื่องที่ต้องมีคุณธรรมสูงส่ง เลี้ยงดูท่านแม่ หลังจากนั้นมีเงินตรามากพอที่จะไปขอบุตรีแห่งจวนแม่ทัพแต่งงาน ส่วนเรื่องที่สองหากจะพูดออกมาก็เกรงว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะ นั่นคือทำน้ำแกงปลาอย่างไรให้อร่อย
เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย หลายปีมานี้เขาเขียนสมุดเล่มเล็ก ๆ จนสามารถกองรวมกันได้เป็นกอง ๆ และเป็นบันทึกเกี่ยวกับการทำน้ำแกงปลาไม่น้อยเลย
เริ่มขึ้นเมื่อไรอย่างนั้นหรือ?
นั่นเป็นเพราะคำชื่นชมของหลินซือที่ว่าน้ำแกงของหอหรูอี้อร่อยมาก เขาจึงไปที่ครัวเพื่อดูว่าน้ำแกงนั้นทำเช่นไร หากเป็นเมื่อก่อนเพียงแค่เห็นปลาเถิงเอ๋อก็อาเจียนออกมาแล้ว ทว่าหลังจากนั้นวัน ๆ เขาก็ขลุกอยู่แต่ในครัว จนในที่สุดก็ได้รับคำชื่นชมจากหลินซือ
เจี่ยงเถิงยิ้มเยาะเย้ยให้กับตัวเอง เด็กหนุ่มค่อย ๆ สัมผัสมือไปที่คิ้วและตาของหลินซือแผ่วเบา และคิดขึ้นภายในใจ ‘เพียงแค่ได้รับคำชมแค่คำเดียว ทั้งหมดที่ทำมามันก็คุ้มค่ามากพอแล้ว’
จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูและเสียงของคนพายเรือดังขึ้น “คุณชาย คุณหนู เทียบท่าแล้วขอรับ”
หลินซือลืมตาด้วยความงัวเงีย พลันเห็นมือของเด็กหนุ่มที่เก็บกลับไปไม่ทันยังคงอยู่บนใบหน้าของตน
หลินซือที่งัวเงียไม่มีสติในตอนแรกก็ฟื้นคืนสติทันที นางคว้ามือของเจี่ยงเถิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วหัวเราะขึ้น “ฮ่า ๆ ๆ ท่านจะทำอะไรน่ะ โดนข้าจับได้ซะแล้ว! ถ้าสารภาพมาข้าจะผ่อนปรนให้ ขืนไม่บอกจะโดนโทษหนัก เมื่อครู่ท่านจะทำอะไรกันแน่ รีบบอกมาซะดี ๆ”
ขณะที่เอ่ย อาซือยังตบมือเบา ๆ กับหัวเตียงเลียนแบบไม้เรียว แล้วก็เอ่ยกับ ‘นักโทษ’ ว่าไม่มีอะไรที่น่ากลัว แต่กลับยิ้มยิงฟันอย่างคาดโทษ
เจี่ยงเถิงยิ้มพลางชักมือตัวเองกลับมา เด็กหนุ่มหายใจเข้าสองครั้งก่อนยิ้มและกล่าวขึ้น “ข้าเห็นบางอย่างบนใบหน้าเจ้า เลยจะเอาออกให้ เจ้าจะตื่นตระหนกไปทำไม ข้าทำอะไรไม่ดีกับเจ้าหรือ?”
“หืม ใครจะรู้ว่าท่านอาจจะอยากบีบจมูกตอนข้าหลับ เพื่อให้หายใจไม่ออกจนตื่นขึ้นมา”
หลินซือดึงมือแดง ๆ ที่ร้อนผ่าวกลับมา รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย เมื่อถูกอาเถิงหยอกจนรู้สึกอึดอัด ไม่เพียงแค่เจ็บ แต่ยังรู้สึกชาและคัน ๆ
หลินซือจูงเจี่ยงเถิงลงเรือ เอ่ยเร่งรีบ “รีบลงมาเร็วเข้า นี่มันก็สายมากแล้ว เย็นนี้ซานเป่าจะกลับมา ข้าต้องรีบกลับบ้าน ”
เจี่ยงเถิงแอบจับนิ้วที่อยู่ในแขนเสื้อ สัมผัสได้ถึงมืออันนิ่มนวลของเด็กสาว เป็นการถือโอกาสใช้เล่ห์เหลี่ยมในการจับมือกับหลินซือ
เขามีความสุขกับการที่ได้สนิทสนมกับหลินซืออย่างหมดจิตหมดใจ แต่กลับต้องเป็นทุกข์กับความคิดที่ต้องการจะทำให้หลินซือไร้ซึ่งข้อครหา
ทุกครั้งที่พบกับเด็กสาวล้วนเป็นสถานการณ์ที่รู้สึกขัดแย้งกัน เป็นความรู้สึกรักที่กลับมาทิ่มแทงทำร้ายตนเอง
ทั้งสองคนลงมาจากเรือ สาวใช้ของหลินซือถือเสื้อผ้าไว้ในแขนยืนรออยู่เป็นเวลานาน เจี่ยงเถิงหยิบผ้าคลุมจากมือของอีกฝั่งมาคลุมร่างเด็กสาวไว้แน่น ส่งนางขึ้นรถม้าของจวนแม่ทัพไป
ก่อนที่ม่านของรถม้าจะปิดลง จู่ ๆ เจี่ยงเถิงก็ได้กล่าวขึ้น “ข้ามีของขวัญให้เจ้าหนึ่งชิ้น อยู่กับตัวเจ้าแล้ว”
หลินซือตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ได้ถามกลับ ม่านประตูก็ค่อย ๆ ปิดลง รถม้าก็ได้เริ่มแล่นออกไป
