ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 491 ฝีมืองานช่าง!
บทที่ 491 ฝีมืองานช่าง!
บทที่ 491 ฝีมืองานช่าง!
“ให้ตายเถอะ!” อวี้อวี้ถึงกับตัวสั่นสะท้านเพราะคำกิริยาของหลินซือ “พอ ๆ! ได้โปรด เจ้าปล่อยข้าไว้สักคนเถอะ หลินซือ เจ้ามีความแค้นอะไรกับข้ารึ? หรือต่อให้มีความแค้นฝังใจก็ไม่จำเป็นต้องสาปแช่งด้วยสิ่งน่ารังเกียจเช่นนี้กับข้าก็ได้?!”
“ก็ได้ ๆ!” หลินซือยกมือยอมแพ้ “ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น”
“แต่พี่อวี้ พี่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่คงไม่ใช่แค่เรื่องเดียวหรอกกระมัง” หลินซือไม่สนใจ นั่งลงตรงข้ามอวี้อวี้ จับเข่าคุยกันเหมือนกำลังคุยกับสหายสาว “ตอนนี้หลี่จื้อสิงคงจะหลบเลี่ยงข้า แต่ความแค้นที่เขามีต่อพี่ ถ้าบีบจนเขาอยู่ในจุดที่ไม่สนใจอะไรแล้ว พี่จะทำอย่างไร?”
อวี้อวี้ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตบโต๊ะแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าไม่ทำแล้ว วันนี้ข้าจะออกนอกเมือง! ต่อไปข้าจะไปสุดหล้าฟ้าเขียว ห่างไกลจากอำนาจเหล่านี้ ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะหาข้าเจอ!”
“ไม่ได้ ๆ!” หลินซือรีบปลอบใจทันที “เท่าที่ฟังจากพี่ ด้วยกลอุบายของหลี่จื้อสิง พี่ห้ามออกนอกเมืองเด็ดขาด ทันทีที่ก้าวพ้นประตูนี้ อย่างน้อยจะต้องมีสายตาสองคู่จับจ้องพี่แน่ พี่คิดว่าพี่จะหนีพ้นหรือ?”
“เจ้าพูดแบบนี้ แสดงว่ามีความคิดดี ๆ อย่างนั้นสิ?” อวี้อวี้มองหลินซืออย่างสงสัย
หลินซือยิ้ม แล้วขยับเข้าใกล้ก่อนพูดว่า “ข้าจะโกหกว่าเลิกจ้างพี่แล้ว จากนั้นก็ซ่อนพี่ไว้ แต่เรื่องนี้คงโกหกหลี่จื้อสิงไม่ได้ ทันทีที่ข่าวลือแพร่ออกไป เขาต้องตรวจสอบ ไม่ก็มาเฝ้าสังเกตการณ์ที่ร้านหยกอวี้ฝูแน่ คงจะยื้อเวลาออกไปได้ไม่นาน แต่หลังจากที่เขาเลิกสนใจร้านหยกอวี้ฝูแล้ว ข้าตั้งใจจะเปิดร้านใหม่ ถึงตอนนั้นพี่ก็ไปอยู่ที่นั่น แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
อวี้อวี้ครุ่นคิด แล้วค่อย ๆ พยักหน้า แต่ก็ต้องหยุดพยักหน้าลง จากนั้นก็มองไปทางหลินซือด้วยความสงสัย “ข้าว่าเจ้าต้องการส่งข้าไปร้านใหม่เพื่อให้ข้าทำงานให้เจ้าต่อใช่หรือไม่?”
