ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 471 ตามหาคน
บทที่ 471 ตามหาคน
บทที่ 471 ตามหาคน
“น้องข้า เราก็ช่วยเจ้าพูดนะ แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้?”
หลังจากที่หลินซือนั่งลงประจำที่ของตัวเอง เหยาเอ้อหลางก็กุมหัวใจที่ถูกเจี่ยงเถิงทำร้ายพลางแยกเขี้ยวยิงฟันถามเสียงเบา
“พูดไม่ได้ก็อย่าพูดเหลวไหล”
เจี่ยงเถิงชำเลืองมองเหยาเอ้อหลางแวบหนึ่ง
“ไม่มีทาง ไม่มีทาง เจ้าไม่มีทางไม่บอกเรื่องนี้กับเอ้อเป่าหรอกกระมัง?” เหยาเอ้อหลางถลึงตา “นายน้อยเจี่ยงของเราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนได้ด้วยหรือ?”
เจี่ยงเถิงมองไปทางหลินซือที่พูดคุยกับไป๋หรูปิงอยู่เงียบ ๆ นัยน์ตาคู่นั้นอบอุ่นดั่งสายลมในวสันตฤดู แต่ถ้อยคำที่เอ่ยกับเหยาเอ้อหลางกลับเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งก็มิปาน “หุบปาก เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
“ก็ได้ ก็ได้”
เหยาเอ้อหลางยอมถอยอย่างแค้นเคือง “หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างข้าไม่เข้าใจพวกเจ้าหรอก ข้ากินข้าวอย่างว่าง่ายดีกว่า”
เพราะกว่าเรื่องนี้จะเงียบลงก็เนิ่นนาน ในตอนที่หลินซือหิวจนท้องส่งเสียงร้องออกมา ในที่สุดประตูในห้องรับรองก็ถูกเคาะเสียงดัง
“พี่ไป๋!” หลินซือรีบขานเรียกเสียงดัง จากนั้นก็ผลักไป๋หรูปิงที่อยู่ข้างกาย “ท่านไปเปิดประตูสิ!”
ไป๋หรูปิงถูกผลักจนต้องลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็มองมาทางเด็กสาวที่แอบอมยิ้มด้วยความงุนงง พริบตาเดียวที่เปิดประตูนางกลับตะลึงงันไป “ศิษย์น้อง”
หลินจื้อยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่หน้าประตูและกำลังส่งยิ้มให้นาง
“ศิษย์ ศิษย์พี่?”
ไป๋หรูปิงรีบเปิดประตูเชิญเจ้าตัวเข้ามาด้านใน “ท่านมาได้อย่างไร?”
หลินจื้อขยิบตาไปทางเจี่ยงเถิง แล้วพูดกับไป๋หรูปิงด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินว่าวันนี้ร้านหยกอวี้ฝูของพวกเจ้าเปิดร้านเสียใหญ่โต เลยต้องมาฉลองที่นี่เสียหน่อย จึงได้มาที่นี่”
ไป๋หรูปิงยิ้มจนหน้าแดงก่ำไปหมด จากนั้นก็พาเจ้าตัวเดินมาข้างโต๊ะ
หลินซือรีบลุกขึ้น เสียสละที่นั่งตัวเองอย่างเข้าใจ ส่วนตนเองก็นั่งลงข้างกายเจี่ยงเถิง
“ดูยิ้มใหญ่เชียวนะ พี่ข้า” เหยาเอ้อหลางขยิบตาไปทางเจี่ยงเถิง “ประจบเอาใจพี่ของว่าที่ภรรยา ทั้งยังได้ใกล้ชิดเอ้อเป่าด้วย ยิ่งใหญ่จริง ๆ”
เจี่ยงเถิงยิ้มพร้อมกับเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปพูดกับหลินซือว่าจะสั่งอาหารอะไรดี
หลังจากที่ทั้งห้าคนได้ฉลองอยู่ในหอหรูอี้เสร็จแล้ว หลินซือก็กลับมาพักผ่อนที่บ้าน ช่วงบ่ายวันถัดมานางได้เข้าร้านทางประตูหลังด้วยสีหน้าแช่มชื่น
ในตอนที่หลินซือไปถึงนั้น ไป๋หรูปิงได้อยู่ที่นั่นแล้ว
“พี่ไป๋ วันนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินซือเปิดม่านหน้าต่างแอบมองสถานการณ์ภายในร้านแวบหนึ่ง
“จำนวนคนยังมากสู้วันแรกไม่ได้ แต่ก็มากกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ หากสองวันนี้ไม่เกิดเรื่องผิดพลาดก็น่าจะคงที่” ไป๋หรูปิงเอ่ย
