ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 461 ช่วยชีวิต
บทที่ 461 ช่วยชีวิต
บทที่ 461 ช่วยชีวิต
ตอนนี้เป็นช่วงที่ปูมีรสชาติเป็นเลิศ เป็นเวลาที่ทิวทัศน์ของทะเลสาบงดงามที่สุด อีกทั้งบนทะเลสาบต่างก็เต็มไปด้วยเรือฮว่าฝาง
โชคดีที่เหยาซูเหลือเรือฮว่าฝางไว้หนึ่งลำที่ไม่ได้ปล่อยเช่าไป ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องใช้เวลาต่อแถวนานเท่าไรก็ไม่อาจรู้ได้
ทะเลสาบเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ซุ้มขายของเล็ก ๆ เรียงรายอยู่ริมถนน อาซือที่ไม่ได้ออกไปไหนมาครึ่งเดือนก็ไม่รู้ว่าควรจะมองไปทางไหนก่อนดี
“พี่เถิง ท่านดูสิ ตรงนั้นมีคนขายน้ำตาลปั้นอยู่หนึ่งคน”
อาซือมองอาเถิงด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ในอ้อมแขนของเจี่ยงเถิงอุ้มของไว้เยอะแยะมากมาย แต่เมื่อโดนอาซือจ้องเขม็ง เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก “ได้สิ อาซืออยากได้แบบไหนล่ะ?”
อาซือมองดูลวดลายบนแผงอยู่เป็นเวลาหนึ่ง ในที่สุดเด็กสาวก็เอ่ยกับเจ้าของแผง “ข้าขอรูปนกหนึ่งตัวได้หรือไม่?”
ลักษณะของทั้งสองคนเมื่อมองดูแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ดีมีตระกูล เจ้าของแผงที่ไหนจะไม่ตกลง หลังจากที่ถามไถ่อาซือว่าต้องการนกลักษณะแบบไหนก็ได้ลงมือทำในทันที
“อาซือ เหตุใดเจ้าจึงอยากได้รูปนก?”
เจี่ยงเถิงมองท่าทางของอาซือแล้วเอ่ยถามขึ้น
อาซือกล่าวกับเจี่ยงเถิงด้วยความตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องเจ้านกน้อย
เจี่ยงเถิงตั้งใจฟังเด็กสาวเล่าเรื่องราวด้วยรอยยิ้ม
ไม่นานเจ้าของแผงก็ปั้นนกน้อยเสร็จ ก่อนยื่นให้อาซือเคล้าด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู นี่คือนกกางเขนหนึ่งตัว ผู้ใดได้รับกางเขนผู้นั้นจะโชคดี”
“จริงหรือ?!” อาซือมองดูน้ำตาลปั้นรูปนก “ข้าไม่กล้ากินแล้ว”
เจี่ยงเถิงเหลือบไปเห็นเหยาซูที่อยู่บนเรือฮว่าฝางและโบกมือให้กับพวกเขาอยู่ เห็นได้ชัดว่าอีกสักพักจะออกเรือแล้ว เด็กหนุ่มจ่ายเงินให้กับเจ้าของแผง และพาอาซือที่ไม่เต็มใจจะจากไปกลับไปบนเรือ
บนเรือมีอากาศชื้น เหยาซูถือผ้าคลุมรออยู่บนดาดฟ้าเรือ เมื่ออาซือมาถึงนางก็สวมให้กับบุตรสาว อีกทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่ท่วมใบหน้าของนาง แล้วตำหนิขึ้นเบา ๆ “เอ้อเป่า เจ้าเพิ่งหายจากไข้ ข้าบอกกับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าวิ่งไปมา เจ้าดูสภาพตัวเองที่เหงื่อท่วมตัวเช่นนี้สิ ถ้าเจ้าโดนลมอีก เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องออกไปไหนเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“ท่านแม่ ไม่ได้นะเจ้าคะ”
อาซือกอดแขนออดอ้อนเหยาซู เจี่ยงเถิงที่ยืนบังลมให้กับนางอยู่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา
“เอาละ เอาละ พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ อย่าอยู่ตากลมตรงนี้เลย”
เหยาซูเคาะหน้าผากของอาซือเบา ๆ และสั่งให้ทั้งสองเข้าไปในเรือ
ลับหลังอาซือ เหยาซูยิ้มขึ้นและพยักหน้ากับเจี่ยงเถิงที่ยืนบังลมให้กับอาซือเมื่อสักครู่
เจี่ยงเถิงรู้สึกประหม่าขึ้นมาเมื่ออยู่ต่อหน้าเหยาซู หลังจากที่สังเกตเห็นความหมายของฝ่ายตรงข้าม เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เด็กหนุ่มมักมือไม้อ่อนไปหมดจึงทำได้แค่ยิ้มอย่างมึนงงเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เหยาซูเห็นการแสดงออกที่ดูมึนงงของเจี่ยงเถิง หญิงสาวจึงรู้สึกขบขันอยู่ภายในใจ
แก่นแท้แห่งความรักคืออะไร และมันสอนอะไรให้กับชีวิต
แต่จะมีสักกี่ครอบครัวล่ะ?
