ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 481 หยกแตก
บทที่ 481 หยกแตก
ครั้นอวี้อวี้เห็นหลี่จื้อสิง สีหน้าเย่อหยิ่งที่แสดงออกมาก็พลันลดลงทันที จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“อวี้อวี้!” หลี่จื้อสิงตะโกนไล่หลังอีกฝ่าย ทำให้หลินซือและคนที่เหลือต่างมองหน้ากันตาปริบ ๆ
“เหยาเอ้อ สหายใหม่ของเจ้าคงไม่ได้ผิดใจอะไรกับอวี้อวี้หรอกกระมัง?” เจี่ยงเถิงขมวดคิ้ว “เกิดเขาทำให้ช่างแกะสลักที่อาซือตรากตรำหาตัวมาได้หวาดกลัวแล้วหนีไปจะทำอย่างไร?”
เหยาเอ้อหลางเองก็งุนงงเช่นกัน “ข้ารู้จักเขาเพียงแค่เดือนเดียวเอง ไฉนเลยจะรู้ว่าเขามีสัมพันธ์อะไรกับอวี้อวี้ แต่ข้าไม่เคยเห็นเขามีท่าทางตื่นเต้นเช่นนั้นมาก่อน ดูจากสีหน้าของเขาไม่น่าจะใช่ความเคียดแค้น ทั้งสองคนต่างก็อยู่ในกิจการขายหยกเหมือนกัน อาจจะเคยรู้จักกัน”
แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ เหยาเอ้อหลางก็ไม่แน่ใจ
“ข้านึกออกแล้ว!” จู่ ๆ หลินซือก็ปรบมือ “ก่อนหน้านั้นพี่อวี้เคยทำงานอยู่ในร้านอวี้หยวนช่วงหนึ่ง ต่อมาเขาบอกว่ามันไม่เหมาะสมกับเขาเลยลาออก”
“เช่นนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว” เหยาเอ้อหลางพยักหน้า “หลี่จื้อสิงชื่นชอบการเจียระไนหยกเช่นกัน ได้ยินมาว่าทักษะของอวี้อวี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะเคยรู้จักกันในร้านก็ได้”
“แต่ข้าว่าการแสดงออกเมื่อครู่ไม่เหมือนกับการเจอเพื่อนเก่า” หลินซือมองไปทางประตูที่ทะลุไปหลังร้านด้วยสายตากังวล ตอนที่หลี่จื้อสิงวิ่งเข้าไปเมื่อครู่เขาไม่ได้ปิดประตู ตอนนี้สายลมจึงพัดผ่านเข้าไปได้ ส่งผลให้ประตูเปิดปิด ๆ จนเกิดเป็นเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
“อาซือ” เจี่ยงเถิงยื่นมือออกไปขวางหลินซือที่กำลังจะพุ่งตัวเข้าไปดู “เรื่องของพวกเขา ให้พวกเขาคุยกันเป็นการส่วนตัวเถิด”
หลินซือจำใจหยุดเดิน ก่อนจะถูกเจี่ยงเถิงและเหยาเอ้อหลางพาตัวไปยังโรงน้ำชาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ก็ยังมิวายเสมองเข้าไปในร้าน
อีกด้านหนึ่ง ในที่สุดหลี่จื้อสิงก็ไล่ตามอวี้อวี้ได้ทัน รีบคว้าแขนของอีกฝ่ายไม่ให้เขาวิ่งหนี ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “อวี้อวี้! เจ้าวิ่งหนีทำไม!”
“กลัวเจ้าซัดข้านะสิ” อวี้อวี้ชำเลืองมองมือของหลี่จื้อสิงที่จับแขนของตัวเองแน่น ใบหน้าเป็นกังวล แต่ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวแต่อย่างใด
หลี่จื้อสิงสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วค่อย ๆ ปล่อยแขนของอวี้อวี้ ครั้นเห็นเขาไม่มีท่าทีจะหนีจึงวางใจลง
“เจ้าเล่นเผาแบบพิมพ์เขียวส่วนใหญ่ของร้านอวี้หยวนเสียหมดเกลี้ยง ข้าควรตะบันหน้าเจ้าสักตั้ง มันก็สมเหตุสมผลแล้วไม่ใช่รึ?” หลี่จื้อสิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ
อวี้อวี้ร่นถอยอย่างระมัดระวัง “เจ้าช่างใจแคบยิ่งนัก!”
