ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 465 รวมตัว
ตอนที่ 465 รวมตัว
ตอนที่ 465 รวมตัว
เหยาเอ้อหลางยักคิ้วหลิ่วตาอย่างลำพองใจไปทางเจี่ยงเถิง ก่อนจะชี้ไปยังคนพายเรืออีกคนที่กำลังพัลวันพัลเกอยู่อีกด้าน พร้อมพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าดูสิ เรื่องง่ายเพียงนี้กลับคิดเสียเนิ่นนาน ข้าเห็นแล้วเหนื่อยนัก”
อาซือเบ้ปาก ขณะที่กำลังจะเอ่ยบางอย่าง เหยาเอ้อหลางกลับทำท่าสั่งห้าม แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “น้องรัก ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดสิ่งใด มันไม่เหมือนกับการใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นหรอกนะ ต้องพูดเหตุผลกับเขา ให้เขายอมจำนน แต่ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้น ก็คงช่วยไม่ได้ เจ้าอย่าเสียเวลาเลยดีกว่า”
ในใจของอาซือเข้าใจว่าสิ่งที่เหยาเอ้อหลางพูดนั้นก็ถูกต้อง แต่ความจริงแล้วนางยังมีหนทางอื่น ช่างเถอะ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ
นางเดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือด้วยท่าทางทอดถอนใจ
“เจ้าดูสิ” เหยาเอ้อหลางพาดแขนบนไหล่ของเจี่ยงเถิง พลางตบหน้าอกของเขา “รู้ทั้งรู้ว่าการใช้ความเมตตา ความเคารพและสติปัญญามาสอนอาซือมันไร้ประโยชน์ นางโตขนาดนี้ทั้งยังไร้เดียงสาเสียขนาดนั้น ต่อไปคงจะถูกผู้อื่นหลอกให้ช่วยโดยง่ายแน่”
“นางรู้เรื่องเหล่านี้ก็พอแล้ว” เจี่ยงเถิงจ้องมองเงาของอาซืออย่างอ่อนโยน “เรื่องอื่นข้าแก้ไขได้”
“อย่าว่าแต่เจ้าเลย เมื่อครู่เหตุใดเจ้าถึงได้ชักช้ายืดยาด ปล่อยให้คนเช่นนั้นพล่ามไร้สาระเสียตั้งนาน”
เจี่ยงเถิงไม่พูดสิ่งใด เหยาเอ้อหลางเข้าใจอย่างฉับพลัน จึงพูดหยอกเย้าว่า “ข้ามันหยาบคาย คนไม่มีคนในใจอย่างข้าเลยไม่เข้าใจว่าต้องรักษาอากัปกิริยาให้งดงามอย่างไร”
“เจ้าก็อย่าลำพองใจเกินไป” เจี่ยงเถิงชำเลืองตามองเหยาเอ้อหลางปราดหนึ่ง “อีกสองปีเจ้าถึงจะเข้าร่วมพิธีสวมกวานได้ ข้างกายก็ยังไม่มีหญิงงาม เจ้ารอดูตัวเองเถิด”
“เรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของโชคชะตาเถอะ” เหยาเอ้อหลางไม่ใด้ใส่ใจ “ข้าแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีเฉกเช่นเจ้า ตราบใดที่ยังอยู่ในวัยใส่กางเกงเปิดเป้าก็ยังต้องเจอกับคนที่ชะตาฟ้าลิขิตผู้นั้น”
“พวกเจ้าสองคนยังตากลมอยู่ข้างนอกอีกหรือ” เหยาซูปรากฏตัวออกมาเรียกทั้งสองคนหน้าทางเข้า “รีบเข้ามา เราต้องกลับกันแล้ว”
“เหตุใดถึงเร็วเช่นนี้ขอรับ ไม่อยู่เล่นกันอีกหน่อยหรือ? ข้าจำได้ว่ายามอาทิตย์อัสดงของที่นี่งดงามยิ่งนักขอรับ”
เหยาเอ้อหลางเดินไปหาพลางเอ่ยโน้มน้าว
“เล่นอะไรอีก!” เหยาซูทำท่าจะตีเหยาเอ้อหลาง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงขบขันและขุ่นเคืองว่า “เจ้ากลับมาแล้วเราก็ต้องรีบพาเจ้ากลับไปปัดฝุ่นล้างเนื้อล้างตัวสิ หรือว่าเจ้าจะว่ายกลับไปเอง?”
