ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 478 ท่านแม่
บทที่ 478 ท่านแม่
บทที่ 478 ท่านแม่
“ฝ่าบาท?”
ความกังวลขององค์รัชทายาทยังไม่จางหาย กลับต้องตื่นตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวจนเกือบหัวใจวายตาย
“ฝ่าบาท?”
เซี่ยเซินขานเรียกอีกครั้ง จากนั้นก็สาวเท้าก้าวไปด้วยความงุนงง “ท่านหกล้มหรือ? เหตุใดเนื้อตัวถึงได้สกปรกมอมเมมเช่นนี้?”
เขาถูกท่านปู่เซี่ยพาเข้าวัง อย่างไรก็ควรดูแลองค์รัชทายาท
เสื้อคลุมตัวนอกถูกองค์รัชทายาทซ่อนไว้ในพุ่มไม้ชั่วขณะหนึ่ง ตอนนี้มันจึงเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นและเศษใบไม้มากมาย องค์รัชทายาทกระแอมหนึ่งเสียง กล่าวว่า “พอดีเหม่อลอยเลยไม่ทันระวัง พลาดลื่นล้ม”
เซี่ยเซินก็พลันมีสีหน้าตื่นตระหนกราวกับเจอศัตรู รีบเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ล้มที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ? ให้ข้าดูหน่อย! ไม่ได้การ ไม่ได้การละ ต้องรีบตามหมอหลวง!”
ขณะพูดเขาเตรียมจะวิ่งจากไป แต่องค์รัชทายาทรีบรั้งเซี่ยเซินอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แค่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ต้องตามหมอหลวงหรอก”
กล่าวจบเกรงว่าเซี่ยเซินจะไม่เชื่อ จึงถกแขนเสื้อให้อีกฝ่ายดู
เซี่ยเซินเห็นว่าผิวหนังที่ขาวนวลเนียนของอีกฝ่ายไร้บาดแผลจึงโล่งใจ แต่แล้วในหัวก็นึกได้ว่าตัวเองจะทำสิ่งใดกับองค์รัชทายาท
“ฝ่าบาท ข้ามาเพื่อกล่าวขอโทษฝ่าบาท ที่ข้าบอกกับท่านปู่เซี่ยว่าไม่อยากเรียนกับฝ่าบาทก่อนหน้านั้นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น เพราะกฎระเบียบในวันนั้นทำให้จักรพรรดิต้องโยกย้ายสหายคนอื่นของท่านเหลือข้าเพียงผู้เดียว และเพราะข้ามักจะต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง อีกทั้งท่านปู่ของข้าเป็นราชครู ดังนั้นข้าจึงยังอยู่ในวังได้อย่างไม่อาย ข้าขัดเขาไม่ได้ ทำได้แค่กระฟัดกระเฟียดกับท่านปู่ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ชายชาติทหารตัวตรงไม่หวั่นเงาเฉเฉียง ไม่กลัวคำชี้แนะของผู้อื่น”
วันนี้องค์รัชทายาทใช้สถานะของเซี่ยเซินออกไปเดินเล่นข้างนอก ครั้นกลับมาเห็นอีกฝ่ายเป็นห่วงตน จึงไม่ได้เคืองโกรธเท่าไรนัก
แล้วยิ่งได้รู้เหตุผลนี้ รู้ว่าเซี่ยเซินทำเพื่อตนจะยังกล้าตำหนิเขาอยู่ได้อย่างไร
“ไม่โกรธแล้ว” องค์รัชทายาทซัดหมัดหนึ่งใส่เซี่ยเซินที่เอาแต่ก้มหน้างุด “ถูกคนอื่นรังแกก็ต้องรังแกกลับสิ เจ้าเลือกที่จะเดินจากไปตามความปรารถนาของอีกฝ่าย เหตุใดถึงได้โง่เขลาเช่นนี้”
เซี่ยเซินเกาศีรษะ ยิ้มด้วยความรู้สึกผิด แต่แล้วจู่ ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงกล่าวอย่างเป็นกังวล “ฝ่าบาท ฝ่าบาทยังถูกกักตัว ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าทำสิ่งใดที่ฝ่าฝืนกฎนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทย่อมรู้ลำดับความสำคัญดี เรื่องเหล่านี้เขาจำได้ รอให้สารทฤดูผ่านพ้นค่อยจัดการรวดเดียว
“รู้แล้ว รู้แล้ว” องค์รัชทายาทโอบไหล่ของเซี่ยเซิน “ท่านราชครูน่าจะมาถึงแล้ว เรารีบเข้าเรียนกันเถอะ”
เซี่ยเซินขยับไหล่อย่างอึดอัด เขาได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องระเบียบวินัยจากเซี่ยเชียน ครั้นได้รับการปฏิบัติโดยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ขององค์รัชทายาทหลายครั้งจึงรู้สึกไม่สบายใจ
“อย่าขยับ”
องค์รัชทายาทเตือน ‘อย่างโหดเหี้ยม’ เซี่ยเซินจึงไม่กล้าขยับอีก
แต่องค์รัชทายาทกล้าทำเช่นนี้ยามอยู่ด้วยกันสองคนเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ครั้นเจอเซี่ยเชียน ก็ต้องรีบเก็บแขนอย่างเป็นระเบียบโดยพลัน เซี่ยเซินช่วยปัดเสื้อผ้าที่สกปรกให้กับเขา องค์รัชทายาทสูดลมหายใจเข้าปอดครั้งหนึ่งแล้วเดินเข้าไป
ปกติแล้วทั้งสองรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์ขององค์รัชทายาทด้วย
เซี่ยเซินเองก็เคยชินแล้ว!
