ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 512 กาลเวลา
บทที่ 512 กาลเวลา
บทที่ 512 กาลเวลา
องค์จักรพรรดิมองดูเซี่ยเชียนอย่างไม่พอพระทัย บางทีพระองค์ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่สนใจเขา ในทุก ๆ ครั้งที่เกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้ เซี่ยเชียนก็จะปล่อยให้เขาไขความกระจ่างด้วยตนเอง
ณ ตอนนี้ และเวลานี้
เซี่ยเซียนตั้งตัวหมากรุก น้ำเสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อฝ่าบาทเชิญแล้ว กระหม่อมก็เชื่อฟังด้วยความเคารพ”
องค์จักรพรรดิถอนหายใจ แล้วกันไป เรื่องแม่บุญธรรมขององค์รัชทายาท เดิมทีแล้วเป็นวิธีการที่เขาจะยื้อเซี่ยเชียนเอาไว้
กษัตริย์และขุนนางเริ่มถกเถียงกันขึ้นมาอีกครั้ง
‘เรื่องของจักรพรรดิ ขุนนางไม่เกี่ยว’ คำทั้งแปดพยางค์นี้เซี่ยเชียนไม่ได้เอ่ยขึ้นมาเล่น ๆ
แท้ที่จริงแล้วเซี่ยเชียนเองก็ปฏิบัติเช่นกัน
เซี่ยเชียนเป็นท่านอาของหลินเหรา หากเป็นต่อหน้าจักรพรรดิพระองค์อื่น อาจกล่าวได้ว่าย่อมได้รับข้อสงสัยมากมายจากประเด็นนี้
เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ก็จะเกิดความสงสัย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าขัน ในสมัยโบราณมีขุนนางชายแดนกี่คนที่เสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของจักรพรรดิอย่างพวกเขา เหตุผลที่เซี่ยเชียนสามารถอยู่รอดมาได้ยาวนานเช่นนี้ หนึ่งคือหลินเหรารู้จักวางตัว เมื่อไม่มีสงคราม เขาก็เพียงแค่มอบอำนาจทางทหาร รับคำสั่งลับขององค์จักรพรรดิ และพาภรรยาของเขาไปท่องเที่ยวเหนือจรดใต้
สองคือเซี่ยเชียนอ่อนไหวต่อเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้
เขาซื่อสัตย์กับหัวใจของตนเอง
จักรพรรดิโบกพระหัตถ์ ทันใดนั้นก็มีคนยกสุราและอาหารมาให้ “วันนี้ไม่ได้มีงานเลี้ยงของเหล่าขุนนาง เจ้ากินอาหารกับข้าสักหน่อยสิ”
เซี่ยเชียนขมวดคิ้วพลางมองดูอาหารที่ถูกยกมา เขาอดที่จะลังเลไม่ได้
ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของราชวงศ์ก่อน ๆ แต่ก็ขัดกับกฎมารยาทสำหรับจักรพรรดิที่จะรับประทานอาหารที่นี่ เซี่ยเชียนผู้ซึ่งรอบคอบอยู่เสมอไม่ยินยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
“ฝ่าบาท ครั้งนี้…กระหม่อมว่ามันไม่ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”
และในที่สุดเซี่ยเชี่ยนก็กล่าวประโยคนี้ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ
หลังจากที่องค์จักรพรรดิได้ยินคำพูดนี้ไปก็ไม่ได้เก็บอาการมากนัก คำพูดนี้ของเซี่ยเชียนเห็นได้ชัดว่าทำให้เขาถึงกับหัวเราะเยาะ “ในใต้หล้าดูเหมือนว่าจะมีเซี่ยเชียนเท่านั้นที่รู้กฎเกณฑ์เป็นอย่างดี ทว่าสิบกว่าปีที่แล้วผู้ใดเล่าเป็นคนที่ดื่มสุราบนหลังคาเรือนของข้า”
ครั้นเซี่ยเชียนได้ยินประโยคนี้ ก็เกาจมูกอย่างเก้อเขินเพื่อเป็นการระบายอารมณ์ “ฝ่าบาท เรื่องราวพวกนี้มันก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่พูดถึงมันแล้วจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หลังกล่าวประโยคนี้เสร็จ พระเนตรขององค์จักรพรรดิพลันเต็มไปด้วยความทรงจำ แม้จะเป็นถึงโอรสสวรรค์ ตอนที่เขายังเยาว์และยังไม่รู้เรื่องราวอะไรนั้นก็นับว่าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ช่วงเวลานั้นเขาเป็นเพียงองค์ชาย ไม่ใช่จักรพรรดิในปัจจุบัน หลังจากหนีการทดสอบของจักรพรรดิองค์ก่อน พระราชครู ตลอดจนพระเชษฐาของตน พระองค์มักจะแอบออกจากวังไปเล่นพร้อมกับพี่น้องสองสามคนของพระองค์