เหยาซูมองดูอาซือที่กำลังเล่นกับน้ำตาลปั้นรูปนกอย่างมีความสุข หญิงสาวส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
ประจวบกับอาซือที่หันหน้ามาพอดี เด็กสาวเห็นแม่ของตนส่ายหน้า จึงเอ่ยขึ้นด้วยความงงงวย “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงทอดถอนใจเจ้าคะ?”
เหยาซูจ้องมองอาซือด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย และสุดท้ายนางก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา และพาอีกฝ่ายเข้าห้องโดยสารไป “ปูอยู่บนโต๊ะแล้ว เจ้าไม่ได้พูดกับข้าถึงมันตลอดเวลาหรอกหรือ รีบไปกินสิ”
ผลปรากฏว่าอาซือลืมเรื่องราวเมื่อสักครู่ในทันที เด็กสาวโห่ร้องด้วยความปีติและพุ่งเข้าไปลิ้มรสปูอันโอชะ
เหยาซูหัวเราะขึ้นพร้อมกับส่ายหน้า และตามเข้าไปกำชับ “ปูมีฤทธิ์เย็น เจ้ากินให้น้อยหน่อย”
ในท้ายที่สุดอาซือก็รับประทานเข้าไปได้ไม่เท่าไร เหยาซูทำเพียงแกะขาปูให้กับเด็กสาว ของพวกนั้นไม่เพียงพอต่อการระงับความอยากของนางเลย
เนื่องจากมันส่งผลต่อร่างกายของอาซือ การออดอ้อนครั้งยิ่งใหญ่ของอาซือจึงใช้ไม่ได้ผลกับเหยาซูผู้มีหลักการหนักแน่นเลยแม้แต่น้อย
ด้วยผิดหวังจากเหยาซู อาซือทำได้เพียงหันไปมองเจี่ยงเถิงด้วยสีหน้าที่น่าสงสาร
เจี่ยงเถิงที่อยู่ต่อหน้าเหยาซู เด็กหนุ่มไม่กล้าขัดต่อความประสงค์ของเหยาซู จึงทำได้แค่เพียงส่งสุราข้าวอุ่น ๆ ให้กับนาง
อาซือไม่ชอบรสชาติของสุราข้าว การที่ต้องนั่งมองดูผู้คนรับประทานสิ่งที่ตนชอบจากตรงนี้มันช่างแสนเจ็บปวด ก่อนหน้านี้ที่ถูกบังคับให้ดื่มไม่กี่แก้วนั้นทำให้ร่างกายรู้สึกร้อนผ่าว เด็กสาวจึงขึ้นไปชมทิวทัศน์ที่ดาดฟ้าของเรือ
ไป๋หรูปิงรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นอาซืออยู่บนดาดฟ้าเรือที่อากาศเย็น นางกำลังจะลุกขึ้นก็เห็นว่าเจี่ยงเถิงกระซิบอะไรสักอย่างกับฮูหยินเจี่ยง และเด็กหนุ่มก็จากไปอย่างเร่งรีบ
…
บริเวณผิวน้ำมีหมอกขาวปกคลุม อาซือพิงกับราวจับ มองดูทิวเขาที่พร่างพรายในสายหมอกด้วยความเคลิบเคลิ้ม
“อาซือ”
จู่ ๆ บริเวณด้านหน้าก็มีลูกขนไก่หลากหลายสีสันปรากฏออกมา ซึ่งคือลูกขนไก่ที่ซื้อบนฝั่งเมื่อครู่นี้
ไม่ต้องหันกลับไปมองอาซือก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่านี้คือเจี่ยงเถิง เด็กสาวกล่าวขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ “ท่านออกมาทำไม”
“อาซือไม่สนุกหรือ?” เจี่ยงเถิงเก็บลูกขนไก่กลับมา และเข้าไปพิงราวชมทิวทัศน์ข้าง ๆ อาซือ
