ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 505 แอบฟัง
บทที่ 505 แอบฟัง
บทที่ 505 แอบฟัง
ในอีกด้านหนึ่ง
ตู้เหิงได้คว้าลู่เหยาเอาไว้แล้วเอ่ยถามขึ้น “ที่แม่พูดมาทั้งหมดเจ้าจำได้ไหม?”
ลู่เหยาพยักหน้าอย่างเขินอาย แต่มองดูไปรอบ ๆ ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะก้าวออกไป
ถึงแม้จะเจ็บปวดจากการถูกมารดาของตนหยิก แต่นางก็อยากจะอยู่กับมารดามากกว่าการต้องไปทักทายผู้คนมากมายที่ตนไม่รู้จักมักคุ้น
“ลู่เหยา!” ตู้เหิงจ้องมองลูกสาวด้วยความโกรธเคือง “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้ากลับทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ลู่เหยาจ้องมองตู้เหิงและก็หันไปมองผู้คนโดยรอบ ในที่สุดนางก็ก้มหัวลงและส่ายหัวเบา ๆ
ตู้เหิงกระทืบเท้าด้วยความเกลียดชัง ลูกสาวตนกลับเป็นเสียเช่นนี้ ไม่ว่านางจะจับตามองลูกสาวผู้ฉลาดหลักแหลมของเหยาซูสักเพียงใดก็ไร้ประโยชน์
ลู่เหยาอายุน้อยกว่าหลินซืออย่างเห็นได้ชัด และสามารถปรับตัวตามสิ่งแวดล้อมได้
สภาพแวดล้อมในการเติบโตก็ดีกว่าหลินซือเช่นกัน เหยาซูไม่ได้อยู่บ้านมาตลอดทั้งปี และตู้เหิงก็ปฏิบัติต่อลู่เหยาอย่างเข้มงวดในทุก ๆ วัน เหตุใดในตอนท้ายจึงแตกต่างได้ถึงเพียงนี้ หรือตนจะต้องเปิดร้านค้าให้กับลู่เหยาด้วย
“เจ้านี่ช่างไม่มีความมุมานะเอาเสียเลย!” ตู้เหิงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด
ลู่เหยาปล่อยให้มารดาของตนดุด่า นางก้มหน้าจนหน้าเกือบจะชิดหน้าอกแล้ว
เดิมทีตู้เหิงอยากปล่อยให้ลูกสาวของตนสนิทสนมกับหลินซือ ถึงแม้ในครั้งก่อนตอนไปร้านหยกอวี้ฝู ลู่เหยาเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรเลย หลินซือก็คงจะจำอะไรไม่ได้
แต่ลูกสาวคนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ตู้เหิงจึงทำได้แค่เพียงกัดฟันและเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อคอยเฝ้าสังเกต
เมื่อเห็นว่าหลินซือแยกตัวออกมา ตู้เหิงก็รีบสะกิดลู่เหยา “เจ้าดูสิว่าหลินซือไปไหนหรือไม่ รีบเข้าไปหานางเร็วเข้า”
ลู่เหยาเหลือบมองแต่ไม่ได้ขยับ
“ไปสิ” ตู้เหิงผลักเด็กหญิง “ก็แค่ให้เจ้าไปกับนาง ไม่ได้ให้เจ้าพูดอะไรสักหน่อย!”
ลู่เหยามองใบหน้าของตู้เหิงที่จ้องมองตนเองด้วยความโกรธ ทำได้แค่เพียงเดินตามหลินซือให้ทัน
ระหว่างทางได้พบกับองค์หญิงครั้งแรก ลู่เหยาซ่อนตัวอยู่ในความมืดและในใจของนางก็ยิ่งหวาดกลัว เมื่อนางได้ยินองค์หญิงพูดจาไม่ดีต่อองค์รัชทายาท ลู่เหยาก็อยากจะหนีไป
จู่ ๆ ลู่เหยาก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งไม่ไกล นางจำได้ในพริบตา เป็นสหายที่ได้ช่วยนางเอาไว้ในวันนั้น…เซี่ยเซิน!
