ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 501 โลกแห่งความทุกข์
บทที่ 501 โลกแห่งความทุกข์
บทที่ 501 โลกแห่งความทุกข์
ได้ออกไปเที่ยวเล่นมาหนึ่งรอบ ครั้นกลับมาถึงก็ใกล้วันขึ้นปีใหม่แล้ว
วันนั้นหลินซือมองดูโคมแดงที่ถูกแขวนอยู่ในบ้าน และในที่สุดเจี่ยงเถิงก็มีวันหยุด
เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องวุ่นวายจากเทศกาลเสี่ยวเหนียน[1] ที่บ้านในวันนั้น หลินซือและไป๋หรูปิงก็ไปที่ร้านหยกอวี้ฝูเพื่อไปมอบซองแดงให้กับเถ้าแก่ร้าน จากนั้นหลินซือก็ทำพิธีกับประตูร้าน
“ปีหน้าต้องพยายามให้ถึงที่สุด!” หลินซือมองไปที่ป้ายร้านหยกอวี้ฝู และเอ่ยขึ้นพลางกำหมัดแน่น
“เฮ้อ” หลังจากที่ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่แล้ว หลินซือก็ถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สิบกว่าแล้วในวันนี้
อวี้อวี้ทนไม่ไหวจึงขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น “เป็นอะไรไปเล่าหลินซือ แบบนี้จะทำให้ข้าคิดว่าร้านหยกอวี้ฝูของเราไม่ได้หยุดในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ แต่เป็นการปิดกิจการไปเลยเสียมากกว่า”
“เฮ้ ๆๆ!” หลินซือรีบสบถออกมาไม่กี่คำ และก็บังคับอวี้อวี้ให้สบถออกมาเช่นกัน
อวี้อวี้สบถออกมาหลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าก้มหน้าจะได้ไหม มันรู้สึกราวกับว่าวันหน้าจะไม่พบเจ้าอีกแล้ว เหมือนวันนี้จะมาลาอย่างไรอย่างนั้น”
“ปากของพี่สามารถพูดสิ่งที่เป็นมงคลได้ไหม?” หลินซือได้ยินอีกฝ่ายพูดเกินไป จึงรีบหยุดไว้ “ข้าแค่รู้สึกว่าเปิดร้านเพียงไม่กี่วันก็ปีใหม่เสียแล้ว กลัวว่าปีหน้ากิจการจะไม่ดีแล้วเราจะทำอย่างไร?”
“พอเลย” อวี้อวี้กลอกตา “มีข้าแล้วจะไม่ดีได้เช่นไรกัน? ถ้าอย่างนั้นข้าจะขอรับโทษไว้เอง”
“จะปีใหม่แล้ว เหตุใดพี่เอาแต่พูดเรื่องไม่เป็นมงคล!” หลินซือโบกมือขู่อวี้อวี้ พลางถอนหายใจ “ข้ารู้ดีว่าฝีมือของพี่อวี้นั้นดีมาก แต่ก็ต้องมีบ้างที่ผู้คนจะไม่ชอบ พี่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าลูกค้าจะชอบแบบใด”
“ข้าทำได้ดีที่สุด เหตุใดจะมีคนที่ไม่ชอบ?” อวี้อวี้มองหลินซือด้วยความประหลาดใจ
ไป๋หรูปิงไม่สามารถฟังต่อไปได้อีกต่อไป ความคิดของทั้งสองช่างแตกต่างกัน จึงเอ่ยขัด “เมื่อวานเจี่ยงเถิงไม่ได้บอกว่าจะมาด้วยไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่ว่าถึงเวลาแล้วหรือ?”
“จริงด้วยสิ” หลินซือโบกมือขึ้นและเดินจากไป เมื่อเดินไปได้กี่ก้าวนางก็หันกลับมาถาม “พี่อวี้ มากับพวกเราสิ คนเยอะ ๆ สนุกจะตาย”
“ข้าไม่ไปจะดีกว่า” อวี้อวี้ส่ายหัวและหยอกล้อ “พวกเจ้าสองคนกินอาหาร จะให้ข้าไปทำอะไรเล่า? จะไม่ถูกผู้คนจ้องมองเราหรือ?”