….
ฝั่งองค์รัชทายาทอารมณ์ดีมาก แต่ฝั่งลู่เหยากลับต้องเผชิญหน้ากับความโกรธเคืองดั่งพายุที่โหมกระหน่ำของตู้เหิงผู้เป็นมารดา
ตู้เหิงคว้ามือของลู่เหยาด้วยความโกรธเคือง หลังจากกล่าวลาฮองเฮาอย่างซาบซึ้งใจแล้ว สองแม่ลูกก็ออกจากวังไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง หลังจากขึ้นรถม้า สีหน้าภายนอกของนางจึงเย็นเยือกลง
“เจ้าไปที่ใดมา?” ตู้เหิงมองลู่เหยาด้วยสายตาเย็นชา
ลู่เหยาก้มหน้าลง แล้วกล่าวเสียงเบา “ข้าไปสวนอวี้ฮวามา ไม่ทันระวังเลยหลงทางเจ้าค่ะ”
“มีนางกำนัลไปด้วยไม่ใช่หรือ?”
“มีคนมาตามนางไป นางเลยให้ข้ารอครู่หนึ่ง นางไปแล้วก็ไม่กลับมา ข้าจึงลองเดินเอง ปรากฎว่าหลงทางเจ้าค่ะ” ลู่เหยารับสารภาพอย่างตรงไปตรงมา
ครั้นตู้เหิงได้ยินคำตอบของลู่เหยา ในใจก็พลันเดือดดาล
นางกำนัลชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมาทิ้งบุตรสาวของตนไว้เพียงลำพัง เช่นนี้เท่ากับไม่เห็นตนอยู่ในสายตาอย่างนั้นสิ?! แต่ฮองเฮาก็ไม่ได้ตรัสสิ่งใด ตู้เหิงเลยไม่สามารถลงโทษนางกำนัลผู้นั้นเพื่อระบายอารมณ์ได้ ทำได้แค่ระบายอารมณ์ใส่ลูกสาวของตัวเอง
“เจ้ากล้าเดินสะเปะสะปะในวังเช่นนั้นหรือ?” ตู้เหิงกล่าวถามด้วยเสียงที่สูงขึ้น
ลู่เหยาก้มหน้าต่ำลงยิ่งกว่าเดิม ก้มเสียแทบจะถึงพื้นอยู่แล้ว
“ช่างเถอะ” ตู้เหิงพ่นลมหายใจด้วยความโกรธออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมเอนกายพิงเบาะ มองลูกสาวที่ไม่ได้เรื่องของตัวเอง “ออกไปเจอผู้ใดบ้างหรือไม่?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
เสียงของลู่เหยาเบาลงยิ่งกว่าเดิม มือทั้งสองข้างขยำชายเสื้ออย่างไม่สบายใจ
นางพาลู่เหยาเข้าวังเพราะวันนั้นขณะที่กำลังคุยกับสหายผู้หนึ่ง บังเอิญได้ยินเรื่องที่องค์รัชทายาทอยากสู่ขอบุตรสาวของเหยาซูในงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศมาเป็นชายาของตน
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของตู้เหิงคือไม่อยากจะเชื่อ ถึงกระนั้นนางย่อมรู้ดีว่าหลินซือกำลังจะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว และโตกว่าองค์รัชทายาทไม่มากนัก
แต่ครั้นได้ยินสหายเล่าร่ายเรียงเป็นฉาก ๆ ในใจของตู้เหิงก็ค่อย ๆ ผุดความคิดอีกอย่างขึ้นมาได้
เท่าที่ฟังจากสหาย องค์รัชทายาทและหลินซือไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง แต่อยากสู่ขอนาง เป็นการโกหกที่ไร้เดียงสานัก ตัวเองก็มีบุตรสาว เหตุใดถึงไม่ลองดูเล่า? อีกอย่างบุตรสาวของตนก็อายุน้อยกว่าหลินซือ ครั้นจะคุยกับองค์รัชทายาทย่อมไปในทิศทางเดียวกัน
องค์รัชทายาทตรัสว่าอยากสู่ขอหลินซือ ทุกคนกลับมองเป็นเรื่องหยอกล้อ แต่ถ้าองค์รัชทายาทชอบพอลู่เหยา ทั้งสองคนมีอายุใกล้เคียงกัน ทุกคนอาจจะจริงจังก็เป็นได้
ถอยหนึ่งก้าว แม้ว่าองค์รัชทายาทจะไม่ชอบลู่เหยาตอนนี้ แต่หากสองคนนั้นได้เจอกันบ่อยขึ้น ยามที่ผู้อื่นเอ่ยเรื่องนี้ก็อาจจะผูกติดพวกเขาสองคนไว้ด้วยกัน รอให้องค์รัชทายาทมีอายุมากพอที่จะเลือกพระชายา ครานั้นตระกูลของตนอาจจะโดดเด่นยิ่งกว่าก็ได้
แต่ตู้เหิงคาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเป็นเวลากว่าครึ่งปีเต็ม การที่ตัวเองเข้าวังมาก็เหมือนกับใช้ตะกร้าไผ่ตักน้ำ สุดท้ายมันก็ว่างเปล่าไม่ได้ประโยชน์อะไร
ขณะที่ตู้เหิงทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็พบว่ามือของบุตรสาวตนนั้นกำลังขยำชายเสื้อ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นกังวล
“ลู่เหยา!” จู่ ๆ ตู้เหิงก็ขานเรียกเสียงดัง จนลู่เหยาตกใจตัวสั่นเทา ก่อนจะรีบผงกหัวขึ้น
ครั้นเห็นลู่เหยาเป็นเช่นนี้ ตู้เหิงก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายมีเรื่องปิดบังตน จึงย้อนกลับไปยังบทสนทนาเมื่อครู่ แล้วถามย้ำอีกครั้ง “ว่ามา เจ้าเจอใครในสวนอวี้ฮวา?”
