ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 51 ไปเล่นกับลูก ๆ ของท่าน
บทที่ 51 ไปเล่นกับลูก ๆ ของท่าน
“ต้าเป่า กินหัวไชเท้าด้วย”
เหยาซูมีดวงตาเป็นประกายคมกริบเมื่อเห็นว่าอาจื้อแอบคีบหัวไชเท้าในกับข้าวมาวางข้างชาม แล้วกล่าวกับอาซือว่า “เอ้อเป่าสั่งสอนพี่ของเจ้าด้วย ห้ามเลือกกินเด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ! ท่านแม่ เอ้อเป่าจะไม่เลือกกิน!”
ลูกสาวตัวน้อยจ้องมองพี่ชายอย่างว่าง่าย ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางฉายแววจริงจังราวกับว่าถ้าพี่ชายไม่กิน นางจะต้องทำลายหัวไชเท้าในชามของเขา
อาจื้ออับจนปัญญาได้แต่กล้ำกลืนฝืนใจ เคี้ยวเข้าไปสองคำ จากนั้นกลืนลงคอ
เหยาซูตักข้าวให้หลินเหราอีกชาม ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กทั้งสอง
ชามกระเบื้องเคลือบที่อยู่ในบ้านนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก อุณหภูมิอุ่น ๆ จากมือถูกส่งต่อไปให้หลินเหรา
เขาสัมผัสปลายนิ้วของเหยาซู หลังจากผ่านฤดูหนาวอันหนาวเหน็บทั้งหมดมา ในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของบ้าน
ครอบครัวคนทั้งสี่กินข้าวเสร็จอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นอาหารประจำของที่บ้าน แต่หลินเหรากลับไม่เคยลิ้มรสมาก่อนในรอบหนึ่งปี เขาช่วยเหยาซูเก็บจานชามและตะเกียบ ทั้งสองยกข้าวของเข้าไปในห้องครัวด้วยกัน ส่วนเด็กทั้งสองมีหน้าที่ดูแลซานเป่า
“อาซู อาหารที่เจ้าทำอร่อยมาก”
ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวอย่างตั้งใจ แต่น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง
เหยาซูเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
นี่เขาชมนางเหรอ? เขาชมคนอื่นแบบนี้เหรอ? แม้ว่าคำพูดจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่หากพูดออกมาจากปากของคนคนนี้มันก็ฟังราวกับว่าเป็นประโยคบอกเล่าขณะอ่านหนังสือ
มันไม่เหมือนกับการชมเชยสักนิด
เมื่อคิดถึงความคับข้องใจที่ได้รับจากตระกูลหลิน เหยาซูก็เบะปากและกล่าวว่า “ก็แม่ของเจ้าฝึกมา”
หลังจากสามีจากไป ร่างเดิมก็ถูกแม่หวังกดดันให้ทำอาหารในตระกูลหลินทุกวัน หากวันใดนางไม่เข้าครัว วันนั้นจะโดนแม่หวังด่าจนหูชา
ได้ยินอาจื้อเล่าให้กับแม่เฒ่าเหยาฟัง แม้เหยาซูจะทำดีสักเพียงไหนก็ยังถูกกล่าวหาว่าขโมยของไปโดยไม่มีเหตุผล
ถูกด่าไม่เว้นแต่ละวัน
น้ำเสียงของเขากลืนหายไปในลำคอ เหยาซูไม่คิดว่าเขาจะช่วยนางทวงคืนความยุติธรรมให้ ดังนั้นนางพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่หลินเหรากลับพูดขึ้นมา
“วันหน้าข้าจะไม่ทำให้เจ้าและลูก ๆ ได้รับความไม่เป็นธรรมอีก”
เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ น้ำเสียงเคร่งขรึมของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกเชื่อถือ
แต่เหยาซูกลับไม่เชื่อ นางเพียงแค่ขมวดคิ้วแล้วถามกลับว่า “ในเมื่อรู้ว่าข้าและลูกน้อยต่างน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วท่านทำอะไรได้บ้าง?”
