ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 486 พิธีปักปิ่น
บทที่ 486 พิธีปักปิ่น
บทที่ 486 พิธีปักปิ่น
เวลาเพียงสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดหลินซือก็ถูกปลุกขึ้นในเช้าของพิธีปักปิ่น
“ตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” หลินซือมองดูท้องฟ้าที่ยังมืดสนิทด้านนอก จากนั้นก็หาวพลางถาม
“ยามอิ๋น[1] แล้วเจ้าคะ” อวิ๋นซิ่วพูดเสียงเบา
ไป๋หรูปิงนำผ้าขนหนูเย็นมาประคบหน้าของหลินซือ จึงเรียกสติของหลินซือที่อยู่ในอาการละลืมสะลือกลับมาได้ในที่สุด
สองวันก่อนหน้า หลินเหราและเหยาซูรวมทั้งสองสามีภรรยาตระกูลไป๋ได้ออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ครั้นไป๋หรูปิงกลับมาในช่วงพลบค่ำ ได้รับแจ้งว่าเช้าวันนี้ต้องมาช่วยอาซือเตรียมตัวเข้าพิธีปักปิ่น
“เริ่มพิธีตอนเที่ยงไม่ใช่หรือ?” หลินซือไม่กล้าทำตัวง่วงงุนอีกต่อไป แต่ยังอดบ่นพึมพำไม่ได้ “ข้าไม่ใส่ชุดที่หนักอึ้งนั้นเดินไปเดินมาทั้งวันหรอกนะ อ่อ จริงสิ มีพี่ไป๋อยู่ด้วย ว่าแต่เหตุใดต้องตื่นเช้าเช่นนี้?”
ไป๋หรูปิงทอดถอนใจ รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองทอดถอนใจหลายครั้งมากกว่าปีที่แล้วเสียอีก
“เอ้อเป่า เจ้าต้องทำความคุ้นชินกับขั้นตอนก่อน เหมือนการซ้อมใหญ่ ลองเดินก่อนสักสองสามรอบ ถึงตอนนั้นจะได้หลีกเลี่ยงอาการประหม่าด้วย ข้าอยู่กับเจ้าได้ทุกช่วงเวลาไม่ได้ ข้ามาหวีผมให้เจ้าก่อน แล้วค่อยออกไป”
“ก็ได้” หลินซือหาวหวอดอีกหนึ่งครั้ง แล้วบิดแขนอย่างเกียจคร้าน “แล้วตอนซ้อมใหญ่ใส่เครื่องประดับเต็มยศไหม?”
“ค่อยใส่ในรอบสุดท้าย”
หลินซือยังไม่ทันเริ่ม เสียงที่ได้ยินก็ดูจะหมดแรงเสียแล้ว
นางปล่อยให้คนอื่นจัดการประทินโฉมให้ตัวเอง ก่อนที่หลินซือจะหลับตาเตรียมงีบ ก็ได้ยินเสียงไป๋หรูปิงพูดคำหนึ่งว่า “เสร็จแล้ว”
หลินซือค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นคือไป๋หรูปิงที่มีสีหน้าเหนื่อยหน่าย
ครั้นเห็นเส้นเลือดสีแดงในดวงตาของไป๋หรูปิง หัวใจของหลินซือก็เต้นอย่างรุนแรง ทั้งตื้นตันใจทั้งรู้สึกเกินความคาดหมาย
ใช่แล้ว เห็นได้ชัดว่านี่คือพิธีปักปิ่นของตัวเอง เหตุใดถึงต้องให้คนอื่นมาเหนื่อยเพื่อตัวเองด้วย? ผ่านวันนี้ไปตนก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เหตุใดจึงยังเพลิดเพลินกับความทุ่มเทของผู้อื่นอย่างสบายใจเช่นนี้ได้อีก?