หลินซือพยักหน้า ปิดม่านลง แล้วนั่งคุยเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการอีกเรื่องกับไป๋หรูปิง
“พี่ไป๋ ตอนนี้ร้านได้พัฒนาไปเกินกว่าที่เราจินตนาการไว้ วันนี้ก่อนมาข้าเห็นสินค้าในคลังออกไปเร็วนัก นายช่างแกะสลักหยกเพียงคนเดียวที่เราจ้างนั้นไม่เพียงพอแล้ว ตอนนี้ถ้าหาคนอื่นไม่ได้ เราก็ทำได้แค่ต้องให้ลูกค้าไปซื้อหยกจากร้านอื่น”
ไป๋หรูปิงรู้ถึงสถานการณ์ตึงเครียดของเรื่องนี้ดี “ร้านของเราก็จะต้องสูญเสียจุดเด่น ย่อมถูกคนอื่นสวมรอยได้ง่าย”
“ถูกต้อง” หลินซือพยักหน้า “พี่ไป๋ ท่านลองถามลุงหลี่ได้นะว่ามีลูกศิษย์จากสำนักเดียวกับยินยอมพร้อมใจจะมาช่วยงานเราที่นี่บ้างหรือไม่ เงินเดือนตกลงกันได้ ถ้าไม่มีจริง ๆ ข้าจะไปถามท่านแม่ เส้นสายของท่านแม่น่าจะมีมากยิ่งกว่า”
ตอนนี้การเปิดร้านถือว่าประสบความสำเร็จเล็ก ๆ แล้ว หลินซือจึงได้กล้าขอความช่วยเหลือจากเหยาซูอย่างไม่ลังเล
ไป๋หรูปิงดื้อรั้นยิ่งกว่า ถึงอย่างไรนางก็ไม่อยากให้หลินจื้อรู้สึกว่าตัวเองนั้นอ่อนแอเกินไป ไม่แตกต่างอะไรกับคุณหนูตระกูลขุนนางในเมืองเหล่านั้น เลยอยากจะแสดงความสามารถของตัวเองออกมาให้ดีที่สุด
“เยี่ยม ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อไป๋หรูปิงพูดจบ ก็นำสมุดบัญชียื่นให้กับหลินซือแล้วเดินจากไป
เดิมทีหลินซือคิดว่าเรื่องนี้ต้องรอเวลาสักช่วงหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าวันถัดมาไป๋หรูปิงจะตอบกลับนาง
“ลุงหลี่บอกว่าเขาจะไปถามลูกศิษย์ของเขาให้ คาดว่าจะไปดึงสักหลาย ๆ คนจากที่อื่น ส่วนคนที่อาจจะมาที่นี่จริง ๆ มีสามคน”
“สามคน ก็พอแล้ว”
หลินซือครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะฝืนพูด
“ความจริงแล้วลุงหลี่ยังพูดอีกอย่าง” ไป๋หรูปิงเกิดความลังเลเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “ศิษย์น้องของเขาคนหนึ่งมีพรสวรรค์มาก เพิ่งจะอายุได้เพียงยี่สิบกว่าปีก็สามารถรังสรรค์ผลงานแกะสลักออกมาได้แล้ว จนแม้แต่อาจารย์อย่างพวกเขาก็ยังเทียบไม่ติด แต่ก็ได้ยินมาว่าหยุดทำมาแล้วครึ่งปี”
“เพราะเหตุใด?”
หลินซือประหลาดใจไม่น้อย อายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปีได้เข้ามาเป็นช่างแกะสลักในร้านหยกอวี้ฝูจะต้องมีอนาคตที่สดใสมากอย่างแน่นอน
“ข้าเองก็ไม่รู้” ไป๋หรูปิงส่ายหน้า “แต่ถึงแม้ลุงหลี่จะบอกว่าฝีมือของลูกศิษย์คนนี้ของเขาดีมาก แต่นิสัยกลับประหลาด เขาก็ได้แค่พูดลอย ๆ ไม่ได้แนะนำให้เราไปเชิญผู้นั้น”
“ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองหรือ?” หลินซือเอ่ยถาม
ไป๋หรูปิงมองไปทางหลินซืออย่างจนปัญญา แล้วถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องสนใจ เลยถามมาให้เจ้าแล้ว เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซีหัว เขตชานเมือง”
“พี่ไป๋รู้ใจข้าจริง ๆ”
หลินซือยิ้มจนดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว “จะลำบากหรือไม่ลำบากนั้นก็ต้องลองถึงจะรู้ ตอนนี้เราขาดคน เหตุใดถึงต้องปล่อยต้นกล้าที่ดีอย่างนี้ไปด้วย อีกสักพักข้าค่อยไปหาช่างตัวน้อยผู้นี้ จริงสิ เขาชื่ออะไรหรือ?”