เด็กสาวคลำดูรอบตัว ในที่สุดก็พบว่ามีสร้อยอยู่บนคอหนึ่งเส้น หลินซือรีบดึงออกอย่างรวดเร็ว พบว่ามันเป็นหยกแกะสลัก
หยกมีขนาดเพียงแค่ครึ่งนิ้วเท่านั้น คุณภาพของหยกนับว่าสูงเลยทีเดียว แต่ที่อัศจรรย์ใจคือภายในมีรอยกลม ๆ สีแดง คล้ายเลือดหยดหนึ่ง หากมองย้อนแสงจะพบว่าตรงกลางของสีแดงมีเส้นสีขาว ๆ อยู่
หลินซือมองดูสิ่งของภายในก้อนหยกอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นได้ นางรู้สึกว่านี้คือหยกที่ห่อเม็ดถั่วแดงไว้
เพียงแต่ว่าเจี่ยงเถิงส่งถั่วแดงให้นั้นมันหมายความว่าอย่างไร หลินซืองงงวย
ราวกับเป็นเปลวเทียน ณ ใต้บ่อ
ข้าเพียรขอกล่าวเตือนอย่างลึกซึ้ง
หากแม้ท่านจำนิราศข้าคะนึง
ให้ไปถึงหทัยท่านคืนกลับมา
แต้มสีชาดบนเต๋า ณ หัตถา
ใช่จินดาเพียงแค่ถั่วไร้คุณค่า
หากท่านตรองฉุกคิดจิตเมตตา
คือความรักเสน่หาของข้าเอง
ทันใดนั้น บทกวีวรรคนี้ก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของนาง ทำให้หลินซือขนลุก และส่ายหัวอย่างรวดเร็วเพื่อสลัดความคิดที่อธิบายไม่ได้ออกจากใจของตนเอง
นี่มันคือของแทนใจที่มอบให้กันระหว่างคนรัก พี่เถิงต้องไม่ได้หมายความเช่นนี้แน่
หลินซือครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นตลอดทาง เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะถึงบ้านในไม่ช้า ประกอบกับนางเองก็คิดขึ้นมาได้ว่าห้ามให้ท่านพ่อท่านแม่ที่ช่วงนี้รู้สึกกับพี่เถิงแปลก ๆ เห็นของสิ่งนี้เป็นอันขาด จึงได้รีบเก็บมันลงไป
หลินซือเดินเข้าบ้านพร้อมกับความกังวล ในขณะที่เดินเข้ามาได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกของหนัก ๆ กระทบเข้าที่แขนทันที
“พี่หญิง!”
หลินเซิน นี่คือเซี่ยหลินเซินที่เข้ามากอดหลินซือไว้แน่น เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“ซานเป่าทำไมมาเร็วเช่นนี้!” หลินซือจ้องมองน้องชายที่ไม่ได้เห็นหน้ามานานของตน และลูบศีรษะอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น “ไม่ได้พบกันตั้งหลายเดือน ซานเป่าสูงขึ้นแล้ว”
รอยยิ้มที่ลึกซึ้งบนใบหน้าของเซี่ยเซิน ทำให้หลินซือค่อย ๆ ผ่อนคลายลง “ข้าสูงขึ้นตั้งสองชุ่น”
“ไม่แน่ว่าครั้งหน้าที่เจ้ากลับมา ข้าต้องเงยหน้ามองดูเจ้าแล้ว” หลินซือรู้สึกชื่นชม
สองพี่น้องมุ่งหน้าไปที่ห้องโถงใหญ่อย่างอบอุ่น และหลินซือก็พบว่าทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกัน แม้กระทั่งเซี่ยเชียนเองก็อยู่ที่นี่ ทั้งหมดกำลังรอเด็กสาวอยู่
หลินซือมองดูท่านพ่อด้วยความรู้สึกขอโทษ หลินเหราไม่ได้มีปฏิกิริยาใด แต่เหยาซูกลับยิ้มให้ลูกสาว
เมื่อหลินซือได้รับการทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นางก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น เห็น ๆ อยู่ว่าตนออกไปเที่ยวเล่นกับเจี่ยงเถิง เหตุใดแววตาของแต่ละคนไม่ได้แสดงความหมายอื่นเลย ดูราวกับว่าตนเองกำลังมีความรักอย่างไรอย่างนั้น
หลินซือรีบสลัดความคิดน่ากลัวนี้ออกจากจิตใจของนาง แล้วก็โค้งคำนับเซี่ยเชียนด้วยความเคารพและรีบตรงไปยังที่นั่งของตน ประสาทสัมผัสตาและจมูกต่างก็เบนไปให้ความสำคัญกับอาหารบนโต๊ะ และเตรียมพร้อมรอคอยที่จะได้รื่มรมย์กับมื้ออาหาร
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เถิงเอ๋อรุกหนักมาก ใส่ใจอาซือหนักมาก อาการแบบนี้แสดงว่าเขาไม่อยากอยู่โซนพี่ชายข้างบ้านแล้วนะอาซือ
ไหหม่า(海馬)