“พี่ไป๋ พี่ไปพักผ่อนเถิด” หลินซือประคองไป๋หรูปิงและพูดขึ้น
“ได้อย่างไร? ข้ายังต้องสอนเจ้าว่าทำอย่างไร…”
“ไอหยา พี่ไป๋ ท่านแม่คอยอยู่เป็นเพื่อนข้า ถ้ามันไม่ดีพอประเดี๋ยวท่านแม่ก็ส่งสาวใช้มาให้ข้าเอง เรื่องนี้พวกนางพาข้าเดินก็ได้” หลินซือกดตัวของไป๋หรูปิงให้นั่งลง “พี่พักผ่อนเสียหน่อยเถิด สีหน้าของพี่ดูแย่ลงจนข้าเป็นห่วงกลัวว่าพี่จะอยู่ได้ไม่ถึงเที่ยงแล้ว”
ไป๋หรูปิงยังใช้ดุลพินิจครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหลินซือยืนกรานเช่นนั้น จึงทำได้แค่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ได้ ข้าจะพักอยู่นี่ครู่หนึ่ง แต่เอ้อเป่า ถ้ามีเรื่องอะไรจัดการไม่ได้ ต้องมาเรียกข้า”
“รู้แล้ว ๆ ไม่มีปัญหา” หลินซือตกปากรับคำ แล้วให้สาวใช้พาไป๋หรูปิงไปพักผ่อน
หลังจากที่จัดการเรื่องของไป๋หรูปิงเรียบร้อยแล้ว หลินซือก็รีบสาวเท้าออกไปซ้อมใหญ่ในพิธีปักปิ่นของตัวเองทันที
เหมือนอย่างที่เหยาซูเตือนนางก่อนหน้านั้น ในพิธีปักปิ่นมีผู้คนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
ขณะที่หลินซือกำลังขึ้นแท่นทำพิธี นางเห็นศีรษะสีดำคนแล้วคนเล่าอยู่ด้านล่าง ประกอบกับความเหนื่อยล้าตลอดช่วงเช้า ทำให้เกิดอาการวิงเวียน โชคดีที่ไป๋หรูปิงอยู่ข้างกายเลยช่วยพยุงตัวนางไว้
“อาซือ เจ้าดูด้านล่างสิ เจี่ยงเถิงนั่งอยู่หน้าสุดเลยนะ” ไป๋หรูปิงกล่าวเสียงเบา
หลินซือได้สติและมองออกไปแวบหนึ่ง จริง ๆ ด้วย เจี่ยงเถิงนั่งอยู่ด้านหน้าสุด กำลังส่งยิ้มมาให้นาง
หลินซือเองก็ส่งยิ้มตอบกลับเจี่ยงเถิงเช่นกัน รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมา นางจับมือของไป๋หรูปิงไว้ แล้วพูดเสียงแผ่วเบา “ไปกันเถอะพี่ไป๋ ข้าไหว”
ต่อจากนั้น ก็เป็นพิธีการขึ้นปิ่นปักผมที่ค่อนข้างซับซ้อน เข้าประจำที่ เปิดพิธี ล้างมือ เข้าสู่ขั้นตอน…
“เจี่ยงเถิง” เหยาเอ้อหลางที่นั่งประจำที่อดหาวหวอดไม่ได้ “พิธีปักปิ่นนี้มันช่างน่าเบื่อยิ่งนัก เมื่อไรจะเสร็จ”
“อาซือยังไม่เบื่อเลย เจ้าทนไม่ได้หรือไร?” เจี่ยงเถิงชำเลืองมองเหยาเอ้อหลางแวบหนึ่ง
“ข้าเห็นสีหน้าของอาซือดูไม่ค่อยดีเลย” เหยาเอ้อหลางแสดงสีหน้ากังวล “ดูเหมือนนางจะทนไม่ไหวแล้วกระมัง?”
เรื่องนี้เจี่ยงเถิงไม่ได้ว่องไวเช่นเหยาเอ้อหลาง ครั้นได้ยินก็รีบเงยหน้าขึ้นมองทันที
เป็นอย่างที่ว่าไว้ แม้ว่าใบหน้าของหลินซือจะถูกแต่งแต้มด้วยสีสันอย่างหนาแน่น แต่ก็ยังมองเห็นความเหนื่อยล้าจากนัยน์ตาของนางอย่างชัดเจน
“ไอหยา ตอนนี้ยังไม่เสร็จสิ้นพิธีการ เจ้าจะทำอะไร?” เหยาเอ้อหลางกดตัวของเจี่ยงเถิงที่กำลังจะลุกขึ้นด้วยมือข้างเดียว แล้วกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“เหลือแค่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ข้าจะไปรออาซือด้านล่างเวที” เจี่ยงเถิงมีสีหน้าร้อนใจ เหยาเอ้อหลางทำได้แค่ปล่อยเขา จากนั้นก็กำชับว่า “ระวังด้วย อย่าให้ผู้อื่นเห็น”
เจียงเถิงพยักหน้า แล้วย่องออกจากที่นั่งไป
แต่ทั้งสองคนอาจจะเป็นกังวลเกินไป เพราะทั้งสองคนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนเดินตามไปด้วย
เมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้านั้น ช่วงเวลาที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ทันทีที่องค์รัชทายาทเห็นเจี่ยงเถิงลุกขึ้น ก็รีบไล่ตามไปทันที
เซี่ยเชินตื่นตกใจ จากนั้นก็เข้าไปขวางอีกฝ่ายไว้ “ฝ่าบาท ท่านจะเสด็จไปที่ใด? เกิดถูกผู้อื่นเห็นเข้าเราจบแน่!”