“ไม่ใช่นะ ข้าเพิ่งจะหายจากอาการป่วย” จริง ๆ แล้วก็ไม่ควรทานอะไรเยอะ
อาซือก้มหน้าลงและประสานนิ้วเข้าหากัน “ก็แค่รู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลย นั่นก็ห้ามทำนี่ก็ทำไม่ได้ เลยผิดหวังนิดหน่อย”
“ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอื่น คุยกับข้าเรื่องนกกางเขนที่เจ้าชอบตัวนั้นสิ อยากจะตั้งชื่อไหม?” เจี่ยงเถิงเลือกหัวข้อสนทนา
“ไม่ต้องหรอก”อารมณ์ของอาซือหายไปแล้วจริง ๆ และนางก็จดจ่ออยู่กับเรื่องนกตัวนั้นของนาง “ข้าเพียงแค่เห็นว่ามันบาดเจ็บเลยอยากจะช่วยมัน ตอนนี้มันก็ดีขึ้นมามากแล้ว ไม่แน่ว่าวันที่มันบินไปแล้ว ชื่อของมันก็จะไม่มีประโยชน์อันใด”
“อาซือไม่อยากเลี้ยงมันหรือ? ในเมืองหลวงมีสตรีมากมายที่เลี้ยงนกไว้ในกรง ก็น่าสนใจดีนะ”
อาซือส่ายหน้า “เดิมทีมันก็สามารถดูแลตัวเองได้ หากข้าไม่ปล่อยมันไป นั่นจะไม่ใช่การเลี้ยงดูแต่จะเป็นการกักขังมันไว้”
เจี่ยงเถิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ และเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบา ๆ “อาซือ เจ้าช่างจิตใจงดงามเช่นนัก”
“มีอะไรที่ดีงามและไม่ดีงามกัน ทุกสิ่งล้วนไม่ใช่เช่นนี้…”
อาซือก้มหน้าลงพิจารณานิ้วเท้าของตน หญิงสาวพึมพำขึ้น
ทั้งสองเงียบเสียงลง จู่ ๆ ก็มีเสียงแหลมดังขึ้นไม่ไกล “ช่วยด้วย! มีคนตกน้ำ!”
อาซือตกใจกับเสียงร้องแหลมสักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นนางก็หันไปหาต้นเสียง
เป็นหญิงวัยกลางคนนอนฟุบร้องไห้อยู่ที่หัวเรือ ในน้ำมีเด็กชายตะเกียกตะกายอยู่ ครั้นมองดูแล้วคาดว่าจะเผลอพลัดตกน้ำไป
“ช่วยด้วย! ช่วยลูกชายข้าด้วยเถิด!” หญิงผู้นั้นฟุบหน้าร้องไห้อยู่ตรงหัวเรือ
“พี่อาเถิง” อาซือยื่นมือไปจับคนข้าง ๆ “พวกเรารีบไปเรียกคนเถอะ”
แต่ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงของอาซือ หางตาของนางก็เห็นคนข้าง ๆ กระโจนลงไปและว่ายไปหาเด็กที่จมน้ำทันที
“พี่อาเถิง!” หลินซือร้องมาด้วยความตกใจ เด็กสาวรีบตรงไปที่หัวเรือและเฝ้าดูเจี่ยงเถิงที่ว่ายไปช่วยเด็กชายที่จมน้ำ นางจับราวไว้แน่น หัวใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สงสารอาซือจังค่ะ อยากกินปูแต่ก็กินไม่ได้เยอะเพราะเพิ่งหายป่วย
จริงนะที่ควรมีอิสระให้แก่กัน ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นการกักขังซึ่งกันและกัน
ใครตกน้ำอีกล่ะนั่น
ไหหม่า(海馬)