ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 449 งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ
บทที่ 449 งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ
บทที่ 449 งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ
เดิมทีเซี่ยเซินกำลังจดจ่ออยู่กับการกินขนม แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินชื่อของพี่สาว เด็กชายจึงหยุดเคี้ยวพลันเงยหน้าขึ้นมามอง
“หมู่เฟย ท่านเขียนขึ้นมาพิเศษหนึ่งฉบับให้กับหลินซือจะได้หรือไม่?”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้ข้าเคยทำให้นางกลัวมาก่อน ข้าเกรงว่านางจะจงใจหลบข้า”
“หากคนผู้นั้นไม่ต้องการจะพบฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องการจะเชิญนางล่ะเพคะ?” สวีกุ้ยเฟยเห็นท่าทางขององค์รัชทายาทที่ดูราวกับเป็นผู้ใหญ่ จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้
“เผื่อจะเป็นไปได้ ถึงอย่างไรท่านแม่เขียนขึ้นอีกหนึ่งฉบับจะได้ไหม?”
องค์รัชทายาทแสดงท่าทีเขินอายต่อสวีกุ้ยเฟย เมื่อเห็นเซี่ยเซินเดินเข้ามา พระองค์จึงคว้าเด็กชายไว้แน่น “หมู่เฟย หลินซือคือพี่สาวของเซี่ยเซิน แต่ว่าท่านเองก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะพบกันในแต่ละครั้ง ท่านเขียนฉบับพิเศษหนึ่งฉบับนะขอรับ”
เมื่อเซี่ยเซินได้ยินว่าจะได้พบกับพี่สาว เด็กชายก็มองดูสวีกุ้ยเฟยอย่างรอคอย แล้วก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “กุ้ยเฟย จะได้ไหมพะยะค่ะ?”
เซี่ยเซินคือเด็กที่เซี่ยเชียนรักและทะนุถนอมที่สุด เมื่อเซี่ยเชียนรักใครนางก็รักด้วยเช่นกัน มากไปกว่านั้นลักษณะท่าทางต่าง ๆ ของเด็กชายก็เหมือนออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับเซี่ยเชียนอย่างไรอย่างนั้น สวีกุ้ยเฟยจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร จึงทำได้เพียงเขียนจดหมายขึ้นมาให้กับหลินซืออีกหนึ่งฉบับโดยเฉพาะ ซึ่งผ่านการควบคุมขององค์รัชทายาท
หลินซือกลับมาจากเหมืองด้วยสภาพเนื้อตัวคลุกฝุ่น เมื่อถึงบ้านนางก็ได้รับจดหมายฉบับพิเศษจากพระราชวัง
“เหตุใดจึงจัดงานอีกแล้วล่ะ!” หลินซือคร่ำครวญอยู่บนตั่งนอนนุ่ม ๆ ไม่ต้องการจะลุกขึ้นมา
“แม่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไร แต่พวกเขาต้องการจะจัด พวกเราทำได้แค่ไปเข้าร่วมเท่านั้น” เหยาซูจับหลินซือที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นเอาไว้แน่นอย่างช่วยไม่ได้ ถอดเสื้อคลุมสกปรกของนางออก และปล่อยให้ลูกสาวล้มตัวลงบนเบาะนุ่ม ๆ
วันนี้หลินซือใช้ทั้งแรงใจและแรงกาย เด็กสาวจึงเหนื่อยเป็นอย่างมาก ทันทีที่นางได้สัมผัสกับเตียงนุ่ม ๆ จึงต้องการจะนอนพัก ตอนนี้สติของนางกำลังเลือนลางขึ้นเรื่อย ๆ และนางก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะยังไม่นอน จึงเอ่ยพึมพำขึ้นมา “ข้าไม่อยากไป ข้าไม่ไปได้ไหมเจ้าคะ? ถ้าไปแล้วต้องเจอกับองค์รัชทายาทแน่ ๆ ข้าไม่อยากไป…”
“แม่เองก็ไม่ต้องการให้เจ้าไป แต่ในครั้งนี้จดหมายไม่ได้เชิญข้า แต่เชิญเจ้าโดยเฉพาะ ขืนไม่ไปอาจจะโดนจับ และจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับท่านพ่อได้” เหยาซูถอนหายใจและห่มผ้าห่มบาง ๆ ให้กับหลินซือ
“เช่นนั้นไม่ได้” จู่ ๆ หลินซือก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหลม ก่อนจะลดเสียงลง “จะทำให้ท่านพ่อเดือดร้อนไม่ได้ พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ…ยังมีเจี่ยงเถิง ต้องบอกกับเขา เขา ให้รอข้า…”
เหยาซูลูบใบหน้ารูปไข่ของหลินซือแผ่วเบา หญิงสาวถอนหายใจออกเงียบ ๆ
ค่ำของวันถัดมา เจี่ยงเถิงรีบไปจวนท่านแม่ทัพด้วยความคึกคัก ก็ได้รับข่าวที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไร
“เจ้าจะเข้าวังอีกแล้วหรือ?” เจี่ยงเถิงขมวดคิ้ว “อีกทั้งยังเป็นจดหมายเชิญส่วนตัว”
“ถูกต้อง”
หลินซือยื่นจดหมายเชิญให้เจี่ยงเถิงดู “รอบก่อนเป็นฉบับที่ส่งให้แม่ข้า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ส่งให้ข้าโดยเฉพาะ”
