ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 520 พลิกผัน
บทที่ 520 พลิกผัน
บทที่ 520 พลิกผัน
หลินซือได้ยินหลินจื้อเอ่ยเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปสบตาไป๋หรูปิงที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยคำพูดก่อนหน้านี้ของหลินจื้อจึงทำให้ใบหน้าไป๋หรูปิงขึ้นสีแดงก่ำ
ไฉนเด็กสาวจะไม่รู้ใจของหลินจื้อ แต่นางเองก็รอคอยเขาเอ่ยความในใจมาตลอด
แต่นางไม่คิดว่าหลินจื้อจะไม่พูดออกมาจริง ๆ เด็กสาวจึงรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย สิ่งที่นางคิดก็คือถ้าหลินจื้อไม่เอ่ยออกมา นางเองก็ไม่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน
กลับไม่คิดว่าวันหนึ่งเรื่องราวจะกลายมาเป็นเช่นนี้
เพราะการบีบบังคับของเหยาซู หลินจื้อจึงเอ่ยความในใจออกมา
หลายปีที่เด็กสาวไปมาหาสู่กับหลินจื้อ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยบอก แต่นางก็รู้อยู่แก่ใจ
ตอนนี้นางเองก็ผ่านพิธีปักปิ่นแล้ว เวลานี้นับว่าการแต่งงานของตนเองก็เหลือเวลาอีกพักหนึ่ง แต่คนที่พูดถึงเรื่องแต่งงานนับวันก็ยิ่งมากขึ้น
ไป๋หรูปิงรอหลินจื้อประตูมาหาตลอด แต่เขากลับไม่เคยมา
นางคิดว่าหลินจื้อไม่รู้ใจตนเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
ไป๋หรูปิงไม่ใช่คนโง่เขลา แน่นอนว่าเด็กสาวรู้ว่าเหยาซูต้องการจะทำสิ่งใดในวันนี้ จึงเตรียมที่จะเข้าไปในห้องโถงทันที
แต่กลับถูกมือหนึ่งรั้งเอาไว้
ไป๋หรูปิงมองไปที่หลินซือด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าการกระทำของนางไม่ต้องการให้ไป๋หรูปิงออกไป
“ดูต่อไปก่อน!” หลินซือยกมือห้ามไป๋หรูปิง
แม้ไป๋หรูปิงจะไม่รู้ว่าหลินซือต้องการจะดูสิ่งใด แต่ด้วยความไว้วางใจที่มีต่อหลินซือจึงทำให้เด็กสาวเชื่อฟังนาง
“เจ้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่บอก?” เหยาซูไม่ได้เห็นตอนที่ลูกชายของตนบอกว่ามีคนที่ชอบว่าเขาสุขใจมากเพียงใด
หลินจื้อมองมารดาตนอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสหรือขอรับ?”
และยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มไม่เชื่อว่าแม่ของตนจะไม่รู้ว่าคนที่ตนชอบนั้นคือใคร
“เช่นนั้นข้าเองก็คงไม่มีโอกาสได้บอกกับตระกูลไป๋เรื่องการแต่งงาน”
เห็นได้ชัดว่าเหยาซูไม่มีทางเชื่อข้อแก้ตัวเช่นนี้ และความใจเย็นของหลินจื้อทำให้เหยาซูคิดว่าลูกชายของตนนั้นยังไม่โต
เนื่องจากหลายปีมานี้นางเดินทางตลอด ไม่ได้ทุ่มเทอบรมสั่งสอนลูกชายและลูกสาวมากนัก แต่โชคดีที่หลินจื้อโตมาอย่างสุขุมใจเย็น ส่วนหลินซือเองก็ปฏิบัติตัวได้ดี
ดังนั้นเหยาซูจึงไม่ได้รู้สึกว่าลูกทั้งสองของนางนั้นมีปัญหาอะไร แต่เมื่อนางบังเอิญได้ยินหลินซือบอกว่าลูกชายของตนนั้นมีคนในใจแล้วจึงกระจ่างขึ้นมา
“สายไปแล้ว” เหยาซูมองดูหลินจื้อที่แทบจะไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า “สองวันก่อนหน้าได้มีคนไปพูดคุยเรื่องการแต่งงานกับตระกูลไป๋แล้ว ได้ยินมาว่าฮูหยินของตระกูลไป๋เองก็พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งสองบ้านคงจะเริ่มพูดคุยเรื่องการแต่งงานแล้ว”
“อะไรนะ?” หลังจากที่หลินจื้อได้ยินเรื่องนี้ก็ตกใจจนต้องลุกขึ้นมา “เมื่อวานนี้ข้ายังพบกับคุณหนูไป๋อยู่เลยนะขอรับ!”