พูดจบนางก็เบือนหน้าหนีไม่มองหลินเหราอีกต่อไป เพราะไม่อยากจะพูดสิ่งใดอีก
หลินเหราไม่ได้แก้ตัว ในความคิดของเขานั้นเหยาซูแตกต่างจากแต่ก่อนจริง หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงทะเลาะกันเสียงดังไปแล้ว
หลินเหราเดินไปยกน้ำสะอาดมาจากลานบ้าน วางบนเตาและเริ่มล้างจานกับเหยาซู
มือของเหยาซูละเอียดอ่อนและเรียวยาว แม้จะทำงานบ้านบ่อย ๆ แต่ก็ได้รับการดูแลอย่างดี
หลินเหราเห็นนิ้วเรียวเล็กของนางอยู่ในน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่ทำความสะอาดจาน ในใจของเขารู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หลินเหราคิดในใจว่าหากนางเป็นแบบนี้ตลอดไปก็คงจะดี
ขณะที่ทั้งสองกำลังล้างจานและตะเกียบอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังออกมาจากด้านนอก “อาซู! อยู่บ้านหรือไม่?”
เมื่อเหยาซูได้ยินดังนั้น นางก็ใช้น้ำสะอาดล้างมือและเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องครัวไป
หลินเหราไม่ได้ขยับเขยื้อน เขายังคงทำธุระในมือต่อไป แต่ในใจกลับจดจ่ออยู่ที่ลานบ้าน
เหยาซูถามขึ้น “พี่เล่ย พี่มาทำอะไรเหรอ?”
อีกเสียงหนึ่งหัวเราะขึ้นอย่างซื่อ ๆ “ไม่ใช่ว่าโต๊ะที่บ้านมีปัญหาหรอกหรือ ข้าจะมาซ่อมมันน่ะ”
เหยาซูจึงกล่าวขึ้น “จะรบกวนท่านได้อย่างไร! เพียงแค่ขามุมโต๊ะสั้นกว่าปกติเล็กน้อย ตอนนี้ใช้เศษผ้าสอดเอาไว้ด้านใต้ก็หายแล้ว”
“ควรที่จะซ่อมมันนะ!”
“ไม่เป็นไรจริง ๆ …”
ใบหน้าของหลินเหรานิ่งเฉยไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุดเขาก็เก็บชามและตะเกียบที่ล้างสะอาดเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงหน้าประตู หลินเหราก็ชะลอฝีเท้าลง
ความขยันหมั่นเพียรของเหยาเล่ยในช่วงเวลาหลายวันมานี้ ไม่ว่าจะเป็นการตักน้ำหรือส่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้ แม้แต่เหยาซูเองก็มองออกว่าเขากำลังสื่อถึงอะไร
บางทีนางอาจไม่ได้รังเกียจเหยาเล่ยที่ซื่อสัตย์และขยันหมั่นเพียร เพียงแต่น้ำใจไมตรีของเขา นางไม่สามารถรับเอาไว้ได้
นางจึงปฏิเสธไปหลายครั้ง แต่เหยาเล่ยก็ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ ทำให้นางรู้สึกปวดหัวไม่น้อย “พี่เล่ย พวกเรารบกวนพี่มาตลอด ข้าต้องขอโทษจริง ๆ”
“อาซู เจ้าอย่าพูดเช่นนี้เลย ข้าเต็มใจที่จะทำ”
หลินเหราเดินไปที่ลานบ้านและเห็นชายหนุ่มร่างผอมกำลังคุยกับเหยาซูพร้อมกับเครื่องมือในการทำงานไม้ง่าย ๆ ในมือ
เขาดูเรียบร้อยและซื่อตรง แต่ความชื่นชอบในตัวหญิงสาวในดวงตาคู่นั้นของเขาไม่อาจปิดได้มิด
จิตใจที่สงบของเขาเริ่มเต้นแปลก ๆ เล็กน้อย ไม่สามารถบอกความรู้สึกได้
“อาซู คนคนนี้คือใคร?”
หลินเหราเดินไปหาเหยาซูและยืนตัวตรง
เหยาเล่ยตกตะลึง เขาไม่คิดว่าครอบครัวของเหยาซูจะมีคนอื่นอยู่
คนผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาลึกลับและมั่นคง กิริยาท่าทางของเขาน่าประทับใจมาก ดูแล้วไม่น่าใช่ชาวนาชาวบ้านธรรมดา
เมื่อเหยาซูเห็นหลินเหราถาม นางจึงแนะนำอีกฝ่าย “คนนี้คือเหยาเล่ย หลังจากย้ายบ้านแล้วเขาช่วยเหลือข้ามาตลอด แม้แต่บ้านหลังนี้ข้าก็ซื้อต่อมาจากลุงของเขา”
เหยาเล่ยมีความสูงมากกว่าเหยาซูเล็กน้อย แต่ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาสูงกว่าเขากว่าครึ่งหัว เหยาเล่ยเห็นเขาแล้วก็พยักหน้าให้และก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร เขาก็ได้ยินเหยาซูพูดว่า
“พี่เล่ย ชายคนนี้คือพ่อของเด็ก ๆ”
เขาแทบจะซวนเซเมื่อได้ยินคำพูดของเหยาซู “พ่อของต้าเป่า เอ้อเป่าอย่างนั้นหรือ?”