เหยาเอ้อหลางหลบเลี่ยงฝ่ามือของผู้เป็นอาแวบหนึ่ง ก่อนจะวิ่งขึ้นเรือไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ
เจี่ยงเถิงส่งยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้กับเหยาซู แล้วเดินไปหาอาซือ
การกลับบ้านกะทันหันของเหยาเอ้อหลางสร้างความปั่นป่วนโกลาหลให้แก่ตระกูลเหยาไม่น้อย เหยาเฉาบิดาผู้ซึ่งไม่เคยถามไถ่ ไม่สนใจลูกชายคนนี้ก็อดเบิกตากว้างไม่ได้
เหยาเฉามองไปยังลูกชายที่ไม่ได้กลับบ้านมาสองปี ร่างกายซูบผอมลงไม่น้อยทำให้ถึงกับพูดไม่ออก
เหยาเอ้อหลางยังคงเรียบร้อยยามอยู่ต่อหน้าของเหยาเฉา หลัก ๆ เป็นเพราะกลัวโดนตี เลยทำความเคารพอย่างจริงจังแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้วขอรับ”
“เหตุใดกลับมาถึงไม่บอกข้าล่วงหน้าเล่า”
เหยาเฉาดุสั่งสอนลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าขาวนวลดุจหยกแสดงสีหน้าเคร่งเครียด ทำให้ขาของเหยาเอ้อหลางอ่อนยวบลงทันที
“เดิมทีต้องไปถึงสองปี ข้าเลยรีบกลับมา เพื่อสมัครเข้าร่วมกองทหารล่วงหน้า ไม่คิดว่าจะผ่านจริง ๆ ข้าตื่นเต้นน่ะขอรับ เลยลืมเขียนจดหมายมาบอก”
เหยาเอ้อหลางเกาศีรษะกลบเกลื่อนความผิดอย่างเงียบ ๆ แสดงท่าทีลำบากใจที่น้อยคนนักจะได้เห็น
เหยาเฉายังอยากถามอีก เหยาซูผู้ซึ่งได้รับสายตาอ้อนวอนจากเหยาเอ้อหลางกลับกลั้นขำก่อนเดินเข้าไปโน้มน้าว “พี่รอง พอได้แล้ว เอ้อหลางกลับมาเป็นเรื่องดีแล้ว ตอนนี้การเตรียมตัวไปงานเลี้ยงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เรื่องอื่นยังมีเวลาอีกมาก ไว้ค่อยถามก็ได้”
เหยาเฉาพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งครั้ง ก่อนจะพูดกับคนข้างกายว่า “เสี่ยวเว่ย ไปเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมงานเลี้ยงให้เขาเถอะ”
“ท่านอาเสี่ยวเว่ย” เหยาเอ้อหลางกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เอ้อหลาง ตามข้ามา ห้องของเจ้าได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดีมาตลอด สามารถเข้าอยู่ได้ทุกเมื่อ”
“ท่านอาเสี่ยวเว่ยยังรอบคอบเช่นเดิมเลยนะ”
“ท่านพ่อเจ้าคิดถึงแต่เจ้ามากนะ”
เหยาเฉาส่งสายตาห้ามปรามไปทางเขา ก่อนจะโบกสะบัดพัดในมือ รอยยิ้มบนใบหน้าในชุดสีขาวทั้งตัวขับให้ดูงดงามยิ่งนัก
เสี่ยวเว่ยได้รับการสั่งสอนจากเขา จึงยิ่งอยู่ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น ความสำเร็จนี้น่าชื่นชมยิ่งนัก!
…..
การกลับบ้านโดยไม่บอกไม่กล่าวของเหยาเอ้อหลางทำให้ตระกูลเหยาวิ่งพล่านกันตลอดช่วงบ่าย นอกจากนี้ยังมีเหยาผิงจอมก่อกวนที่เพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษาอีกด้วย สำหรับคนทั่วไปถือว่าเป็นหายนะเลยทีเดียว
อ่อจริงสิ ลืมบอกไป เหยาผิงเป็นลูกชายของพี่สะใภ้ใหญ่เหยา ตอนนี้เหยาต้าหลางได้รับการถ่ายทอดความสามารถด้านการค้าจากเหยาเฟิงผู้เป็นพ่อแล้ว จึงมาช่วยดูแลร้านของผู้เป็นอาและบิดาของตน
ถือว่าเป็นกิจการของตระกูลอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้
เหยาเฟิงแค่ชำเลืองมองด้วยสายตาเรียบเฉยแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “ตัวอักษรของเอ้อหลางก้าวหน้าขึ้นแล้วใช่หรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางนึกถึงความกลัวยามถูกผู้เป็นลุงบังคับให้คัดลายมือเมื่อครั้งยังวัยเยาว์ได้ จึงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “สุขภาพร่างกายของท่านลุงเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
หลินซือปิดปากหัวเราะ ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังพี่ชาย เผยให้เห็นแค่ดวงตาที่สุกสกาวคู่นั้น
เหยาซูเอนกายพิงอยู่ในอ้อมกอดของหลินเหรา นึกถึงเรื่องวัยเด็กของลูก ๆ แล้วหัวเราะเบา ๆ
เจี่ยงเถิงมาในฐานะแขก จึงพักอยู่ที่นี่ เจี่ยงฉีและเซี่ยเชียนพาอวี๋จือและซานเป่า รวมทั้งแม่นางเซวียที่เดินกรีดกรายกลับมาช้าสุดมารวมตัวกันที่นี่
ในยามใกล้พลบค่ำ ไม่ง่ายเลยที่โต๊ะขนาดใหญ่หนึ่งตัวจะถูกนั่งล้อมไปด้วยผู้คน
เหยาเฉายกจอกเหล้าขึ้น ยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “วันนี้ถือโอกาสที่เอ้อหลางกลับมา จึงขอเชิญทุกท่านมารวมตัวกันกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา”
ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็ยกจอกขึ้นมาชนด้วยกัน ถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอน
จากนั้นก็คือการดื่มกินสังสรรค์ พูดคุยสรวลเสเฮฮา
“พี่ใหญ่ล่ะ?”