“อวี้อวี้ แซ่ ‘อวี้’ มาจากคำว่า หยก ส่วน ‘อวี้’ มาจากคำว่าเพชรนิลจินดาที่เปล่งประกายอยู่ในหอนางโลม”
“บังเอิญเกินไปกระมัง ชื่อล้วนแปลว่าหยกทั้งคู่”
ความสนใจที่หลินซือมีต่อคนผู้นี้เพิ่มทวีคูณ “พี่ไป๋ พรุ่งนี้พี่อยู่เฝ้าร้านนะ ข้าจะไปเจอกับช่างสลักหยกคนนี้เสียหน่อย”
“ให้เจี่ยงเถิงไปเป็นเพื่อนหรือไม่?”
ไป๋หรูปิงเป็นกังวล ถึงอย่างไรก็ต้องไปถึงชานเมือง มันไกลเกินไป
หลินซือส่ายหน้า “สองวันนี้พี่อาเถิงเหมือนจะมีธุระ ก่อนหน้านั้นเขาช่วยข้ามามากแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าไม่อยากไปรบกวนเขา อีกอย่างคือเป็นศิษย์น้องของลุงหลี่ ลุงหลี่ก็ไม่เคยพูดว่าเขานิสัยไม่ดี ข้าเอาเงินไปให้เขา เขาจะทำอะไรข้าได้?”
“เจ้าพูดถูก”
ไป๋หรูปิงยอมประนีประนอม แต่ก็ยังมิวายกำชับ “แต่จะต้องพาผู้คุ้มกันไปด้วยสักสองสามคนรู้หรือไม่ กันไว้ดีกว่าแก้”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ พี่ไป๋ เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ!”
หลินซือโบกมือลาไป๋หรูปิง แล้ววิ่งหายไปทันควัน
หลินซือรู้แค่ว่าอวี้อวี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านซีหัว หลังจากไปถึงแล้วก็ต้องเทียวไปสอบถามชาวบ้านชาวช่องจนได้ที่อยู่แน่ชัดของเขา ก่อนจะตรงไปยังสถานที่อันไกลโพ้นที่สุดแห่งหนึ่งของหมู่บ้านทันที
ความจริงแล้วสถานที่แห่งนี้จะว่าหายากก็หายาก แทบจะไม่ได้อยู่ในขอบเขตของหมู่บ้านซีหัวเลยก็ว่าได้ ครั้นจะว่าหาง่ายมันก็เจอง่ายเสียจริง ๆ เพราะมีรูปปั้นสิงโตแกะสลักหยกคู่หนึ่งวางอยู่หน้าประตู ซึ่งมองเห็นได้ไม่ยาก
หลินซือกระโดดลงจากรถทันที จากนั้นก็วิ่งไปหน้าประตู พบว่าห่วงของประตูบานนี้ล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นจากหยกทั้งสิ้น ไม่กลัวถูกขโมยเลยจริง ๆ
“มีคนอยู่ไหม?” หลินซือจับหวงประตูแล้วเคาะ
ภายในยังคงเงียบสงัด หลินซือรออยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ออกแรงเคาะอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนเสียงดังหนึ่งรอบ “มีใครอยู่หรือไม่?”
ก็ยังไม่มีใครตอบรับ
“คงไม่อยู่บ้านกระมัง?” หลินซือบ่นพึมพำด้วยความท้อใจ “ไหนบอกว่าไม่ค่อยออกจากบ้านไม่ใช่หรือ?”
ในเมื่อไม่มีคนอยู่ หลินซือก็คงจะไม่เสียเวลา แต่ขณะกำลังจะหมุนตัวเดินจากไป จู่ ๆ ก็มีสายลมระลอกหนึ่งพัดเข้ามา เกิดเสียง ‘แกรก’ ดังขึ้นหนึ่งเสียง แล้วประตูก็แง้มเปิดออก
ประตูไม่ได้ลงกลอน?
หลินซือผลักออกเบา ๆ ประตูใหญ่ถูกผลักกว้างมากขึ้น
หลินซือมองลอดช่องประตูนี้แวบหนึ่ง และแล้วก็ถูกทิวทัศน์ภายในดึงดูดเข้าไป
ทุกสิ่งทุกอย่างภายในแทบจะเป็นหยกทั้งสิ้น คนที่อาศัยอยู่ข้างในจะต้องเป็นคนที่รักและทะนุถนอมหยกยิ่งชีพเป็นแน่
………………………………………
สารจากผู้แปล
เอาใจช่วยน้องอาซือให้ได้ช่างคนนี้มาทำงานให้ร้านนะคะ ไปตั้งไกลเชียว
ไหหม่า(海馬)