ความรู้สึกไม่สบายใจของลู่เหยาจู่ ๆ ก็ถูกโยนทิ้งไป
ถึงแม้จะไม่สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าเขาจะรู้จักตนไหม แต่ลู่เหยาเชื่อมั่นว่าคนผู้นั้นเป็นคนดี
แต่เมื่อหลินซือเริ่มเอ่ยขึ้นก็ทำให้จิตใจของลู่เหยากลับมาตื่นตระหนกอีกครั้ง
นางเรียกคนคนนั้นว่า ‘ฝ่าบาท’
ในราชวังยังมีอีกหนึ่งคนที่ถูกเรียกว่าฝ่าบาท มีเพียงแค่เรื่องก่อนนอนที่ท่านแม่กำชับว่าต้องแย่งมาจากหลินซือ…องค์รัชทายาท
คนคนนั้นไม่ใช่สหาย วันนั้นคนที่ช่วยตนเอาไว้คือองค์รัชทายาท
ลู่เหยาพิงกับกำแพงหินภายในความมืด เด็กสาวไม่สนใจแม้กระทั่งโคลนที่เปื้อนเสื้อผ้าของตน หัวใจของนางเต้นแรง หากแต่ไม่อาจละสายตาไปจากหลินซือและองค์รัชทายาทได้
หัวใจของลู่เหยาค่อย ๆ สงบลงมา
องค์รัชทายาทสนทนากับหลินซือเป็นเวลานาน แต่เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ครอบครัวของตนคาดไม่ถึง องค์รัชทายาทมักจะหาเรื่องสนทนากับหลินซือโดยตลอด และท่าทางของหลินซือกลับไม่ได้ดูมีชั้นเชิงและเฉลียวฉลาดเหมือนเมื่อสักครู่
ถึงแม้จะมองมาจากมุมมืดก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน สายตาขององค์รัชทายาทที่มองหลินซือนั้นเป็นประกาย ช่างแตกต่างกับแววตาตอนที่มองตนเองนัก
แม้ตัวนางเองจะพูดไม่เก่ง แต่นางก็อ่อนไหวต่ออารมณ์และความรู้สึกของคนอื่นมาก เด็กหญิงเห็นได้ว่าองค์รัชทายาทชอบหลินซือ
ตนเองต้องทำให้ท่านแม่ผิดหวังอีกครั้งเสียแล้ว
ลู่เหยาวางมือเย็นเฉียบไว้บนหน้าอก แต่นางไม่สามารถทำให้มันอุ่นขึ้นได้
ขณะที่ลู่เหยากำลังฟุ้งซ่าน หลินซือเองก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย
“ฝ่าบาท หม่อนฉันต้องไปจริง ๆ แล้ว ท่านแม่ไม่ให้ข้าออกมาเล่นนานเช่นนี้เพคะ”
หลินซือระมัดระวังในการใช้น้ำเสียงที่ดูห่างเหินของตัวเอง และไม่มีใครสามารถแยกแยะได้
ตั้งแต่องค์รัชทายาทได้ยินว่าจะมีการจัดงานเลี้ยงโคมไฟในเทศกาลหยวนเซียว เขาก็เริ่มเตรียมสิ่งที่จะสนทนากับหลินซือในวันนี้ ผลปรากฏว่าเขาเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ แม้แต่สิ่งที่อยากจะถามสักหนึ่งคำถามก็ไม่ได้ถามออกมา แต่กลับได้ฟังเรื่องราวมากมายของเจี่ยงเถิงแทน
แต่ผู้ใดกันเล่าที่อยากจะฟังเรื่องราวอันรุ่งเรืองของเจี่ยงเถิง!