หลี่จื้อสิงยิ้ม รุดขึ้นหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียง ‘โหดเหี้ยม’ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในนั้นมีรายการสินค้าของบุคคลสำคัญมากมายแค่ไหน เจ้าเล่นเผารากฐานที่ร้านหยกอวี้หยวนสั่งสมมานานนับร้อยปีจนเกือบหมดสิ้น”
อวี้อวี้กลอกตาไปมา “เจ้าอย่ามาเฉไฉเรื่องนี้นะ ตอนนี้ข้าไม่ใช่คนโง่ที่ยอมให้เจ้าหลอกลวงเหมือนในตอนนั้นอีกแล้ว อีกอย่างร้านอวี้หยวนซึ่งเป็นกิจการครอบครัวของเจ้าที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อจนกลายเป็นร้านเครื่องประดับติดอันดับสามแบบนั้น ข้าไม่ต้องการ”
ร้านหยกอวี้หยวนถูกสบประมาทเช่นนี้ หลี่จื้อสิงกลับไม่โกรธเกรี้ยวสักนิด คิดว่าคงเคยชินกับการเย้ยหยันและถากถางของอวี้อวี้มาพอสมควรแล้ว
“อวี้อวี้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบแกะสลักสิ่งของที่มีความหมายมากเกินไป แต่ผู้คนส่วนใหญ่ชื่นชอบสิ่งนี้ ข้าเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง พ่อค้าก็ต้องคล้อยไปตามความนิยมถึงจะสร้างกำไรได้”
“ดังนั้นข้าจึงไม่อยากกลับไปที่แห่งนั้นอีก” อวี้อวี้ขมวดคิ้วแน่น “เรามีความคิดเห็นไม่สอดคล้องกัน เหตุใดเจ้าต้องให้ข้ากลับไปด้วย? ไม่กลัวว่าข้าจะวางเพลิงอีกหรือไร?”
“เจ้าแค่ยังไม่พบว่าสิ่งที่ตัวเองชอบคืออะไร!” หลี่จื้อสิงชูปิ่นปักผมในมือขึ้นด้วยความตื่นเต้น “เจ้าดูสิ ปิ่นปักผมที่เจ้าแกะสลักโดยไม่คิดอะไรชิ้นนี้ ต่อให้ช่างแกะสลักคนอื่นในร้านหยกอวี้หยวนจะบากบั่นทั้งชีวิตก็ยังทำไม่ได้ นี่สิถึงจะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมาให้แก่เจ้า”
“เจ้าผิดแล้ว” อวี้อวี้ส่ายหน้า “ทักษะไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ ทักษะที่ยิ่งซับซ้อนมากเพียงใดก็ยิ่งมีร่องรอยให้เจริญรอยตาม ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้พรสวรรค์ ตราบใดที่มีการฝึกฝนมากพอ ใคร ๆ ก็ทำได้ พื้นฐานที่ง่ายที่สุดคือการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านแกะสลักสามารถมองออกว่าช่างแกะสลักมีพรสวรรค์หรือไม่”
“แต่…”
“หยุด!”
อวี้อวี้หยุดการกระทำลงชั่วคราว “ข้าไม่กลับไป แล้วเจ้าก็ไม่ต้องมาตามหาข้าอีก ร้านหยกอวี้หยวนจะมีข้าก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ร้านหยกอวี้ฝูแห่งนี้ต้องการข้า”
“ใครบอกว่าไม่มีเจ้าก็ได้!” หลี่จื้อสิงฮึกเหิมขึ้นมาอย่างฉับพลัน แล้วคว้าไหล่ของอวี้อวี้ “ปิ่นปักผมที่เจ้าแกะสลักโดยไม่ได้ใส่ใจชิ้นนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านหยกในร้านอวี้หยวนก็ยังทำออกมาไม่ได้ ถ้าเจ้ากลับไป ร้านอวี้หยวนจะเติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเลยเชียว!”
“ให้ข้าดูหน่อยสิ” อวี้อวี้ยื่นมือไปทางหลี่จื้อสิง
หลี่จื้อสิงคิดว่าอวี้อวี้เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูดแล้ว จึงแสดงสีหน้าดีใจอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็นำปิ่นปักผมยื่นให้กับอวี้อวี้อย่างระมัดระวัง “รับไป ฝีมือแกะสลักของเจ้าดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาแล้ว”
อวี้อวี้หยิบปิ่นชิ้นนั้นมามองพิจารณาหนึ่งรอบ ในสายตาที่ดูตื่นตระหนักของอีกฝ่าย ปิ่นด้ามนั้นถูกโยนลงบนพื้นอย่างไม่ลังเลจนเกิดเสียง ‘เพล้ง‘
ปิ่นหยกแตกกระจายแยกออกเป็นสี่ชิ้น เศษหยกที่กระจัดกระจายออกมาได้บาดหน้าของหลี่จื้อสิง ทิ้งรอยกรีดยาวไว้หนึ่งแผล
“นี่คือคำตอบของข้า” อวี้อวี้กล่าวเสียงราบเรียบ