ครั้นถูกจับไต๋ได้หลินซือจึงรู้สึกไม่ดี ทำกิจการมาตั้งนาน หนังหน้าจึงต้องหนาขึ้นไม่มากก็น้อย ซึ่งหน้าของหลินซือถึงขั้นหนามากเลยทีเดียว
“ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไหมเล่า” หลินซือยิ้มอย่างเอียงอาย
“ข้าว่าถ้าเจ้าไม่เจ้าเล่ห์เป็นแม่ค้าไม่ได้สินะ” อวี้อวี้พ่นลมหายใจเย็นชาออกมา แต่ไม่ได้พูดมากความ เพราะยอมรับในคำแนะนำของหลินซือ
“แต่เหตุใดพวกเจ้าถึงตัดสินใจเปิดร้านที่สองเร็วเพียงนี้?” อวี้อวี้ถาม
ไป๋หรูปิงยืนจนเมื่อย จึงเช็ดทำความสะอาดม้านั่งหินตัวหนึ่งแล้วนั่งลง “แม้ว่าจะเปิดร้านได้เพียงครึ่งปี แต่ผลกำไรของร้านหยกอวี้ฝูเกินกว่าที่เราคาดคิดไว้ สำหรับเรื่องร้านใหม่เป็นความคิดของแม่หลินซือ ในเมื่อท่านป้าคิดว่าได้ เราก็จะพยายามเช่นกัน”
“อ่อ ที่แท้ก็เหยาซูนี่เอง” อวี้อวี้ตื่นตกใจ “มิน่าเล่าแผนการนี้ถึงไม่สอดคล้องกับนิสัยจอมวางแผนของเจ้าเท่าไร”
หลินซือยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ถึงกระนั้นเราก็เป็นพ่อค้าแม่ค้าตัวน้อย จะทำอะไรก็ต้องคิดถึงผลที่ตามมาทีหลังให้รอบคอบ อีกอย่างสายตาของข้าก็ไม่ได้ว่องไวเหมือนกับท่านแม่ ในเมื่อนางพูดเช่นนั้น ก็มั่นใจได้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเปิดร้าน”
“แม่ของเจ้าคงจะไม่ได้ให้ทุนกับเจ้าหรอกกระมัง?” อวี้อวี้ถาม
“ให้ส่วนหนึ่ง” หลินซือใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ประกบกันแบบเว้นช่องตรงกลางเพียงเล็กน้อย “ส่วนใหญ่เป็นเงินที่ข้าหามาได้ด้วยตัวเอง ท่านแม่ไม่ให้ข้าเปล่าหรอก นางต้องได้เงินปันผลด้วย”
“แบบนี้แหละถูกต้อง” อวี้อวี้ถอนใจ “มีมารดาที่เก่งเพียงนี้ ก่อนหน้านั้นเจ้ากลับหลบเลี่ยงคำสอนของนาง มัวแต่ค้นหาตัวเอง เสียเวลาไปตั้งเท่าไร”
“แต่ข้าอยากทำมันออกมาด้วยตัวเอง” หลินซือพูดอย่างไม่พอใจ
“สำหรับหลี่จื้อสิงไอ้คนเฮงซวยผู้นั้น แม้ว่าพฤติกรรมของเขาจะเฮงซวยเพียงใด แต่เรื่องกิจการถือว่าไม่เลว เขาได้รับการสอนแบบจับมือมาจากพ่อของเขา ตอนนี้ฝีมือดีมากทีเดียว ไม่มีใครบอกว่าเขาเกาะพ่อสักนิด ด้วยความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว” อวี้อวี้พูดจากใจจริง ถึงได้พูดมาเพียงนี้
หลินซือตกอยู่ในความเงียบ
อวี้อวี้และไป๋หรูปิงมองตากัน ไป๋หรูปิงได้แต่ยิ้มอย่างจนปัญญา
“ช่างเถอะ ข้าพูดไปเรื่อย จะทำอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าเถอะ” อวี้อวี้ลุกขึ้นและแตะไหล่ของหลินซือ “เจ้าเองก็ไม่เลว อยากดูของที่ข้าเพิ่งทำไหม?”
