ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 442 แยกแยะ
บทที่ 442 แยกแยะ
บทที่ 442 แยกแยะ
หลังผ่านช่วงเช้าที่แสนจะวุ่นวาย ในที่สุดสมุดบัญชีก็ถูกปิดลง
เหยาซูมองดูหลินซือที่ไม่ได้รู้สึกรำคาญจนต้องวิ่งหนีไปด้วยความทนไม่ไหว แล้วเอ่ยขึ้น “เอ้อเป่า เจ้ามีพรสวรรค์ในการทำการค้าไม่น้อย”
หลินซือรู้สึกภาคภูมิใจ เงยหน้าขึ้นพลางกล่าวว่า “แน่นอน แบบนี้สินะเจ้าคะที่เรียกว่าลูกสาวได้แม่”
“เจ้าแค่ไม่มีเงินหรือเปล่า” เหยาซูหัวเราะ “รีบไปนอนกลางวันได้แล้ว ดูรอยคล้ำรอบดวงตาเจ้าสิ คนเห็นจะต้องตกใจเป็นแน่”
หลินซือไม่ได้รู้สึกง่วงนอนแล้ว ครั้นได้ยินเหยาซูกล่าวออกมาเช่นนี้ก็รู้สึกง่วงจนต้องหาวออกมา กล่าวขึ้นอย่างงัวเงีย “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ”
“รีบไปเถอะ หูเซียงดูแลคุณหนูด้วยนะ อย่าปล่อยให้นางนอนบนพื้นเล่า” เหยาซูกำชับ
หูเซียงพยักหน้า รุดขึ้นหน้าประคองหลินซือตลอดทางจนส่งเด็กสาวถึงเตียง
ก่อนที่จะเข้าสู่ภวังค์แห่งความฝัน หลินซือไม่ลืมที่จะจับแขนหูเซียงไว้แน่น “อย่าลืมนัดกับพี่ไป๋นะ พอถึงตอนเย็นแล้วแดดจะไม่ร้อนเช่นนี้ พวกเราจะออกไปเดินเล่นซื้อของกัน”
“รับทราบแล้วเจ้าค่ะคุณหนู ท่านรีบพักผ่อนเสียเถิด” หูเซียงรีบกล่าวขึ้น
หลังจากที่หลินซือพอใจกับคำตอบ เด็กสาวจึงหลับตาเอียงศีรษะเข้าสู่ห้วงนิทราไปในทันที
แต่หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม ในตอนที่ไป๋หรูปิงเดินทางมาถึง หูเซียงกลับไม่ได้ปลุกหลินซือให้ตื่น
หูเซียงกำลังเช็ดใบหน้าของหลินซือที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียง เมื่อสาวใช้เห็นว่าไป๋หรูปิงมาถึงจึงยิ้มและโค้งคำนับให้กับเด็กสาว “คุณหนูไป๋ อีกสักครู่คุณหนูก็จะตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าทำเช่นนี้นางคงจะไม่มีทางตื่น เจ้าลงไปก่อน ข้าจะปลุกคุณหนูของเจ้าเอง” เมื่อมองไปยังหลินซือที่หลับอยู่ ริมฝีปากไป๋หรูปิงเผยรอยยิ้ม
หูเซียงราวกับได้รับพระราชทานอภัยโทษ รู้สึกขอบคุณไป๋หรูปิงอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะถอยออกไป
ไป๋หรูปิงนั่งลงตรงหัวเตียง กล่าวกับหลินซือด้วยรอยยิ้ม “เอ้อเป่า ข้ามาแล้ว ยังไม่ตื่นอีกหรือ?”
หลินซือเหยียดนิ้วออกมาด้วยความยากลำบาก กล่าวขึ้นอย่างคลุมเครือ “ขออีกเค่อหนึ่งนะ”
“แต่ว่า เจี่ยงเถิงเองก็มาแล้ว เห็นเขาบอกว่ามีเรื่องอยากจะมาหาเจ้า” ไป๋หรูปิงกลั้นหัวเราะ
หลินซือที่สภาพหมดแรงหมดพลังลุกขึ้นมานั่งฉับไว เปลือกตาหนักอึ้งของเด็กสาวลืมขึ้น ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างร้อนใจ “ที่ไหน?!”
เมื่อมองดูท่าทางของหลินซือ ไป๋หรูปิงก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ จึงเอ่ยหยอกล้อ “ก็อยู่ในใจของเจ้าอย่างไรเล่าเอ้อเป่า”
หลินซือรู้ตัวทันทีว่าตนเองโดนหลอกแล้ว เด็กสาวฟาดไป๋หรูปิงด้วยหมอนใบนุ่มและบ่นขึ้น “พี่ไป๋ ท่านทำให้ข้าตกใจแทบแย่ ถ้าเจี่ยงเถิงมาเห็นสภาพที่รุงรังของข้าตอนนี้ เจี่ยงเถิงคงจะหัวเราะเยาะข้าไปอีกสิบปีแน่”
ไป๋หรูปิงลุกขึ้นหลบ ‘การจู่โจม’ ของหลินซือ หัวเราะแล้วกล่าวขึ้น “เอ้อเป่ามีนัดกับข้า พวกเราจะไปซื้อของกัน ตอนนี้แขกก็มาแล้ว มีที่ไหนที่เจ้าบ้านยังนอนอุตุอยู่?”