หลินจื้อกวาดตามองคนรอบโต๊ะ พบว่าขาดไปหนึ่งคน
“ยังอยู่ในเจียงหนาน เพิ่งส่งจดหมายไปให้เขาวันนี้เอง คิดว่าไปกลับโดยขี่ม้าแบบไม่มีหยุดพักก็คงใช้เวลาราว ๆ สิบวันเห็นจะได้ ไม่ต้องรอแล้ว” เหยาเอ้อหลางเอ่ย
“พี่รองยังเอาแต่ใจเหมือนเดิมเลยนะ”
หลินจื้อยกจอกสุราไปทางเหยาเอ้อหลาง จากนั้นก็ยกรวดเดียวหมด
เหยาเอ้อหลางทำอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ในสายตาของพี่ใหญ่ข้ามีแต่เงิน ตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังคุยเรื่องกิจการใหญ่อยู่ก็ได้ อย่าว่าแต่จะกลับบ้านเลย เกิดข้าตายดินกลบหน้าในสนามรบ เขามาส่งลาข้าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
“เอ้อหลาง อย่าพูดเหลวไหล” เจี่ยงเถิงตำหนิเหยาเอ้อหลาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
หลินจื้อยิ้ม “ข้าว่าที่พี่รองกล้าพูดเช่นนี้เพราะพี่ใหญ่ไม่อยู่ต่างหาก”
เหยาเอ้อหลางไม่โต้แย้ง แต่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาก กระทั่งพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “พี่ใหญ่และท่านลุงเหมือนกันมาก เห็นแล้วน่าหวาดกลัวยิ่งนัก”
“จริงสิ ได้ยินมาว่าวันนี้พวกเจ้าทะเลาะกันยามออกเรือ?” หลังจากหัวเราะแล้ว หลินจื้อก็ได้เอ่ยถามขึ้น
“ใช่ ๆ ข้าอยากจะถามเจ้าพอดี เจ้าและคนที่ข้าไม่รู้จักผู้นั้น คนผู้นั้นชื่ออะไรแล้วนะ?” เหยาเอ้อหลางมองไปทางเจี่ยงเถิง
“หลี่ฝูสิง บุตรชายเพียงคนเดียวของหลี่ม่าวขุนนางฝ่ายพลเรือน” เจี่ยงเถิงพูดเสริม
“ใช่ เขานั้นแหละ” เหยาเอ้อหลางตบโต๊ะหนึ่งครั้ง “พูดจาหยาบคายใส่อาซือ เรื่องมันเป็นอย่างไร?”
เจี่ยงเถิงหมกมุ่นอยู่ในราชสำนักเพียงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แม้ว่าจะรู้จักคนนี้ แต่ก็ยังไม่ลึกมากนัก ครั้นใคร่รู้เรื่องที่ลึกซึ้งและเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ จึงต้องหันไปถามหลินจื้อ
“หลี่ฝูสิง” อาจื้อลูบไล้จอกสุราพลางรวบรวมคำพูด “บิดาของเขาถือว่าเป็นขุนนางที่ดีมากคนหนึ่ง ทำงานอยู่ในกระทรวงฝ่ายพลเรือนอย่างเป็นระบบระเบียบมากว่ายี่สิบปีโดยไม่มีข้อบกพร่อง เขาเป็นบุตรชายที่เกิดมาในยามที่หลี่ม่าวมีอายุมากแล้ว จึงได้รับความโปรดปรานตั้งแต่วัยเยาว์จนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ในวัยสิบกว่าปีเขาได้ก่อเรื่องด้วยการฉุดหญิงสาวข้างถนน หลี่ม่าวจึงบากหน้าไปพบคนที่อยู่ในกระทรวงราชทัณฑ์ด้วยตนเอง”
“ลูกชายของท่านขุนนางอายุเพียงเท่านั้นกล้าทำเรื่องที่ประมาทได้ถึงเพียงนี้?” เหยาเอ้อหลางเลิกคิ้วสูง
“ไม่ใช่แน่นอน” อาจื้อยิ้มอย่างมีความหมายแอบแฝง ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “การคัดเลือกนางสนมปีนี้ ตระกูลของพวกเขาส่งสาวงามผู้หนึ่งเข้าไป”
ขณะเขาพูด นัยน์ตาลึกลับเคร่งขรึมลง แต่แฝงไปด้วยจิตสังหาร
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เด็กๆ โตกันหมดแล้ว มีความคิดและวิธีเป็นของตัวเองกันหมดแล้วสินะ
หลี่ฝูสิงอะไรนี่เคยมีเรื่องกับอาจื้อหรือเปล่านะ แลดูมีความแค้นต่อกันอยู่
ไหหม่า(海馬)