หลี่จื้อสิงจ้องเขม็งไปยังเศษหยกที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นอย่างไม่กะพริบตาเนิ่นนาน นานเสียอวี้อวี้เกิดความสงสัยว่าตัวเองได้ทำร้ายเขามากเกินไปหรือไม่ จู่ ๆ หลี่จื้อสิงก็เงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะลั่นใส่อีกฝ่าย “อวี้อวี้ ตอนที่ข้าจับสิ่งของในวันเกิดปีแรกข้าจับได้หยกที่แกะสลักอย่างงดงามชิ้นหนึ่ง ข้าตามท่านพ่อไปทำกิจการตั้งแต่ห้าขวบ ถึงตอนนี้ก็ยี่สิบปีแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาทุกอย่างมักราบรื่นไร้อุปสรรคใด เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าไม่ให้เกียรติกันเช่นนี้”
“ทำไม? เจ้าจะทำอะไร?” แม้ว่าอวี้อวี้จะปากแข็ง แต่ความจริงแล้วเขาได้หาทางหนีทีไล่หากหลี่จื้อสิงเกิดคลุ้มคลั่งให้ตัวเองแล้ว
“ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าข้าไม่เคยไม่ทำผิดพลาด” หลี่จื้อสิงลูบรอยแผลบนใบหน้า “เมื่อก่อนไม่มี ต่อไปก็จะไม่มี เจ้าคงจะเข้าใจ เมื่อวันนั้นมาถึงประตูของร้านหยกอวี้หยวนยังคงเปิดต้อนรับเจ้าเสมอ”
กล่าวจบ ใบหน้าของหลี่จื้อสิงได้ปรากฎรอยยิ้มเหมือนในตอนแรกอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าให้กับอวี้อวี้แล้วจากไป
“ออกมาแล้ว!” หลินซือที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเห็นร่างเงาของหลี่จื้อสิงออกมาเป็นคนแรก จากนั้นก็รีบบอกกล่าวคนข้างตัวแล้วรุดหน้าเข้าไปหา
หลี่จื้อสิงมองหลินซือเช่นกัน อีกฝ่ายในสายตาของเขาเป็นแค่แม่นางที่ยังขาดประสบการณ์ ทว่าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ตอนนี้อีกฝ่ายกลับกลายเป็นคนที่สามารถชิงตัวช่างแกะสลักที่เขาให้ความสำคัญที่สุดไป หลี่จื้อสิงจึงให้ความสนใจหลินซือมากขึ้น
แต่การแสดงออกทางสีหน้าของหลี่จื้อสิงไม่ได้แตกต่างอะไรนัก ทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นว่า “แม่นางหลิน ร้านหยกอวี้ฝูดีกว่าที่ข้าจินตนาการไว้มาก ข้าเองก็เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่รอข้ามาจัดการอยู่ ข้าขอตัว”
หลินซือคาดไม่ถึงว่าร้านขนาดเล็กของตัวเองจะได้รับการชื่นชมจากเจ้าของร้านอวี้หยวนผู้นี้ แม้ว่าในคำพูดจะดูเกรงอกเกรงใจ แต่ก็คุ้มค่าที่จะตื่นเต้นกับมัน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาดีใจ ครั้นเห็นรอยแผลอย่างชัดเจนบนใบหน้าของหลี่จื้อสิง หลินซือจึงรีบถามอย่างระมัดระวังว่า “หน้าของท่านไปโดนอะไรมา? หรือเป็นพี่อวี้…”
สีหน้าของหลี่จื้อสิงไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังลูบรอยแผลบนใบหน้านั้น “แผลเล็กน้อย ไม่ต้องเป็นห่วง”
ไฉนเลยหลินซือจะมองไม่ออกว่าเป็นบาดแผลเล็กน้อย สิ่งที่นางอยากรู้คืออวี้อวี้และเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกัน เหตุใดทั้งสองคนถึงได้ลงไม้ลงมือจนเลือดตกยางออกเช่นนี้? แต่ครั้นเห็นว่าหลี่จื้อสิงไม่มีท่าทีอยากอธิบายให้ตัวเองฟัง หลินซือจึงทำได้แค่พูดว่า “เช่นนั้นท่านก็ค่อย ๆ เดินแล้วกัน”
“ลาก่อน” หลี่จื้อสิงแสดงความเคารพต่อหลินซือ จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินจากไป
“พี่รอง” หลินซือขยิบตาไปทางเหยาเอ้อหลาง “รีบตามไปถามเร็วเข้า”
“ข้าขี้เกียจ” เหยาเอ้อหลางลากเสียงยาว
“เร็วเข้าสิ!” หลินซือผลักหลังของเหยาเอ้อหลาง แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะขยับ หลินซือจึงทำได้แค่ข่มอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ข้าตอบรับคำขอร้องของพี่อย่างหนึ่งก็ได้ ตกลงไหม?”
“ย่อมได้” เหลาเอ้อหลางดีดนิ้วดังเปาะ แล้วไล่ตามแผ่นหลังของหลี่จื้อสิงไปทันที
เขานึกไม่ออกว่าจะขออะไรจากน้องสาว แต่สัญญานี้ใช้ได้…
นัยน์ตาของเหยาเอ้อหลางฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา….
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อวี้อวี้ทำไมทำหน้าเขาเป็นแผลแบบนั้นนน
ส่วนเอ้อหลางต้องมีแผนอะไรในใจแน่เลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)