“ข้าก็ตื่นแล้วนี่อย่างไร” หลินซือพึมพำแล้วลุกขึ้น ไป๋หรูปิงเรียกหูเซียงที่ยืนอยู่ตรงประตูมาจัดการกับสภาพของหลินซือตอนนี้
หูเซียงมองไป๋หรูปิงด้วยสายตาชื่นชม ไป๋หรูปิงยิ้มจาง เก็บซ่อนคุณงามความดีครั้งนี้ไว้
ไม่นานหลินซือก็จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ทั้งสองนั่งรถม้าและตรงไปยังโรงผลิตอวี้หยวน ซึ่งเป็นแหล่งขายหยกที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
“เอ้อเป่า หยกใสชิ้นนี้เป็นเช่นไรบ้าง?”
ไป๋หรูปิงหยิบกำไลหยกน้ำงามขึ้นมาทาบลงบนข้อมือของหลินซือ
หลินซือหยิบมันขึ้นมาแล้วสวมบนข้อมือของตน แล้วพูดคำว่า ‘ก็พอใช้ได้’ เป็นครั้งที่ห้าของวันนี้
ไป๋หรูปิงถอนหายใจแล้วถอดกำไลให้กับหลินซือ “เอ้อเป่า เจ้าไม่ได้อยากมาเลือกกำไลข้อมือหรอกหรือ? เครื่องประดับหยกที่ดีที่สุดก็ล้วนอยู่ในร้านนี้แล้ว ไม่เห็นเจ้าจะมองอันไหนดีเลย”
“อืม ข้าเองก็อยากดู” หลินซือส่ายหน้า “เครื่องประดับของพิธีปักปิ่นยังไม่ได้เลือกเลย”
“มัวแต่พูดอ้อมค้อมไม่ตรงประเด็นอยู่ได้ มีอะไรให้ข้าช่วยเจ้าบอกข้ามาตรง ๆ เลย” ไป๋หรูปิงเคาะหน้าผากของหลินซือ แล้วกล่าวขึ้นอย่างชัดเจน
หลินซือยิ้มด้วยความเขินอาย แล้วขอให้คนงานเตรียมห้องรับรองให้กับพวกเขาหนึ่งห้อง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการถามเจาะลึกของไป๋หรูปิง ไม่ง่ายเลยที่จะทำใจให้สงบ นางเอ่ยถามอย่างลังเล “พี่ไป๋ ระหว่างท่านกับพี่ใหญ่รู้ได้อย่างไรว่ารู้สึกชอบอีกฝ่ายน่ะ?”
ถึงแม้ว่าไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ไป๋หรูปิงก็สามารถรับรู้ได้ พี่ไป๋ชอบพี่ใหญ่มาก พี่ใหญ่เองก็ชอบพี่ไป๋เช่นกัน
เพียงแต่ว่า ทั้งสองยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ดังนั้นมารยาทจึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง
แก้มของไป๋หรูปิงขึ้นสีแดงระเรื่อ เด็กสาวยกชาขึ้นดื่มเพื่อปกปิดอาการ “จู่ ๆ เหตุใดเจ้าจึงถามขึ้นเช่นนี้?”
“วันนั้นท่านแม่จู่ ๆ ก็ให้ข้าดูรายชื่อของเด็กหนุ่มทั้งหมดในเมืองหลวง บอกว่าอยากให้ข้าแต่งงาน แล้วยังบอกอีกว่าให้ข้าไปพบกับพวกเขา แต่ข้าไม่รู้ว่าการชอบใครสักคนมันมีความรู้สึกเช่นไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเราชอบใคร? เช่นนั้นจึงพาท่านมาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำน่ะ”
หลินซือทำตามข้อแก้ตัวที่นางเตรียมไว้เสร็จแล้วและมองไปที่ไป๋หรูปิงอย่างกระตือรือร้น
เมื่อไป๋หรูปิงถูกเอ่ยถาม นางจึงลังเลอยู่สักครู่ ก่อนที่จะตอบขึ้นอย่างช้า ๆ “การชอบคนคนหนึ่ง เจ้าจะคิดถึงเขาตลอดเวลา อยากจะแบ่งปันสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา ถ้าหากว่าพบเจอกับเรื่องแย่ ๆ เขาจะมาหาเราคนแรกเสมอ”
“แล้วคนคนนั้นกับคนในครอบครัวต่างกันเช่นไร?”