นั่นคือสามีของเหยาซู? แต่เขาตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?
หลินเหราประสานมือคารวะเขา “ข้าคือหลินเหรา ภรรยาและลูก ๆ ของข้าต้องให้ท่านคอยดูแลก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจนัก”
ทุกการเคลื่อนไหวของบุรุษล้วนแต่แฝงไปด้วยบุคลิกที่แตกต่างจากคนอื่น พวกเขาทั้งสองยืนเคียงข้างกันราวกับถูกสร้างมาคู่กัน
ไม่สิ พวกเขาเป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว
เหยาเล่ยหัวเราะอย่างกระโตกกระตากแล้วรีบโบกมือ “ที่ไหนกัน! อาซูเองก็ช่วยข้าไว้ไม่น้อย!”
เขามองไปที่เหยาซู ใบหน้างดงามของนางมีรอยยิ้มเล็กน้อยดูแล้วอารมณ์ดี
เหยาเล่ยหวนนึกถึงการได้อยู่กับเหยาซู ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาและพบว่าตนเองนั้นชื่นชอบความอ่อนโยนและความเข้มแข็งของนางจริง ๆ ทว่าตอนนี้จิตใจที่ชัดเจนกลับถูกหยุดลง
เหยาซูสังเกตเห็นความกระอักกระอ่วนของชายหนุ่มจึงได้เอ่ยขึ้น
“พี่เล่ย ไม่ใช่ว่าจะมาดูโต๊ะหรอกหรือ?”
“โอ้! ใช่ ๆ! ข้าจะไปดู…”
ทั้งสามเข้าไปในบ้านด้วยกัน เมื่อเด็กทั้งสองสังเกตเห็นเหยาเล่ย พวกเขาก็มาทักทายอย่างสุภาพทันที “สวัสดีลุงเล่ยขอรับ/เจ้าค่ะ”
เหยาซูไม่ได้ฝืนใจหาเรื่องใด ๆ นางปล่อยให้เหยาเล่ยตรวจสอบโต๊ะอย่างเงียบ ๆ และได้ยินเขาพูดว่า “ขาข้างหนึ่งสั้นเกินไป ปัญหาไม่ใหญ่มากเพียงแค่เลื่อยขาโต๊ะอีกสามข้างก็พอ”
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนพี่เล่ยแล้ว”
เหยาเล่ยย้ายโต๊ะไปที่ลานบ้าน เหยาซูกำลังจะตามออกไปแต่หลินเหราห้ามเอาไว้
“เขาตกหลุมรักเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
บางทีคงเพราะไม่อยากให้เด็ก ๆ ได้ยิน ชายหนุ่มจึงจงใจลดเสียงลง เสียงทุ้มต่ำราวกับเครื่องดนตรีแฝงไว้ด้วยอุณหภูมิที่เย็นเฉียบ ทำให้เหยาซูรู้สึกชาที่หลังคอ
แต่คำพูดนี้ไม่น่าฟังจริง ๆ
เหยาซูมองเขาอย่างประหลาดใจ “เหตุใดท่านถึงถามแบบนั้น?”
หลินเหราขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก
เมื่อเหยาซูเห็นดังนั้น ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้วถามกลับไป
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อเห็นหลินเหราเงียบไป เหยาซูก็โมโหขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่อยากให้เด็ก ๆ ได้ยินการทะเลาะวิวาทของพวกเขาจึงลดเสียงลง
“คนอื่นมาชอบข้าแล้วมันทำไม มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่าน!”
เหยาซูคิดว่าหลินเหรากำลังถามตัวเองว่าทำไมจึงไปมาหาสู่กับผู้ชายคนอื่น นางโกรธมาก นางเป็นเพียงภรรยาในนามของเขา ทำไมนางจะต้องถูกถามคำถามดังกล่าวด้วย
เมื่อเห็นว่าเหยาซูหันหน้าไป หลินเหราก็ดึงแขนของนางเอาไว้ ดวงตาลึกล้ำฉายแววหงุดหงิดออกมา “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
เหยาซูยังคงทำหน้าเย็นชาคิดจะสะบัดมือของชายหนุ่มออกแต่ก็ทำไม่สำเร็จ
“แล้วท่านหมายถึงอะไร? ปล่อยข้านะ!”
หลินเหราควบคุมแรงไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือและเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “อาซู…หยุดล้อเล่นได้แล้ว”
“ข้าไม่ได้อยากทะเลาะกับท่าน” เหยาซูกล่าวอย่างจริงจังด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ “หลินเหรา ท่านไม่ต้องสนใจเรื่องนี้จะได้หรือไม่? ตอนนี้ข้าปฏิบัติต่อท่านเหมือนกับพ่อของเด็ก ๆ เท่านั้น”
หลินเหราขมวดคิ้ว คำพูดของเหยาซูดูเหมือนจะทำให้เขาโกรธแต่ดูแล้วก็ไม่เป็นเช่นนั้น
ไม่ใช่ว่าเขาก็ปฏิบัติต่อเหยาซูเหมือนแม่ของเด็กเหล่านี้หรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบนิสัยไร้เหตุผลของนางมาตลอดหรอกหรือ?
เมื่อกลับมาถึงบ้านวันนี้ เขารู้สึกว่าคนที่ควรจะเย็นชาต่อเขาจะมีความอบอุ่นให้แก่เขาได้อย่างไร
มือของหลินเหราคลายออก แต่เหยาซูไม่ได้จากไปในทันที
“อืม…ข้าแค่ไม่ชอบทัศนคติที่ท่านพึ่งพูดออกมา”
เมื่อเห็นชายคนนั้นแสดงท่าทางเหมือนเจ็บปวด เหยาซูก็หงุดหงิด
“และน้ำเสียงที่ท่านพูดออกมาด้วย…”
ในที่สุดนางก็เพิ่มอีกหนึ่งประโยค “ท่านทำราวกับว่าข้าเป็นวัตถุบางอย่างของท่าน”
หลินเหรารีบเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่ดีเอง”
เหยาซูสะอึก นางไม่คิดว่าหลินเหราจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้
“ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเพียงสิ่งของ”
แววตาของเขาจดจ่อและจริงจัง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยจากเมื่อก่อน ส่วนหางตาโค้งลงทำให้ใบหน้าดูเย็นชาและแข็งกระด้าง แม้แต่ความเร็วในการพูดก็เร็วขึ้นมาก
“ข้าแค่ไม่อยากทะเลาะกับเจ้าเท่านั้นเอง หากเจ้าไม่มีความสุขข้าก็จะไม่ถาม”
เมื่อครู่พวกเขาทำอาหารและเก็บกวาดด้วยกัน ความรู้สึกอบอุ่นนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน หลินเหราไม่อยากสูญเสียความอบอุ่นนี้ไป
เหยาซูนั้นมีบุคลิกนุ่มนวลอยู่เสมอและไม่แข็งกระด้าง หากหลินเหราทะเลาะกับนางในวันนี้ เหยาซูคงจะมีวิธีมากมายที่จะทำให้เขาโกรธ แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ เหยาซูก็ไม่มีแรงที่จะต่อกรกับเขา
หมาป่าที่ดุร้ายเก็บกรงเล็บและเขี้ยวแหลมไปแล้ว เหลือเพียงขนปุกปุย เหยาซูจะทำอะไรเขาได้
เมื่อเห็นว่าเหยาซูไม่ได้พูดอะไร เขาก็พูดต่อไปว่า “อาซู ข้าขอโทษ อย่าโกรธไปเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โทสะของเหยาซูก็ดับลงอย่างสมบูรณ์
นางอยากจะแสดงสีหน้าเย็นชาใส่เขา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เมื่อคิดว่าในลานบ้านยังมีเหยาเล่ยอยู่ จึงเอ่ยกับเขาอย่างจนปัญญาว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่โกรธแล้ว…ท่านไปเล่นกับลูก ๆ เถอะ…”
“ได้”
หลินเหราตอบตกลง แต่ดวงตากลับยังมองตามเหยาซูที่เดินไปยังลานบ้าน
เขาเดินไปหาเด็กทั้งสอง พลางมองเหยาซูกับเหยาเล่ยอยู่ไกล ๆ ในระยะที่มองเห็น แล้วนั่งลง
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใจเย็น ๆ กันนะคะทั้งสองคน ค่อยๆ ทำความเข้าใจกันนะ
ไหหม่า(海馬)