ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 52 ไม่ลืมหรอกหรือ
บทที่ 52 ไม่ลืมหรอกหรือ?
อาซือกำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นกลเก้าห่วงปริศนา ส่วนซานเป่ายังคงง่วงนอนสะลึมสะลือ มีเพียงอาจื้อที่นั่งอยู่ด้านข้างใน กำลังท่องหนังสือที่ลุงให้เขาท่องจำอย่างเงียบ ๆ
หลังจากมองบิดาอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าพ่อของตนไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อยจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “ท่านพ่อ ท่านกำลังทำอะไรอยู่ขอรับ?”
“เล่นกับพวกเจ้าน่ะสิ”
หลินเหรานั่งนิ่ง ๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แม้แต่สายตาก็จับจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง ไม่ได้สนใจลูก ๆ เลยสักนิด
อาจื้อตะลึงงัน “เล่นกับพวกเรางั้นหรือ?”
พวกเรากำลังเล่นกันอยู่ ท่านเล่นกับเรางั้นหรือ?
หลินเหราคว้าตัวอาจื้อไว้ในอ้อมกอด แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังทิศทางเมื่อครู่
เด็กชายไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับบิดามากนัก อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากให้มารดาเห็นว่าเขาสนิทชิดเชื้อกับพ่อมากเพียงใด เขากลัวว่าแม่ของเขาจะไม่มีความสุข
เขาขืนตัวเองออกจากอ้อมแขนของบิดา ทว่ากลับถูกกดให้นั่งลงอย่างไร้ความปรานี จึงกระซิบว่า “ท่านพ่อ อย่าอุ้มข้าเลยขอรับ”
ในที่สุดความสนใจของหลินเหราก็กลับมาที่ลูกชายของเขา “หืม? ทำไมล่ะ?”
อาจื้อพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “อย่ากอดข้าเลย!”
หลินเหราไม่คิดว่าลูกชายจะพูดเช่นนี้ เขาจึงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ได้ แม่ของพวกเจ้าบอกให้ข้ามาเล่นกับเจ้า”
อาจื้อรู้ความมาก จึงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของท่านพ่อท่านแม่ตั้งแต่เช้า เมื่อสักครู่พวกเขาทั้งสองมีเจตนาทะเลาะวิวาทกัน แต่สุดท้ายกลับไม่ทะเลาะ เหตุการณ์จึงผ่อนคลายลง
เมื่อได้ยินหลินเหราพูดแบบนี้ในใจของเขาก็ดีใจมาก การที่ท่านพ่อปฏิบัติตามคำพูดของท่านแม่แสดงว่าท่านแม่ไม่ได้ทะเลาะกับเขาในตอนนี้
ทว่าบิดาของเขาไม่ได้มองเขาสักนิด ทั้งยังบอกว่ากำลังเล่นเป็นเพื่อนตัวเองทำให้อาจื้อรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย “แต่ท่านพ่อมัวแต่เหม่อลอยอยู่”
“ชู่ อย่าเสียงดัง”
หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะโอบตัวเด็กชายเอาไว้ “เจ้าได้ยินไหมว่าแม่ของเจ้าพูดอะไร”
อาจื้อเห็นบิดาเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในลานบ้านจึงเข้าใจ
เขามุดออกจากใต้แขนของหลินเหราและวิ่งไปยืนข้างประตู จากนั้นพูดกับพ่อของเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ท่านเห็นนั่นไหมขอรับ?”
หลินเหราเห็นประตูด้านหลังของอาจื้อ หากมองจากทิศทางนั้นจะสามารถมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลานบ้านได้ทั้งหมด
เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง “เข้าใจแล้ว”
เอ้อเป่าไม่ได้ฟังการสนทนาของพ่อและพี่ชายของตัวเอง นางกำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นเก้าห่วงปริศนา ทำให้หูไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวของทั้งสอง
อาจื้อยังคงท่องบทความต่อไป ทว่าครั้งนี้กลับท่องออกเสียง “เมื่อครั้งยังเด็กก็เริ่มสงสัย พอยาวขึ้นก็เริ่มเข้าใจ พอถึงวัยผู้ใหญ่ถึงได้ฉลาดปราดเปรื่อง…”
หลินเหรากลับตัดบทเขาว่า “คำว่าเติบโตขึ้นมาก็เริ่มเข้าใจ ไม่ใช่คำอ่านที่แปลว่ายาว แต่แปลว่าเติบโต”
อาจื้อจำตัวอักษรได้แต่อ่านผิด เขาประหลาดใจเล็กน้อยและถามว่า “ท่านพ่อ ท่านเองก็ท่องได้หรือ”
หลินเหรามองไปที่เด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขาตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “แน่นอน”
เมื่อครู่ที่อาจื้อท่องอยู่คือส่วนที่เล่าถึงชีวิตของจักรพรรดิเหลืองในบันทึกประวัติศาสตร์ เป็นบทเรียนที่เด็กวัยนี้จะต้องเรียนรู้
อาจื้อเพิ่งเรียนหนังสือและอ่านออกเขียนได้ที่บ้านท่านยายเมื่อปีที่แล้ว ลุงของเขาสอนลูกพี่ลูกน้องของพวกเขา ตัวเขาและน้องสาวเพียงแค่ฟังอยู่ด้านข้าง
เขาคาดไม่ถึงว่าพ่อของเขาจะอ่านหนังสือออกด้วย
สิ่งนั้นบ่งบอกว่าพ่อของเขานั้นก็มีการศึกษาที่ดีไม่แพ้ท่านลุง
“ท่านพ่อ! ท่านท่องได้แค่ไหนขอรับ?”