“เยี่ยม!” หลินซือลุกขึ้น แล้วเดินตามอวี้อวี้เข้าไปพร้อมกับไป๋หรูปิง ตรงเข้าไปในห้องทำงานของเขา
ในตอนที่เข้ามาเห็นสิ่งของที่วางอยู่กลางห้อง หลินซือและไป๋หรูปิงถึงกับอุทานอย่างอดไม่ได้
“เป็นอย่างไร?” อวี้อวี้พอใจกับปฏิกิริยาของทั้งสองคน ครั้นเดินเข้าใกล้ฉากกั้นหยกที่อยู่ในขั้นตอนเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้ว “เปิดหูเปิดตาพอไหม”
“เปิดหูเปิดตามาก” หลินซือตื่นตกใจจนต้องพูดทวนซ้ำ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปดูลวดลายอันประณีตงดงาม แล้วยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว นางจึงถูกอวี้อวี้ตีมือดัง ‘เพียะ’
“มือเจ้าสะอาดแล้วหรือถึงได้กล้าแตะ!” อวี้อวี้เบิกตากว้างพลางตำหนิ
“มือของพี่สกปรกยิ่งกว่าข้าอีก” หลินซือรู้สึกหวานอมขมกลืน ทำได้แค่ตำหนิกลับไป
ไป๋หรูปิงมองลวดลายบนนั้นอย่างละเอียด แล้วถามขึ้นว่า “นี่คือภาพวาด ‘ทิวทัศน์ขุนเขาสายน้ำพันลี้’ ของทังเหมี่ยวใช่ไหม?”
ทังเหมี่ยวคือนักวาดภาพที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ก่อนหน้านั้น ภาพวาด ‘ทิวทัศน์ขุนเขาสายน้ำพันลี้’ ตอนนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในวัง
“พี่ไป๋วิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่งนัก” อวี้อวี้ดีใจอย่างชัดเจน น้ำเสียงจึงได้ดังขึ้น
ไป๋หรูปิงจำได้แม้มองเพียงปราดเดียว พิสูจน์ได้ว่างานแกะสลักของตัวเองยอดเยี่ยมมาก
“ฝีมือของอาจารย์ยอดเยี่ยมมาก” ไป๋หรูปิงพิศดูลวดลายบนนั้น ก่อนจะตกตะลึงอีกครั้ง “เหมือนเกินไปแล้ว ฝีมือการสลักของเจ้าดีเกินไปแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ?” หลินซือเคยได้ยินแค่ชื่อของภาพนั้น แต่ไม่เคยเห็น เพราะเหตุนี้จึงไม่รู้สึกประหลาดใจนัก
อวี้อวี้กลอกตาไปมาอีกครั้ง “ไม่เปิดหูเปิดตาเอาเสียเลย”
หลินซือถูกเมิน จากนั้นนางก็ยื่นหน้าไปข้างกายของไป๋หรูปิงอย่างเศร้าหมอง ให้อีกฝ่ายอธิบายให้ตัวเองฟัง
ผู้คนส่วนใหญ่ต่างชื่นชม จู่ ๆ ไป๋หรูปิงก็ทอดถอนใจแล้วพูดว่า “แต่แม้ว่าฉากกั้นนี้จะงดงามมาก วัสดุที่ดูใหญ่เพียงนี้คนทั่วไปคงจะไม่มีโอกาสได้ใช้ มีแต่ต้องวางไว้ในพื้นที่กว้างในวังเท่านั้น”
“ข้าว่างไม่มีอะไรทำเลยฝึกฝนฝีมือตัวเอง ไม่ได้จะขาย” อวี้อวี้กล่าวเสียงเรียบ
หลินซือกลับถอนหายใจ รีบชิงพูดก่อนที่อวี้อวี้จะถาม “พี่อวี้ ยังดีที่พี่ไม่ขาย ไม่อย่างนั้นถ้าหลี่จื้อสิงเห็นผลงานชิ้นนี้ เกรงว่าคงไม่กลัวข้าอีก แล้วลักพาตัวพี่กลับไปแน่นอน”
ใบหน้าของอวี้อวี้หม่นหมองลงทันที แต่ที่หลินซือพูดก็ดูมีเหตุผล เขาทำได้แค่พูดว่า “หุบปาก!”
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สองคนนี้มันต้องมีเบื้องหลังอะไรบางอย่าง วิ่งหนีกันเป็นหนังอินเดียสมัยก่อนเลย
ไหหม่า(海馬)