“เจ้าไปเถอะ”
องค์รัชทายาทเหน็ดเหนื่อยไปทั้งกาย และโบกมือให้กับหลินซือ
หลินซือยิ้มอย่างสดใส เด็กสาวพยายามควบคุมรอยยิ้มบนใบหน้าของตนและกล่าวลาองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทยืนอยู่กับที่คอยมองดูเงาของหลินซือค่อย ๆ หายไป ราวกับอากาศในช่องอกจะหยุดนิ่ง และเขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรง
เมื่อลู่เหยาที่ได้ยินเรื่องนี้ในเงามืด นางก็รู้สึกกังวลและอยากจะออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว นางก้าวไปหนึ่งก้าวและตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบถอยกลับเข้าไป
แต่จังหวะที่ถอยกลับ องค์รัชทายาทกลับได้ยินเสียงจึงรีบหันกลับมา และเห็นชายเสื้อผ้าของลู่เหยาที่ซ่อนเข้าไปไม่หมด
“ผู้ใดอยู่ตรงนั้น?” องค์รัชทายาทแสดงอำนาจยิ่งใหญ่ของตำแหน่งตนและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ลู่เหยากัดริมฝีปาก เมื่อได้ยินเสียงขององค์รัชทายาท เด็กสาวทำได้แค่ก้มหน้าและเดินออกไป
“ฝ่าบาท” ลู่เหยาคำนับ
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วมองดูเด็กหญิงตัวน้อยที่ก้มหน้าอยู่ จึงเข้าไปแล้วเอ่ยขึ้น “เงยหน้าขึ้นมา”
ลู่เหยาไม่มีทางเลือกจึงต้องเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหม่า เด็กหญิงตัวสั่นเมื่อถูกอีกฝ่ายจับจ้อง
“เจ้าเองรึ?” องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว
“ฝ่าบาทจำหม่อมฉันได้?” ลู่เหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
องค์รัชทายาทพยักหน้า และมองดูเด็กหญิงผู้ไม่มีพิษมีภัย “ตอนนั้นสถานการณ์เร่งรีบ ข้าเลยไม่ได้บอกตำแหน่งที่แท้จริงของตน”
“หม่อมฉันรู้ และหม่อมฉันจะไม่บอกผู้ใด” ลู่เหยารีบรับรอง
องค์รัชทายาทพยักหน้า ไม่ว่าลู่เหยาจะพูดอะไรหรือไม่ก็ตาม ต่อให้นางพูด ถึงอย่างไรเขาก็มีวิธีหลายร้อยวิธีที่จะทำให้ผู้คนไม่เชื่อ
เขาสนใจในเรื่องอื่นมากกว่า
“เจ้ามาตั้งแต่ตอนไหน?” องค์รัชทายาทถามถึงเรื่องที่แอบฟัง
ลู่เหยาบิดชายเสื้อแล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ตั้งแต่เริ่มก็อยู่ตรงนั้นเพคะ”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็ถามขึ้น “เจ้าแอบตามหลินซือรึ?”
“ไม่ ๆ ๆ หม่อมฉันไม่ได้ตามเพคะ!”
ลู่เหยาโบกมือปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่มารดาของตนกำชับไว้ ราวกับว่าฝ่าบาทไม่ได้กล่าวอะไรผิด นางวางมือลงและหยุดพูด
พระองค์รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับลู่เหยา ไม่ใช่ตำแหน่ง แต่เป็นปัญหาที่สมองของนาง และนางก็ดูไม่ค่อยฉลาดนัก
“เจ้ามาเพื่อทำสิ่งใด?” องค์รัชทายาทถอนหายใจ พยายามสงบสติและเอ่ยถามขึ้นอย่างชัดเจน
“คือ มารดาของหม่อมฉันให้มาตามหลินซือเพคะ” ลู่เหยาพยายามเรียบเรียงคำพูด “เรียนรู้โลกภายนอกกับนาง อย่า…อย่าทำตัวโง่ ๆ เพคะ”
อันที่จริงคือการติดตามนางมาเพื่อดูว่าจะได้พบกับองค์รัชทายาทหรือไม่ จากนั้นก็ค่อยเข้าไปตีสนิทกับเขา อย่างไรเสียลู่เหยาก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจพูดออกมาได้
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วและจ้องมองลู่เหยา รู้สึกว่าไม่เคยเห็นคนไร้สมองเช่นนี้ในพระราชวัง พยายามคิดเช่นไรก็นึกไม่ออกว่าคนเช่นนี้จะทำร้ายพระองค์ได้อย่างไร จึงโบกมือให้นางไป
ลู่เหยาเหมือนได้รับการพระราชทานอภัยโทษ นางพลันออกวิ่งเร็วกว่าหลินซือ
องค์รัชทายาทมองดูแผ่นหลังของลู่เหยาที่ดูราวกับกระต่ายตื่นตูมจนน่าขบขัน และเมื่อเขาหัวเราะออกมาดัง ๆ พระองค์ก็ตระหนักว่าอาการเศร้าโศกในอกของเขาหายไปบ้างแล้ว
เด็กผู้หญิงคนนี้ ช่างงุ่มง่ามน่ารักเสียจริง
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
รู้สึกเอ็นดูน้องเหยาแล้วล่ะสิองค์รัชทายาท แต่น่าเสียดายที่น้องมีแม่เป็นนังตู้
ไหหม่า(海馬)