เขาถามอย่างกระตือรือร้นเพียงรอให้พ่อของเขาบอกว่า เขาสามารถท่องบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งหมดได้
“ห้าจักรพรรดิ”
อาจื้อตกตะลึง ‘บันทึกประวัติศาสตร์ห้าจักรพรรดิ’ เป็นบทแรกของบันทึกประวัติศาสตร์และยังเป็นบทที่มีคำน้อยที่สุด
เขาจึงไม่เต็มใจและถามต่อว่า “มีเพียงแค่ห้าจักรพรรดิเท่านั้นหรือขอรับ แล้วอย่างอื่นล่ะ?”
หลินเหรากลับบอกให้เขาปิดปาก “หยุดพูดได้แล้ว ข้าไม่ได้ยินเสียงแม่ของเจ้า”
แท้จริงแล้วหลินเหรา ไม่รู้ว่าตัวเองท่องได้มากแค่ไหน เขาไม่เคยอ่านหนังสือ เมื่อก่อนเขาแค่ฟังหลินหงอ่านบทเรียนที่บ้าน พอได้ฟังครั้งเดียวก็ท่องจำได้ หลังจากที่เข้ากองทัพ สหายของเขาก็อ่านออกเขียนได้ ทำให้เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถอ่านหนังสือได้ด้วยตนเองแล้ว
ต่อมาเขามีโอกาสที่จะอ่านหนังสือหลายเล่มในห้องหนังสือของนายพลแล้วค่อย ๆ ทำความเข้าใจความหมายของมัน
อาจื้อเกาหูเกาแก้มด้วยความอยากรู้ว่าบิดาของตนเก็บซ่อนเร้นเรื่องอันใดไว้บ้าง แต่จิตใจของหลินเหรากลับจดจ่ออยู่กับคนสองคนที่คุยกันอยู่ในลานบ้าน
คนผู้นั้นเตี้ยมาก สูงกว่าอาซูเพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้นางเองไม่ได้ชื่นชอบคนที่มีลักษณะเป็นบัณฑิตมาตลอดหรอกหรือ? ท่าทางของเหยาเล่ย เกรงว่าแม้แต่ตัวอักษรที่รู้ยังน้อยกว่าอาจื้อเสียด้วยซ้ำ
เหตุใดสองคนนั้นถึงยังคุยกันอยู่? มีเรื่องอะไรถึงพูดกันมากมายนัก!
“อาจื้อ เจ้าไปบอกท่านแม่ของเจ้าว่าซานเป่าตื่นและเริ่มร้องไห้”
อาจื้อตกตะลึงมองไปที่น้องชายที่กำลังนอนหลับอยู่ปราดหนึ่ง
“เอ๋?”
หลินเหราชำเลืองมองเขา “รีบไปสิ!”
อาจื้อเข้าใจแล้วแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี หากแต่ท่านพ่อและท่านแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเขาคงไม่ต้องแยกจากกัน?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นอาจื้อจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วหันหลังเดินออกไปนอกห้อง เขาหันไปรอบ ๆ มองไปที่น้องสาวของเขาพร้อมพึมพำเบาๆ ว่า “โง่หน่อยก็ดีแล้ว”
……
เหยาซูเมื่อได้ยินว่าบุตรชายคนเล็กของนางร้องไห้ นางจึงรีบกลับเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่เด็กซานเป่าเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย หลายครั้งที่ซานเป่าเล่นกับตนเองจนง่วงนอนและไม่ค่อยร้องไห้ แต่เหตุใดวันนี้กลับร้องไห้เล่า
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย แม้ว่าอาจื้อจะมาบอกแต่นางก็ยังถาม “ซานเป่าเป็นอะไร”
อาจื้อส่งเสียง “อืม” ออกมาสองครั้งแต่ก็พูดไม่ออก จนกระทั่งเหยาซูเข้าไปในห้อง เห็นทารกนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง อาซือกำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นเก้าห่วงปริศนา และชายคนหนึ่งที่นั่งแข็งทื่ออยู่กับที่
นางเดาถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าปากจะถามเด็กแต่ดวงตากลับมองไปยังหลินเหราที่กำลังทำท่าทางราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเอง “ต้าเป่า บอกแม่มาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หื้ม?”