“เรื่องเกิดขึ้นแล้วอย่างไรเสียก็ต้องมีหนทาง” ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้น “แล้วจดหมายเชิญครั้งนี้ผู้ใดเป็นคนส่งมา”
“ท่านแม่บอกว่าเป็นคนของสวีกุ้ยเฟย” หลินซือหาวแล้วกล่าวอย่างเกียจคร้าน
เจี่ยงเถิงนึกถึงเรื่องราวของสวีกุ้ยเฟยอย่างรวดเร็วในสมอง และเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด “ต้องเป็นองค์รัชทายาทส่งมาแน่ เป็นเขาที่ต้องการให้เจ้าเข้าวัง”
“ข้าเองก็คิดเช่นกัน ไม่เช่นนั้นจะระบุเป็นข้าคนเดียวได้อย่างไรกัน” หลินซือเป่าใบชาในถ้วยด้วยความเกียจคร้าน “แต่ว่าข้าไม่ไปไม่ได้ ในราชสำนักมีคนมากมายที่ไม่ชอบท่านพ่อของข้า ถ้าหากให้พวกเขาพบความผิดพลาดเล็ก ๆ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้”
คำพูดของเด็กสาวมีเหตุผล เรื่องที่องค์รัชทายาทต้องการให้หลินซือเข้าวังต้องเป็นแผนการไม่ดีของเขาแน่ ๆ
“อาซือ!” จู่ ๆ เจี่ยงเถิงก็นึกวิธีได้ “ถ้าหากครั้งนี้องค์รัชทายาทมาก่อกวนเจ้า เจ้าต้องเข้าไปหาผู้คนนะ ถ้าอยู่ต่อหน้าสวีกุ้ยเฟยได้จะเป็นการดีมาก ๆ”
ใช่สิ เหตุใดตนจึงลืมไปได้ อย่างไรก็แค่เด็กหนึ่งคน เมื่อเด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้นในท้องพระโรงที่มีผู้คนมากมายว่าอยากได้ใครเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท เช่นนั้นทุกคนต้องคิดว่าเด็กเล็กพูดจาขบขัน หัวเราะสักครู่ก็ผ่านไปแล้ว
โดยเฉพาะหลังจากที่องค์รัชทายาทโตขึ้นแล้ว ความคิดก่อนหน้านี้ของผู้คนที่ฝังแน่น พวกเขาก็จะต้องไม่เชื่อเรื่องที่พระองค์ต้องการหลินซือมาเป็นชายา
ครั้นฟังเจี่ยงเถิงอธิบายเสร็จ หลินซือก็นึกออกขึ้นมาในทันที เด็กสาวตบบ่าของเจี่ยงเถิง “พี่อาเถิง ท่านสุดยอดมาก!”
ผ่านไปไม่กี่วัน หลินซือก็เตรียมตัวพร้อมเต็มที่ เด็กสาวยืนอยู่ในพระราชวังที่นางเองก็ไม่ได้อยากจะมาเยือนเท่าไร ซ้ำยังมีสวนหลวงที่พบกับองค์รัชทายาทในครั้งก่อนอีก
หลินซือเบื่อที่จะมองดูดอกไม้และต้นไม้ที่นางไม่สามารถแยกแยะชนิดออก ทันใดนั้นก็มีเสียงเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง “เจ้าคงจะเป็นหลืนซือ บุตรสาวของตระกูลหลินสินะ”
หลินซือหันกลับมา เห็นสตรีที่แต่งตัวงดงามประณีตกำลังยืนยิ้มให้กับตนอยู่
เมื่อมองเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ของอีกฝ่าย และด้านหลังยังมีนางข้าหลวงตามมา หลินซือก็รู้ทันทีว่าสตรีท่านนี้เป็นใคร จึงรีบโค้งคำนับ
“แม่นางหลิน ไม่ต้องมากพิธี ความประทับใจของข้าที่มีต่อเจ้า ยังคงตราตรึงมาถึงเวลานี้” สวีกุ้ยเฟยประคองเด็กสาวให้ลุกขึ้น นางมองไปที่หลินซือสักพักก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ไม่แปลกใจที่ฝ่าบาทจะคิดถึงแต่เจ้าอย่างไม่ลืมเลือน แม่นางช่างสวยงาม ทำให้ผู้พบเห็นยากที่จะลืมนัก”
“สวีกุ้ยเฟยชมหม่อมฉันเกินไปแล้วเพคะ” หลินซือรีบเอ่ยขึ้น “หม่อนฉันกับองค์รัชทายาทพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง จะทำให้พระองค์ยากที่จะลืมเลือนได้เช่นไรกันเพคะ?”
“อย่าได้เป็นกังวลไป ข้าเพียงแค่พูดขึ้นมาเฉย ๆ” สวีกุ้ยเฟยชี้ไปด้านหลังหลินซือ “เจ้าดูสิ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา”
“พี่อาซือ!” องค์รัชทายาทรีบวิ่งเข้ามา หยุดลงหน้าหลินซือ “ท่านมาจริง ๆ ด้วย!”
“ฝ่าบาทให้ข้าเขียนเชิญเจ้าเป็นพิเศษ”
“หมู่เฟย!”เมื่อเห็นว่าสวีกุ้ยเฟยกำลังจะพูดถึงสิ่งที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตนเอง องค์รัชทายาทจึงรับขัดขึ้น “ตอนที่ข้ากำลังมาเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยกำลังตามหาท่านอยู่ ดูท่าทางร้อนรนเชียว ท่านรีบไปเถิด!”
“ได้ ได้ ข้าจะรีบไป ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว”
สวีกุ้ยเฟยรู้ตัวว่าต้องทำเช่นไรในสถานการณ์นี้ จึงรีบออกจากบริเวณนี้ไป
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มัดมือชกกันนี่หว่า ไม่อยากไปก็ต้องไปเพราะห่วงภาพลักษณ์ของท่านพ่อ
ไหหม่า(海馬)