ไม่เพียงแต่จะต้องระวังไม่ให้ถูกองค์จักรพรรดิจับได้ ยังต้องหลบเหล่าขุนนาง และทหารเพื่อไม่ให้ตนถูกจับเข้าราชสำนักอีกด้วย
แต่ว่าท่ามกลางช่วงเวลาเช่นนั้น เขายังมีเซี่ยเชียนและคนอื่นอยู่ข้าง ๆ
ยามนั้นทุกคนล้วนอายุยังน้อย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีกฎเกณฑ์ภายในใจ แต่ก็ยังคงระมัดระวังจากการถูกทำโทษโดยบิดาของตน
ถ้าหากว่าถูกทำโทษ ก็จะได้รับบทเรียนมากมาย
ช่วงเวลานี้ในปีนั้น พวกเขากำลังขี่ม้าและร่ำสุรา
จริง ๆ แล้วเซี่ยเชียนก็มีเวลาเล่นสนุกตามอำเภอใจเช่นกัน
สิ่งที่เหลวไหลที่สุดคือองค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบันและเซี่ยเชียนในเวลานั้น จักรพรรดิยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มภายใต้การคุ้มครองของพี่ชาย ทั้งสองดื่มสุราบนหลังคาของตำหนัก พูดคุยกันถึงเรื่องราวในอดีตและปัจจุบัน วันนั้นทั้งสองดื่มสุราไปมาก
คนรอบกายต่างก็ร้อนใจไปหมด แต่ก็ไม่มีใครกล้าช่วยคนเมามายสองคนลงมาจากยอดหลังคา
เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่องค์จักรพรรดิในเวลานั้นจะไม่รับรู้ แน่นอนว่าองครักษ์สองสามคนได้พาคนขี้เมาทั้งสองลงจากหลังคา วันต่อมาทั้งสองถูกกักบริเวณ พี่ชายก็ทำหน้าที่เป็นตัวร้าย… ตอนนั้นรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยามนี้เมื่อหวนนึกถึงก็พลันรู้ว่าผ่านมามากกว่าสิบปีแล้ว แม้แต่เซี่ยเชียนผู้ซึ่งมั่นคงอยู่เสมอก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง พลางคิดไปว่าไม่น่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
หลังจากที่บ้านเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เขาก็แปรเปลี่ยนเป็นคนเย็นชา ครั้นอีกฝ่ายล้อเรื่องราวในวันนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พวกเราต่างก็แก่ขึ้นแล้ว”
องค์จักรพรรดิลุกออกจากที่นั่ง และประทับลงบริเวณด้านหน้าของเซี่ยเชียน เขาผลักมือที่กำลังรินสุราของเซี่ยเชียนออก ก่อนรินสุราด้วยตัวเอง
“ข้าจำได้ในสมัยก่อน คนที่พวกเรากลัวที่สุดก็คือเสด็จพ่อของข้า อีกคนก็คือท่านพี่และพระราชครูที่คอยดูแลพวกเรา แต่ข้าก็ไม่ได้คาดหวังว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาข้าจะได้เป็นองค์จักรพรรดิ ส่วนเจ้าก็เป็นราชครูเช่นนี้”
เซี่ยเชียนอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคนี้ ก่อนหน้านี้มีคนเคยบอกว่าเวลาหัวเราะหยอกล้อกันเรื่องราวแย่ ๆ จะหายไป วันเวลาผ่านไปนานเช่นนี้ทั้งสองคนก็แก่ขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว
หลังจากที่เซี่ยเชียนดื่มสุราที่อยู่ตรงหน้าไปแล้ว ก็ได้รินให้ตัวเองอีกหนึ่งจอก “เรื่องราวพวกนี้เมื่อคิดไปก็รู้สึกราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เพียงแค่กะพริบตากระหม่อมก็กลายเป็นปู่ไปแล้ว ที่บ้านมีเซี่ยเซิน มีหลานชาย มีความห่วงใย”