หลินซือสับสน นางรู้สึกว่าสิ่งที่ไป๋หรูปิงกล่าวกับตนสามารถนำไปใช้กับครอบครัวก็ได้ เจี่ยงเถิงเองก็เช่นกัน
“ไม่เหมือนกัน” ไป๋หรูปิงส่ายหน้า “สำหรับคนในครอบครัวแล้วเราจะอยากบอกแค่เรื่องดี ๆ กับพวกเขาแต่ว่าไม่อยากจะบอกเรื่องที่ไม่ดี แต่ว่าสำหรับคนที่ชอบนั้นเราอยากจะให้เขามาช่วยแบกความรู้สึกแย่ ๆ กับเรา ก็เหมือนกับเอ้อเป่าและศิษย์พี่ ศิษย์พี่ต้องการที่จะดูแลเอ้อเป่าจนเติบโต ต่อไปก็สามารถอยู่คนเดียวได้ แต่ถ้าหากเป็นคนที่รักเอ้อเป่า จะอยากปฏิบัติต่อเจ้าราวกับเจ้าเป็นเด็กน้อยตลอดและอยากที่อยู่กับเอ้อเป่าตลอดไป”
หลินซือฟังก็พลางค่อย ๆ นึกถึงเจี่ยงเถิง นางรู้สึกว่าบางเวลาเจี่ยงเถิงก็รู้สึกอย่างจะปกป้องตนเองจริง ๆ แต่บางครั้งก็ชอบที่จะสั่งสอนเหมือนกับพี่ใหญ่ แล้วก็เหมือนคนรักเช่นกัน
หลินซือกำลังสับสน
“ดังนั้น เอ้อเป่ามีคนที่ชอบหรือไม่?” ไป๋หรูปิงมองเห็นท่าทางของหลินซือที่ดูราวกับว่ามีอะไรบางอย่าง จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ไม่มี” หลินซือรีบตอบกลับ
ไป๋หรูปิงไม่ได้คะยั้นคะยอต่อแต่อย่างใด เพียงแค่กล่าวขึ้นช้า ๆ “บางครั้งคนที่เจ้าชอบ อาจเป็นคนที่คอยเฝ้าอยู่เงียบ ๆ รอบตัวเจ้า เพียงแต่เจ้าคุ้นเคยกับการมีอยู่ของอีกฝ่าย เจ้าจึงมองไม่เห็น”
หลินซือรู้ว่าคำพูดที่ไป๋หรูปิงกล่าวนั้นมีความหมายบางอย่าง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น “แต่ว่า ถ้าโตมาด้วยกันและอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ก็ไม่นับว่าเป็นคนในครอบครัวหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” ไป๋หรูปิงยกชาขึ้นดื่ม เด็กหญิงคิดอยู่สักพักก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ข้าจะยกตัวอย่างให้กับเอ้อเป่า ก็เหมือนว่าเจ้านอนขี้เกียจอยู่บนเตียงในสภาพที่ไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์ ถ้าหากว่าเป็นศิษย์พี่ที่ไปปลุกเจ้า เจ้าจะยังคงนอนขี้เกียจต่อ แต่ว่าถ้าหากเป็นคนที่เจ้าชอบไปปลุกเจ้า เจ้าก็จะรีบลุกขึ้นทันที เพราะว่าเจ้าใส่ใจกับภาพลักษณ์ของตัวเองเวลาต้องอยู่ต่อหน้าคนคนนั้น”
“ก็ไม่แน่นอนนะ ข้าไม่อยากให้เจี่ยงเถิงเห็น เหตุเพราะว่าเขาจะหัวเราะเยาะข้า…”
หลินซือที่เล่นสำนวนค่อย ๆ ตัวเล็กลงเรื่อย ๆ ภายใต้แววตาของไป๋หรูปิง และในที่สุดก็หายตัวไปหลังถ้วยชา
“เอาละ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว เอ้อเป่ายังเด็กอยู่ เมื่อถึงเวลาก็จะมีหนทางเอง เอ้อเป่าอย่าคิดแต่เรื่องพวกนี้เลย”
ไป๋หรูปิงไม่ต้องการที่จะบีบบังคับเด็กสาวมากเกินไป จึงทำให้นางรู้สึกโล่งใจขึ้น
หลินซือถอนหายใจ และพยักหน้า “งั้นพวกเราไปเลือกของกันต่อเถอะ ข้ารู้สึกว่าหยกใสเมื่อครู่ก็ไม่เลวนะ”
“ได้เลย” ไป๋หรูปิงยิ้มแล้วพยักหน้า
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พอเอ่ยถึงชื่อพี่เถิงนี่สะดุ้งตัวตื่นเลยนะอาซือ แบบนี้จะว่าไม่มีใจให้ก็ไม่ใช่แล้วล่ะ
ไหหม่า(海馬)