ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 476 ได้เจอกัน
บทที่ 476 ได้เจอกัน
บทที่ 476 ได้เจอกัน
“จะว่าไปแล้ว เจ้าคงไม่ได้หวาดระแวงในอารมณ์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ขององค์รัชทายาทหรอกกระมัง?”
เหยาเอ้อหลางเยาะเย้ย “ก่อนหน้านั้นข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ แต่การกระทำในวันนี้ของเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก”
เจี่ยงเถิงไม่สนใจเสียงเยาะเย้ยของเหยาเอ้อหลาง แต่จากคำพูดของอีกฝ่ายก็พอเข้าใจได้ว่าองค์รัชทายาทเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
เรื่องขององค์หญิงคงจะสร้างผลกระทบต่อเขาอย่างใหญ่หลวง ยามถูกกักขังทำให้ได้คิดทบทวนตัวเองมากขึ้น
ดูท่าเขาจะเลือกถูกแล้ว!
ในใจของเจี่ยงเถิงรู้สึกผ่อนคลาย
ความจริงแล้วแค่ความระแวดระวังของเขาก็คงไม่ทำให้กลับมายืนได้เร็วเพียงนี้
แม้ว่าต้าเยี่ยนจะมีจักรพรรดิองค์เดียว ทว่าคงจะป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดได้ยาก
แต่เขาไม่มีเวลาแล้ว ทันทีที่เอ้อเป่าได้เข้าพิธีปักปิ่น เขาจึงยิ่งต้องทำให้ตัวเองโดดเด่นที่สุดถึงจะถูก
“ทัศนคติของจักรพรรดิเป็นอย่างไรบ้าง?”
เจี่ยงเถิงไถ่ถามเรื่องที่สำคัญที่สุด
“ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรจริง ๆ ข้าไม่เคยเข้าเฝ้าฝ่าบาทมาก่อน” เหยาเอ้อหลางโบกมือไปมา “เรื่องเข้าวังเป็นเรื่องที่ท่านพ่อมาแจ้งข้ากะทันหัน เดิมทีข้านัดกับสหายว่าจะไปดื่มสุรากัน จึงจำต้องเลื่อนออกไปชั่วคราว”
เจี่ยงเถิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อฝ่าบาทยินยอมให้คนนอกเข้าพบองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นที่น่าพอใจต่อองค์รัชทายาทมาก ตำหนักตะวันออกเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นอกจากองค์รัชทายาทจะถูกกักขังแล้ว ก็น่าจะไม่มีผลกระทบอะไรอีก ข้าเห็นคนที่มาปรนนิบัติรับใช้มีจำนวนมากขึ้น ไป ๆ มา ๆ จนข้าหงุดหงิดไปหมด” ขณะที่เหยาเอ้อหลางพูด จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งได้ “องค์หญิงผู้นั้นเป็นพระธิดาของสวีกุ้ยเฟยใช่ไหม? ขณะที่ข้าสอนหนังสือให้แก่องค์รัชทายาท มีนางกำนัลผู้หนึ่งเดินมากระซิบบอกว่าสวีกุ้ยเฟยให้นางยกขนมที่ทำเข้ามาถวาย น่าจะเป็นการยุติความแค้นกับองค์รัชทายาท”
เจี่ยงเถิงพยักหน้า “สวีกุ้ยเฟยเป็นผู้ประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี นางรู้ว่าต่อไปจะต้องพึ่งพิงองค์รัชทายาท ดังนั้นยามที่ตัวเองถูกถวายตัวเข้าไปนางก็ไม่พูดสิ่งใด ตอนนี้เพิ่งสังเกตเห็นเจตนารมณ์ของจักรพรรดิเลยลงมือทำด้วยตัวเอง”
เหยาเอ้อหลางส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “ในวังมีช่างน่าหดหู่ในนัก บุตรของตนเกือบจมน้ำตาย กลับทำได้แค่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำใจ”
เจี่ยงเถิงรู้ว่าคำพูดของเหยาเอ้อหลางเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด จึงได้แต่ยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ข้าล่ะอยากเข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทว่าเป็นอย่างไรบ้าง” เจี่ยงเถิงทอดถอนใจ
แล้วองค์รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้าง?
องค์รัชทายาทกำลังทำสงครามเย็นกับเซี่ยเซิน หรือพูดได้ว่าองค์รัชทายาททำสงครามเย็นอยู่ฝ่ายเดียว
เดิมทีเพราะช่วงนี้เซี่ยเซินมุ่งมั่นค้นคว้าตำราโบราณอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงเมินเฉยองค์รัชทายาท
สาเหตุเพราะเรื่องที่เซี่ยเซินกระซิบกระซาบกับเซี่ยเชียนเมื่อวันก่อนถูกองค์รัชทายาทจับได้ องค์รัชทายาทจึงระเบิดอารมณ์ท่ามกลางความเงียบงัน
แรกเริ่มเขากักขังตัวเองอยู่ในห้องแล้วทำลายข้าวของกระจัดกระจาย ต่อมาก็ไม่พูดกับเซี่ยเซิน
นับตั้งแต่กักขังตัวเอง องค์รัชทายาทเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมนุ่มลึก ไม่มีนิสัยอารมณ์ร้ายแบบเด็ก ๆ กับคนทั่วไปสักเท่าใด
เพราะคนในตำหนักตะวันออกไม่เห็นองค์รัชทายาทโมโหร้ายมานานมากแล้ว ครานี้ทุกคนรู้สึกเหมือนแขวนตัวเองอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา แม้แต่ลมหายใจก็ต้องระมัดระวัง กลัวว่าจะถูกองค์รัชทายาทจับตนมาเป็นกระสอบทราย
เซี่ยเซินพูดสิ่งใดถึงทำให้องค์รัชทายาทโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเสียเช่นนั้น?