ลู่เหยาไม่เคยโกหกมารดาของตนมาก่อน สองคำเมื่อครู่ทำให้ความกล้าหาญทั้งหมดของนางหมดสิ้น ตอนนี้ถูกมองเห็นจนทะลุปรุโปร่งแล้ว คงจะโกหกต่อไปไม่ได้
“ข้า ข้าเจอกับสหายขององค์รัชทายาท เขามีแซ่ว่าเซี่ยเจ้าค่ะ” ลู่เหยาพูดอย่างตะกุกตะกัก
ยามที่ตู้เหิงได้ยินคำว่าองค์รัชทายาทก็ดูตื่นตัวไปชั่วขณะ แต่เมื่อได้ยินคำว่าสหายสองพยางค์ก็เซื่องซึมลงทันที
สหายผู้นี้นางรู้จักดี นั่นคือลูกชายคนเล็กของเหยาซู ลูกบุญธรรมในนามของเซี่ยเชียน เป็นนักปราชญ์ตัวน้อยที่ถือตัวที่สุด
“เขาไม่ได้พูดเรื่ององค์รัชทายาทกับเจ้าเลยหรือ?” ตู้เหิงถามอย่างไม่คาดหวัง
ลู่เหยาส่ายหน้า ตู้เหิงแสยะยิ้มเยือกเย็นก่อนหลับตาพัก
รถม้ายังคงแล่นไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ตู้เหิงค่อนข้างเหนื่อยล้า ระหว่างที่กำลังสะลึมสะลือนั้น จู่ ๆ ในตัวรถก็เกิดสั่นสะเทือนเ ทำให้นางตกใจจนเกือบตกจากที่นั่ง
ความโกรธในใจของตู้เหิงถูกกระตุ้นขึ้นมา จากนั้นก็ผลักประตูรถอย่างรุนแรง แล้วตะโกนถามออกไป “เกิดอะไรขึ้น!”
กลางถนนเป็นเด็กผู้หญิงที่กำลังตื่นตกใจผู้หนึ่ง เมื่อครู่นางพบว่าลืมบางอย่างไว้ในร้านหยกอวี้ฝู เป็นกังวลว่าจะมีคนหยิบของนางไป ดังนั้นจึงวิ่งกลับไปอย่างรีบร้อน คาดไม่ถึงว่าจะเกือบถูกรถม้าชน
“ขอโทษ ขอโทษเจ้าค่ะ น้องสาวของข้ารีบร้อนเลยไม่ดูทาง ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เจ้าค่ะ”
จากนั้นก็เห็นผู้เป็นพี่สาวของเด็กสาวคนนั้นวิ่งเข้ามาโอบกอดนางไว้ แล้วพร่ำขอโทษตู้เหิงที่กำลังโกรธเกรี้ยวไม่หยุดหย่อน
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ตู้เหิงไม่มีทางโมโหร้ายใส่สองพี่น้องคู่นี้แน่นอน ครั้นได้ยินอีกฝ่ายอธิบายเหตุแล้ว เห็นร้านหยกอวี้ฝูข้างทาง จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือร้านที่หลินซือบุตรสาวของเหยาซูเปิดเอง
ตู้เหิงนึกชิงชังอยู่ในใจ ตนจะไม่มีวันปล่อยเหยาซูไปแน่นอน
แรกเริ่มตัวเองถูกเหยาซูกดหัว ตอนนี้บุตรสาวของอีกฝ่ายจะมาแย่งองค์รัชทายาทไปอีก เส้นทางที่กำลังเดินกลับต้องหยุดลงเพราะโดนอีกฝ่ายรบกวน
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มาพาลพาโลอะไรอีกเนี่ยนังตู้ เขาไม่อยากจองเวรกับแกแล้ว แต่แกกลับกัดไม่ปล่อย
ไหหม่า(海馬)