“พี่พูดอะไรน่ะ!” หลินซือกระทืบเท้า “ไม่ใช่แค่เราสองคน แต่เป็นการรวมตัวกันของคนหลาย ๆ คน”
“เช่นนั้นข้าไม่ไป ข้าชอบอยู่หลังร้านหยกอวี้ฝู มันสงบดี” อวี้อวี้โบกมือลาหลินซือ “โดยเฉพาะถ้าเข้าไปเดินเล่นในเมืองแล้วไปพบกับหลี่จื้อสิงก็คงจะไม่ใช่เรื่องดี”
หลินซือนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ นางจึงเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นพี่ต้องการอะไรต้องบอกกับข้านะ”
“ได้เลย รีบไปเถอะ” อวี้อวี้กล่าวลา และเริ่มโบกมือไล่พวกเขาไป
หลินซือทำได้แค่เพียงตามไป๋หรูปิงออกไป
เมื่อถึงร้านอาหารหรูอี้ ทุกคนล้วนมารวมตัวกันครบ เหยาเอ้อหลางเกลี้ยกล่อมให้หลินซือดื่มสุราสามจอก ทว่ากลับถูกหลินจื้อและเจี่ยงเถิงกดดันให้ตนเองดื่มสุราสามจอกนั้นลงไปแทน
“อาซือรีบนั่งเร็วเข้า บนนี้ล้วนมีแต่ของที่เจ้าชอบทั้งนั้น” เจี่ยงเถิงทักทายและเรียกให้เด็กสาวนั่งลง
“ใช่ ล้วนคือสิ่งที่เจ้าชอบ” เหยาเอ้อหลางบ่นอย่างขื่นขม “ข้าอยากจะกินอะไรเจี่ยงเถิงก็ไม่ให้ข้าสั่ง บอกว่าถ้ากินไม่หมดจะสิ้นเปลือง”
“จริงหรือ?” ต่อหน้าผู้คนมากมายหลินซือจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าจะให้คนสั่งอาหารเพิ่ม”
“อย่าไปฟังเขาพูดจาเพ้อเจ้อ” เจี่ยงเถิงรีบคว้ารายการอาหารในมือของหญิงสาว และชี้ไปทางเอ้อหลาง “เจ้าดูเลยว่าอีกสักพักเขาจะกินมากที่สุด”
ผู้คนบนโต๊ะต่างก็หัวเราะขบขัน หลินซือเองก็ไม่ได้สั่งอาหารเพิ่ม แต่สุดท้ายคนที่กินลงไปมากที่สุดก็คือเหยาเอ้อหลาง
เมื่อดื่มด่ำกับสุราและอาหารแล้ว คนหนุ่มสาวไม่กี่คนต่างก็เริ่มบ่นว่าก่อนปีใหม่พวกเขายุ่งมากเพียงใด
“พวกเจ้าต่างก็ไม่รู้ เดิมทีแล้วข้าคิดว่าจะได้ไปกองกำลังรักษาพระองค์ ผลปรากฏว่าท่านพ่อให้ข้าไปยังเมืองจิ่งจ้าว” เหยาเอ้อหลางระบายความขมขื่นออกมาเป็นคนแรก “ผู้คนในนั้นล้วนเป็นคนที่เฉลียวฉลาดเกินมนุษย์ วัน ๆ เอาแต่พูดจาสวยหรูแต่ไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย จะทำให้ข้าตายกลายเป็นฝุ่นอยู่แล้ว”
“ยังมีคนที่ฉลาดเกิดมนุษย์มากกว่าเจ้าอีกหรือ?” เจี่ยงเถิงหยอกล้อ “เดิมทีเจ้ามักจะหลอกพวกเรา ตอนนี้กลับโดนผู้อื่นหลอกหรือ?”
เอ้อหลางหัวเราะ “คงจะต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้”
เมื่อเจี่ยงเถิงเงียบลง เหยาเอ้อหลางก็รีบกล่าวเสริมขึ้นทันที “ตอนแรกข้าแค่พูดเล่นกับพวกเจ้า จะหลอกล่อหรือโดนหลอกผลลัพธ์มันก็ไม่ได้มีอะไร แต่ถ้าอยู่ที่เมืองจิ่งจ้าว ถ้าหากเจ้าโดนหลอก การเลิกจ้างก็ถือว่าเบาไปเลย”
“เช่นนั้นทำไมท่านพี่ไม่บอกกับท่านลุงว่าอยากเข้าไปเป็นทหารรักษาพระองค์ล่ะ?” หลินซือเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
เหยาเอ้อหลางยิ้มดูพิกล หลินซือไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มหมายถึงอะไรจึงหมายจะหันไปถามเจี่ยงเถิง แต่อีกฝ่ายกลับหันหน้าหนีไป
“ไม่พูดเกี่ยวกับข้าแล้ว” เอ้อหลางยกสุราขึ้นดื่มหนึ่งแก้ว “เจี่ยงเถิง เจ้าจะได้เลื่อนตำแหน่งหลังขึ้นปีใหม่ใช่หรือไม่?”