เหยาซูหัวเราะออกมา “เรื่องงานแต่งงานเป็นเรื่องของพ่อสื่อแม่สื่อ เมื่อไรกันที่คุณหนูไป๋ตัดสินใจเองได้?”
หลินจื้อมองดูสีหน้าของเหยาซู ในใจเด็กหนุ่มแทบทนไม่ได้และหมายจะพุ่งตัวออกไป แต่คนรอบข้างเหยาซูได้รับการกำชับไว้อย่างดีว่าให้ขวางหลินจื้อเอาไว้ อย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาด
“ท่านแม่! ข้าต้องการพบนางขอรับ!”
น้ำเสียงของหลินจื้อเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจและสับสน เด็กชายกลัวเรื่องนี้มาก ๆ
เหยาซูมองดูหลินจื้อที่อยู่ข้างหน้า “เจ้าจะไปทำอะไร? จะไปบอกความในใจกับคุณหนูไป๋ และก่อกวนการแต่งงานของเขาหรือ?”
ในโลกปัจจุบันมีข้อกำหนดมากมายเกี่ยวกับคุณธรรมของสตรี ถึงแม้ว่าจะเปิดกว้าง แต่ถ้าหลินจื้อไปที่ครอบครัวตระกูลไป๋จริง ๆ ทั้งหลินจื้อและไป๋หรูปิงก็มิจำเป็นต้องดำรงเกียรติและชื่อเสียงใดแล้ว
“เจ้าคิดว่าตระกูลใดจะเป็นฝ่ายที่สูญเสียมากกว่ากัน!”
สามารถกล่าวได้ว่าเหยาซูไม่ได้แสดงหน้าตาบึ้งตึง นางใจดีกับเด็ก ๆ มาตลอด อีกทั้งไม่เคยโมโหผู้ใด
แต่หลินจื้อเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหยาซูจึงต้องโมโหเช่นนี้
ทว่าเขาเข้าใจดีว่าเรื่องนี้เหยาซูกล่าวได้ถูกต้อง เมื่อถึงเวลาที่ตระกูลไป๋เริ่มพูดคุยเรื่องการแต่งงานแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองจะทำอะไรได้
เวลานี้หลินจื้อรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ใจของตนเอง แต่ตนก็ไม่เคยถามความรู้สึกของอีกฝ่ายมาก่อน และก็ไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกของตนเองเหมือนเช่นคนอื่น ๆ
“เป็นเช่นนี้ก็ดี คนที่รู้ความรู้สึกของเจ้าต่อคุณหนูตระกูลไป๋ก็มีเพียงไม่กี่คน เรื่องการแต่งงานของคุณหนูไป๋จะต้องไม่ได้รับผลกระทบเพราะเจ้า!”
เมื่อเป็นเรื่องนี้แล้วเหยาซูก็ไม่ได้พูดจาดีเหมือนเมื่อก่อน ทันทีที่นางเอ่ยปาก คำพูดของนางก็กระแทกหัวใจของหลินจื้อโดยตรง
หลินซือมองดูความยุ่งเหยิงด้านหน้าของตน และเด็กสาวเองก็สับสนเช่นกัน
หลินจื้อรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย เด็กหนุ่มไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป “ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านแม่พูดแล้ว หากไม่มีอะไร ข้าขอตัวก่อนขอรับ”
ว่าพลางเด็กหนุ่มก็เตรียมตัวที่จะออกไป
เหยาซูมองดูลูกชายที่กำลังเตรียมตัวจะออกไป ก็คลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ จึงเอ่ยถามไปยังอีกฝั่ง “เจ้าเด็กโง่ของข้าผู้นี้ ฮูหยินตระกูลไป๋พอใจหรือไม่?”