อาจื้อพยายามออดอ้อนแม่ของตน เขากอดเอวเหยาซูและพูดว่า “ท่านแม่ ดูน้องชายสิเขานอนหลับน้ำลายยังไหลยืด..”
เหยาซูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางหันไปพูดกับอาจื้อว่า “วันหน้าเจ้าอย่าได้ช่วยท่านพ่อหลอกแม่อีก!”
เด็กชายพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวพร้อมสัญญา “ข้ากับท่านแม่เป็นพวกเดียวกัน…”
ในเมื่อทุกคนเข้ามาในห้อง เหยาซูก็นั่งลงข้าง ๆ ลูกสาวของตนที่ยังคงใช้มือเล็ก ๆ เล่นเก้าห่วงปริศนาอยู่
“ท่านแม่” เด็กน้อยเอ่ยเรียกเหยาซูอย่างนุ่มนวลและเอนกายพิงมารดาของนาง
เหยาซูยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดกับอาซือว่า “มาเล่นกันเถอะ ไหนลองเล่นให้แม่ดูซิ”
อาจื้อเองก็ปีนขึ้นมาบนเตียงเช่นกัน เช่นเดียวกับยามบ่ายธรรมดาของแต่ละวัน อาจื้อและอาซือจะเล่นหรือทำงานของตัวเองไป ท่านแม่จะอยู่กับพวกเขา ส่วนข้าง ๆ นั้นก็จะมีน้องชายนอนหลับอย่างสงบ…
เด็ก ๆ อาจเคยชินกับเวลาอันแสนอบอุ่นเช่นนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเหราได้เห็นมัน
ในความทรงจำของเขาไม่ว่าจะเป็นตอนเด็กหรือตอนที่อาจื้อได้ถือกำเนิดขึ้นมา ที่บ้านไม่เคยมีภาพแบบนี้มาก่อน มีแต่เสียงดัง คําด่า ดูถูก ทุบตี หรือไม่ก็เย็นชา สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่มาหลายปี
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างพยายามมีส่วนร่วมในบรรยากาศอันอบอุ่นระหว่างแม่ลูก จึงเอ่ยปากพูดกับเหยาซูว่า “เมื่อครู่ต้าเป้าท่อง ‘บันทึกประวัติศาสตร์’ ให้ข้าฟัง”
เขาท่อง ‘ต้าเป่า’ ‘เอ้อเป่า’ ‘ซานเป่า’ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความสนใจของเหยาซูถูกดึงไปทันที นางนั่งก้มหน้าถามอาจื้อว่า
“หืม? ตอนนี้ต้าเป่ากำลังท่อง ‘บันทึกประวัติศาสตร์’ อยู่อย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าลุงของเจ้าต้องการให้เจ้าท่องใช่หรือไม่”
เด็กชายตัวเล็ก ๆ มักจะจริงจังกับการอ่าน เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ลุงใหญ่กล่าวว่าหากข้าสามารถอ่านได้ภายในสามเดือนและท่อง ‘บันทึกประวัติศาสตร์’ ข้าสามารถไปสอบจอหงวนได้! ท่านแม่ ข้าจะไปสอบจอหงวนได้จริงหรือขอรับ?”
เหยาซูหัวเราะคิกคัก
นางจิ้มหน้าผากของอาจื้อแล้วยิ้ม “ลุงใหญ่ของเจ้ากำลังยุยงเจ้าอยู่ แค่อ่านจบก็ใช้เวลาถึงสามเดือนแล้ว หากเจ้าท่องจบเจ้าจะไม่ลืมมันใช่หรือไม่?”
หลินเหรามองหน้าภรรยาที่ยิ้มแย้มและลูกชายที่เชื่อฟัง เขาจึงไม่เอ่ยปากรบกวนการสนทนาของพวกเขา
แท้จริงแล้วเขามีความสามารถในการมอง เพียงแค่เคยเห็นครั้งเดียวแล้วก็จะไม่เคยลืม
เหยาซูยังพูดขึ้นอีกว่า “อีกอย่างจอหงวนจะสอบเข้าได้ง่าย ๆ เสียที่ไหน? หากทุกคนสามารถท่อง ‘บันทึกประวัติศาสตร์’ ได้ มิใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นจอหงวนได้อย่างนั้นหรือ?”
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ท่านพ่อกำลังหาทางสานสัมพันธ์กับท่านแม่อยู่สินะ ขอให้สำเร็จนะคะ
ไหหม่า(海馬)