เจี่ยงเถิงส่ายหัว “ยากที่จะพูด ต้องคอยดูสถานการณ์”
เหยาเอ้อหลางถอนหายใจและหัวเราะขึ้นมา “มองดูเจ้าแล้ว ข้าคิดว่าก็คงจะไม่ได้ยากอะไร ”
เจี่ยงเถิงได้แต่หัวเราะและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา หลินซือได้แต่ฟังพวกเด็กหนุ่มสนทนากันราวกับว่าตนนั้นเป็นใบ้ เมื่อมองดูไป๋หรูปิง เด็กสาวก็ส่ายหน้าให้กับนาง หลินซือไม่ได้ถามอะไร และเริ่มปรึกษาเรื่องการเปิดกิจการใหม่
เมื่อทั้งหมดกินจนอิ่มหนำ ดื่มสุราจนหมดเกลี้ยง การรวมตัวก็ถึงคราวสิ้นสุดตรงนี้ เอ้อหลางที่ดื่มเข้าไปค่อนข้างมาก กลับไม่ต้องการให้คนไปส่ง เด็กหนุ่มผลักเจี่ยงเถิงที่ประคองตนอยู่เข้าไปหาหลินซือแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทั้งสองรีบ ๆ รักกันได้แล้ว”
พูดจบเขาก็ฮัมเพลงเล็กน้อยและจากไป
หลินจื้อส่งไป๋หรูปิงขึ้นรถม้า หลังจากนั้นก็คุยกับพวกเขาทั้งสอง “เจี่ยงเถิง เจ้าส่งอาซือกลับบ้าน ข้าจะไปกับเขาเอง”
เจี่ยงเถิงพยักหน้า เด็กหนุ่มดึงหลินซือที่มีท่าทางลังเลกลับจวนท่านแม่ทัพไป
“พี่อาเถิง” หลินซือเงยหน้าขึ้นมามอง “ทำไมพี่รองต้องไปเมืองจิ่งจ้าวด้วยล่ะ?”
เจี่ยงเถิงก้มหน้ามองหลินซือ เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งและจึงเอ่ยขึ้น “ท่านลุงเหยาอยู่ในวัยที่กำลังพอเหมาะ เป็นผู้นำของทหารรักษาพระองค์ และค่อนข้างมีอำนาจในกองทหาร ส่วนต้าหลางก็ทำการค้าขาย และกำลังมั่นคงและร่ำรวยขึ้น ตระกูลเหยาไม่ต้องการทหารเพิ่มอีก แต่ต้องการขุนนางหนึ่งคนที่จะสามารถรับมือกับราชสำนักได้ ดังนั้นท่านลุงเหยาจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะจัดการให้พี่รองที่ไม่มีพื้นฐานเลยแม้แต่น้อยเข้าไปในจิ่งจ้าว”
“แต่ว่าก่อนหน้านี้พี่รองก็อยู่ในกองทัพมาตลอดนะ?”
หลินซือสงสัย “หากว่าท่านลุงต้องการให้พี่รองไปเมืองจิ่งจ้าวตั้งแต่แรก ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเข้าไปในกองทัพนี่”
“แต่ก่อนสามารถรอให้เหยาเอ้อขึ้นก่อน แต่เขากลับมาในเวลาที่บังเอิญเกินไป เหตุเพราะองค์รัชทายาทมีอิทธิพลต่อราชสำนักอย่างลับ ๆ ดังนั้นท่านลุงเหยาจึงไม่สามารถรอต่อไปได้ไหว จึงต้องจัดแจงให้เขาไปตอนนี้”
เจี่ยงเถิงถอนหายใจออกเบา ๆ “น่าเสียดายแทนเหยาเอ้อนัก เดิมทีข้าคิดว่าเขาจะได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ต่อจากพ่อของเขา”
หลินซือเงียบไป นี่เป็นเรื่องของผู้อื่น นางมิอาจพูดสิ่งใดได้
“แต่เจ้าได้ยินเอ้อหลางเอ่ยขึ้นด้วยความเศร้าเช่นนั้นเหมือนกัน” เจี่ยงเถิงกำลังคิดอะไรอยู่ ชั่วครู่ก็ยิ้มออกมา “ดูจากความสามารถของเขาแล้ว ไม่ว่าไปที่ไหนก็โดดเด่น คนพวกนั้นคิดว่ากำลังรังแกลูกวัวที่เกิดใหม่อย่างเขา ไม่รู้เสียแล้วว่าตนกำลังเล่นกับเสือในร่างหมู ข้าคิดว่าเวลาเพียงปีเดียวเขาก็สามารถเป็นขุนนางอันดับสองได้โดยเร็ว ในอนาคตเมืองจิ่งจ้าวจะต้องการเขา”
หลินซือถอนหายใจอีกครั้ง “ฟังดูเหนื่อยไม่น้อย”
“ข้าเองก็เหนื่อย เหตุใดไม่เห็นเจ้าจะสงสารข้าเลยเล่า?” เจี่ยงเถิงถามขึ้น
หลินซือถอนหายใจ “เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อท่านหรือไม่? ท่านลืมหมดแล้วรึ!”
หลังจากถูกหลินซิอโต้ตอบ เจี่ยงเถิงก็ยอมจำนนทันที “เอาละๆ ข้าผิดเอง”
เมื่อเขามาถึงจวนท่านแม่ทัพ หลินซือก็เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนหันมาทำหน้าทำตาใส่เขาและหันหลังกลับไป
………………………………………………………………………………………………….
[1] ปีใหม่เล็ก คือ ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงตรุษจีน
สารจากผู้แปล
แต่อาซือให้หยกที่แกะสลักกับมือเองเลยนะเจี่ยงเถิง แบบนั้นคือไม่ต้องขออะไรอีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)