นี่ก็เป็นสิ่งที่ไป๋หรูปิงคาดไม่ถึง แม่ของนางเองก็ตามตนมาที่จวนตระกูลหลินเช่นกัน ไป๋หรูปิงและหลินซือสบตากันในห้องข้าง ๆ เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
ถ้าหลินซือสามารถคาดเดาความตั้งใจของเหยาซูได้ตั้งแต่ต้น นางก็คงจะปิดบังไว้เช่นกัน
ไป๋หรูปิงไม่รู้เรื่องอะไรเช่นกัน เด็กสาวมองไปที่หลินซือและเรื่องเหลือเชื่อพวกนี้ “ตอนที่ข้าจะออกมา ทางฝั่งของแม่ข้าก็ยุ่งมากเช่นกัน ข้าเองก็ไม่รู้เรื่อง…”
หลินจื้อตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะพลิกผันได้เช่นนี้
เหยาซูหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้
ครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ เดิมทีแล้วเหยาซูต้องการจะพาหลินซือไปที่จวนตระกูลไป๋ เพื่อพูดคุยกันเรื่องการแต่งงาน แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องที่กักบริเวณองค์รัชทายาท และประกาศหาสหายร่วมเรียนของพระองค์
ด้วยเหตุนี้ฮูหยินตระกูลไป๋จึงยุ่งเป็นอย่างมาก และคาดไม่ถึงว่านางจะตามมาในภายหลัง
เห็นได้ชัดว่าในตอนที่ฮูหยินไป๋มานั้นก็ไม่ได้เตรียมตัวแต่อย่างใด แม้สีหน้าของไป๋ฮูหยินจะไม่ได้มีความกังวลอะไร แต่ก็ดูเหมือนว่านางเองก็มีเรื่องที่อยากจะถาม
หลังจากที่เหยาซูและฮูหยินไป๋คำนับทักทายกัน นางก็ได้เอ่ยเรื่องการแต่งงานมาโดยตรง “ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่อาจตัดใจต่อลูกสาวของข้าได้ แต่เมื่อวันเวลามาถึง ก็ควรที่จะพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว”
ครั้นเหยาซูได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงไม่น้อย นางเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าฮูหยินไป๋จะพูดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เข้าประตูมา โดยปกติการพูดคุยการแต่งงานจะมีพ่อสื่อแม่สื่อคอยเป็นคนกลางอยู่เสมอ
แม้ฝ่ายชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้นมาก็ต้องรอฝั่งหญิงสาวบ่ายเบี่ยงเล็กน้อย เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญของลูกสาว มีอย่างที่ไหนที่ฝ่ายหญิงเอ่ยขึ้นมาก่อน
เหตุการณ์นี้จึงทำให้เหยาซูนั้นคาดไม่ถึง นางระงับความสงสัยแล้วพยักหน้า “ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริงพี่ไป๋ ถ้าหากว่าวันนี้ไม่เกิดเรื่องขึ้น วันนี้ข้าก็กำลังจะไปคุยเรื่องการแต่งงานพอดี”
หลังจากที่ฮูหยินไป๋ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเหยาซู นางจึงสงบลงเมื่อรู้ว่าเหยาซูเองก็พึงพอใจกับเรื่องการแต่งงาน
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่เป็นรอยยิ้มที่ฝืนใจนัก
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ปากหนักจนเกือบชวดไม่ได้แต่งกับคนที่ชอบแล้วไงล่ะอาจื้อ
ไหหม่า(海馬)