เพราะเขาคิดว่าการที่ตัวเองอยู่อ่านตำราเป็นเพื่อนองค์รัชทายาทเป็นเรื่องเสียเวลามากโข องค์รัชทายาททรงประทับอยู่ในตำหนักตะวันออกมาครึ่งปีแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดต้องศึกษาร่วมกับฝ่าบาทอีก
อีกทั้งเซี่ยเซินเองก็ตั้งใจจะศึกษาตำราโบราณ ดังนั้นจึงขอร้องให้เซี่ยเชียนกราบทูลจักรพรรดิ เพื่อที่ตนจะได้ไม่ต้องไปอยู่ข้างกายเขา
แต่เซี่ยเชียนไม่เห็นด้วย ตอนนี้องค์รัชทายาทกำลังเติบโต ต้องมีสหายสักคนคอยแบกรับความกดดันบางส่วนของเขา
คนเราไม่ต้องฉลาดปราดเปรื่อง แต่ต้องมีความตรงไปตรงมา อีกทั้งต้องไม่ทรยศต่อองค์รัชทายาทด้วย เซี่ยเซินคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
อีกทั้งเซี่ยเชียนเองก็มีความเห็นแก่ตัว
องค์รัชทายาทจะได้ขึ้นรับตำแหน่งเป็นจักรพรรดิในอนาคตตามที่กำหนดไว้ ครั้นเห็นแก่มิตรภาพที่ได้ศึกษาร่วมกัน แม้ว่าในภายภาคหน้าเซี่ยเซินจะไม่ประสบความสำเร็จ ต่อไปเขาจะไม่มีความลำบากไปกว่านี้
เซี่ยเซินแค่พูดไปเรื่อย ครั้นถูกเซี่ยเชียนปฏิเสธเลยทำได้แค่ต้องอยู่ศึกษาเป็นเพื่อนองค์รัชทายาทต่อไป
แต่ทั้งสองคนคาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ได้ถูกผู้อื่นล่วงรู้ ดังนั้นวันนี้เซี่ยเซินต้องเผชิญหน้ากับความเย็นชาขององค์รัชทายาทตลอดทั้งวัน ตัวเองก็ยังคงสับสนงงงวยต่อไป
“ฝ่าบาท ทรงพักเสียหน่อยเถิด”
เซี่ยเซินรุดขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วกราบทูลต่อองค์รัชทายาทที่กำลังฝึกเขียนตัวอักษร
องค์รัชทายาทไม่สนใจ หลังจากอีกฝ่ายเกาหัวแล้วจากไป เขาก็โยนพู่กันทิ้งจนเกิดเสียง ‘เคร้ง’ จากนั้นก็โยนเก้าอี้ระบายอารมณ์
เขาโกรธใคร? คงจะไม่ใช่เซี่ยเซินผู้น่าเบื่อคนนั้นหรอกนะ?
องค์รัชทายาทยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจ เลยผลักไสทุกคน แล้วเดินเตร็ดเตร่อย่างสบายอารมณ์อยู่ในตำหนักตะวันออกเพียงผู้เดียว
ระหว่างที่เดินนั้น องค์รัชทายาทเห็นรูโหว่ที่ตัวเองและเซี่ยเซินค้นพบด้วยกันในตอนแรก
ตอนนี้ควรเรียกเป็นถ้ำได้แล้ว แรกเริ่มพวกเขาสองคนขุดรูโหว่นี้ให้มีขนาดกว้างขึ้นเพื่อจะได้ออกไปเดินเล่นด้านนอกได้
ตรงนี้ค่อนข้างเปลี่ยว บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าและดอกไม้ที่บานสะพรั่ง จึงไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นค้นพบ ร่างกายของเด็กน้อยขอแค่ย่อตัวได้ก็สามารถออกไปได้แล้ว
องค์รัชทายาทเกิดความลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมที่เด่นสะดุดตาของตัวเองออก แล้วค่อย ๆ มุดออกไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อออกมาจากถ้ำนั้น จะเป็นป่าเหมยของสวนอวี้ฮวาพอดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเบ่งบานของดอกเหมย เลยมีแค่กิ่งไม้ที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรน่าเชยชม
และคงไม่มีผู้ใดอยากมาดูกิ่งไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาสะเปะสะปะไร้ซึ่งใบไม้ประดับเช่นนี้หรอก
องค์รัชทายาทคิดเช่นนี้ แต่วินาทีต่อจากนั้นเขาก็พลันเห็นร่างเงาหนึ่ง องค์รัชทายาททรงเป็นกังวลว่าจะเป็นนางกำนัลในตำหนักของตัวเอง จึงรีบพาตัวเองหลบอยู่ด้านหลังของต้นไม้ต้นหนึ่ง
คนผู้นั้นไม่ได้ไล่ตามมา น่าจะไม่เห็นตนหรือบางทีอาจจะไม่รู้จักตน
องค์รัชทายาทโล่งใจ จากนั้นก็ยื่นหน้าออกไปมองด้านนอก ร่างหญิงสาวตัวน้อยที่ทำตัวลับๆ ล่อ ๆ ผู้นั้นก็ได้ปรากฏอยู่ในสายตาของเขา…
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หงุดหงิดล่ะสิที่ถูกกักบริเวณไม่ให้ไปหาพี่อาซือ
สาวน้อยผู้นี้คือใครกันนะ
ไหหม่า(海馬)