“ข้าไปเจออาซือ” สายตาขององค์รัชทายาทไล่ตามเจี่ยงเถิงไป เขาผลักเซี่ยเชิน “ถอยไป ข้าจะตามไป”
“ฝ่าบาทได้โปรดรอสักครู่ รอให้พิธีการจบก่อน แล้วข้าจะพาฝ่าบาทไปหาพี่สาวข้า ตอนนี้ฝ่าบาทจะทรงรีบไปไยเล่า?!” เซี่ยเชินร้อนใจ
“เจ้าดูนั่น!” องค์รัชทายาทชี้ไปทิศทางหนึ่ง “นั่นท่านราชครูไม่ใช่หรือ?”
“ท่านปู่ก็มาด้วยหรือ?” เซี่ยเชินตื่นตกใจ จากนั้นก็รีบหันไปมอง แต่ทิศทางด้านนั้นมีผู้คนเดินไปเดินมา เลยทำให้ไม่เห็นเงาของเซี่ยเชียน
เซี่ยเชินเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองถูกหลอก เมื่อหันกลับมาองค์รัชทายาทก็ไม่อยู่แล้ว
องค์รัชทายาทก้มหน้าแอบเดินตามเจี่ยงเถิงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา สุดท้ายก็มาหยุดอยู่บนทางระหว่างจวนหลังและจวนหน้า
เจี่ยงเถิงรออยู่ตรงนั้นไม่นาน หลินซือก็ถูกประคองออกมา
“อาซือ!”
เจี่ยงเถิงรุดหน้าเข้าไปรับตัวหลินซือจากมือของไป๋หรูปิง ให้นางเอนกายพิงตน
ไป๋หรูปิงปาดเหงื่อบนหน้า พลางถอนหายใจจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ในที่สุดหินก้อนใหญ่ในใจก็ถูกยกออกเสียที เจ้าอย่ากังวลไป อาซือแค่ไม่มีแรงเล็กน้อย ให้นางนั่งพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
แม้ว่าไป๋หรูปิงจะพูดเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นหลินซือขมวดคิ้วแน่น ในใจของเจี่ยงเถิงก็ยังวางใจไม่ได้
“ตอนนี้ข้าต้องไปต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ อาซือนั้นยกให้เป็นหน้าที่เจ้าดูแลแล้วกัน” ไป๋หรูปิงมีสีหน้าร้อนใจ “จำไว้นะว่าพักได้แค่ชั่วยาม อาซือต้องไปปรากฏตัวอีกครั้ง”
“เข้าใจแล้ว” เจี่ยงเถิงตอบรับอย่างหนักแน่น หลังจากที่ไป๋หรูปิงเดินจากไปก็รีบพาหลินซือไปนั่งบนม้านั่งข้างตัวทันที
หลินซือหลับตาเก็บแรงครู่หนึ่ง จังหวะกระเพื่อมขึ้นลงของหน้าอกค่อย ๆ ลดความถี่ลง สติเริ่มกลับมาเล็กน้อย
“พี่อาเถิง วันนี้ข้ามีของบางอย่างจะให้พี่” หลินซือได้สติกลับมาส่วนหนึ่งจึงรีบเอ่ยทันที
“อะไรหรือ?” เจี่ยงเถิงคาดไม่ถึงว่าอาซือจะเตรียมของให้ตัวเองในวันแบบนี้ เลยถามขึ้นอย่างฉงนใจ
หลินซือหยิบจี้หยกที่เตรียมไว้นานแล้วออกมาจากอกเสื้อ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความจริงข้าทำเสร็จนานแล้ว แต่รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เหมาะสมที่จะให้พี่ ข้าทำเองกับมือ ดูสิว่าเป็นอย่างไร ต้องบอกว่าสวย ห้ามบอกว่าไม่สวยเด็ดขาด”
จี้หยกอุ่นด้วยอุณหภูมิร่างกายของหลินซือ ความร้อนนั้นแผ่ขยายจากในมือของเจี่ยงเถิงแล่นเข้าสู่หัวใจ
แม้ว่ายามนี้หิมะตกหนัก แต่เจี่ยงถิงกลับรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว
…………………………………………………………………………………………………
[1] ยามอิ๋น คือ 03.00 – 04.59 น.
สารจากผู้แปล
ทั่วทั้งแผ่นดินไม่สิ้นซึ่งบุปผางามนะองค์รัชทายาท มาเห็นฉากนี้จะเจ็บปวดขนาดไหน เตรียมของให้เขา แต่เขามีของจากฝีมือตัวเองมอบให้อีกคนเลยล่ะ
ไหหม่า(海馬)