“ท่านเซี่ย ตั้งแต่ท่านรับเซี่ยเซินมาเลี้ยงดู ท่านก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น”
องค์จักรพรรดิมองดูเซี่ยเชียนสักพัก จู่ ๆ เขาก็แสดงความคิดเห็นอย่างเคร่งขรึม
คนหนึ่งสวมฉลองพระองค์ลายมังกร อีกคนสวมเครื่องแบบขุนนางในราชสำนัก ใบหน้ามีร่องรอยแห่งกาลเวลาปรากฏอยู่ แต่ทั้งสองกลับอยู่ในท่าทางผ่อนคลาย แย่งชิงสุรากัน โดยไม่สนใจเรื่องมารยาท
“เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน พวกเราแก่แล้วนะ” พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย “หลายปีมานี้ เจ้ายังคอยอยู่เคียงข้างข้า นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจขอโลกใบนี้ได้จริง ๆ”
พวกเขาเองก็เคยเป็นเหมือนเช่นหลินซือและหลินจื้อที่มีพี่น้องมากมายคอยติดตาม เพียงแค่ว่าในท้ายที่สุด ไม่ว่ามิตรภาพจะลึกซึ้งถึงเพียงใด เมื่อตำแหน่งของพวกเขาแตกต่างกันมาก พวกเขาก็ไม่อาจรักษามันไว้ได้อีกต่อไป
ยิ่งพระองค์นั่งบนบัลลังก์จักรพรรดินานเท่าไร พระองค์ก็ยิ่งรู้สึกถึงความเหงามากขึ้นเท่านั้น พี่น้องที่เคยอยู่ร่วมกันต่างพากันชักดาบหันมาประจันหน้ากัน สุดท้ายก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่
ไม่รู้ว่าเมื่อไร ในตอนที่พระองค์แก้รายงานที่ขุนนางทูลถวายขึ้นมาพลางทอดพระเนตรยังดวงจันทร์นอกหน้าต่าง มันทำให้เขารู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อย ความว่างเปล่าของดวงจันทร์เปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจเสมอว่าท้ายที่สุดผู้มีอำนาจมากที่สุดในใต้หล้าก็เป็นเพียงผู้เดียวดายคนหนึ่ง
คนเหล่านั้นที่สามารถนั่งอยู่ที่นี่และดื่มสุรากับองค์จักรพรรดิได้ ท้ายที่สุดก็คือเซี่ยเชียนเพียงผู้เดียว
“อยู่ที่นี่และแบ่งปันความกังวลขององค์จักรพรรดิเป็นหน้าที่ของขุนนางพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเชียนยืดตัวตรงขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่ได้ยินเขาพูดคำนี้ ชายหนุ่มจึงก้มหน้าลงให้อีกฝ่ายเล็กน้อย
องค์จักรพรรดิตีเซี่ยเชียนด้วยความโกรธและเอ่ยเคล้ารอยยิ้ม “เจ้านี่ ข้าให้เกียรติเจ้า เจ้ากลับไม่เอา!”
“ฝ่าบาท…” ถึงแม้ว่าเซี่ยเชียนจะโดนตีมาหนึ่งรอบ แต่ชายหนุ่มกลับตอบอย่างตรงไปตรงมา
“มารยาทระหว่างกษัตริย์และขุนนางไม่อาจละทิ้งได้พ่ะย่ะค่ะ” โดยพื้นฐานแล้วเขาเข้าใจสิ่งที่เซี่ยเชียนกำลังจะพูด เมื่อเซี่ยเชียนเอ่ยปากขึ้น เขาจึงขัดจังหวะทันที “วันนี้เจ้ากับข้าไม่พูดเรื่องบ้านเมือง จะมากล่าวถึงกษัตริย์ขุนนางอะไรอีก?”
เซี่ยเชียนพลันชะงักกับคำพูดขององค์จักรพรรดิ เป็นเวลาหลายปีที่เขาคุ้นเคยกับฐานะขุนนาง หลังจากเป็นกษัตริย์และขุนนางมานานหลายปี เขาแทบจะไม่ได้พูดคุยถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาได้ยินคำพูดขององค์จักรพรรดิ ถึงแม้ว่าชายหนุ่มไม่มีอะไรจะกล่าว แต่ก็สามารถรับรู้ได้…
และค่ำคืนนี้ ทั้งสองคนก็ทิ้งมารยาทระหว่างกษัตริย์และขุนนางลงไปไม่น้อย…
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เรือหลวงแล่นแรงแซงทุกน่านน้ำมากค่ะ เต็มไปด้วยความหลังที่ประทับใจ ท้ายที่สุดแล้วคนที่เชื่อใจได้ก็มีแค่เซี่ยเชียนเท่านั้นแหละ
ไหหม่า(海馬)