ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 53 ทำไมพ่อข้ายังไม่กลับมา
บทที่ 53 ทำไมพ่อข้ายังไม่กลับมา
อาซือที่อยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้นมา “ลุงรองสามารถสอบจอหงวนได้!”
อาจื้อตอบโต้ทันที “เจ้าอย่าไปฟังพี่รองโม้เลย เขาแค่ไม่อยากเรียนหนังสือจึงได้บอกว่า แค่ลุงรองสอนเขา เขาก็สามารถสอบจอหงวนได้”
เมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่เห็นด้วยอาซือก็เริ่มร้อนใจ “ลุงรองทั้งฉลาดทั้งสง่างาม แน่นอนว่าสามารถสอบจอหงวนได้อย่างแน่นอน!”
อาจื้อพูดไม่ออกเมื่อเห็นน้องสาวพูดอย่างมั่นใจว่า “ลุงรองไม่เพียงจะสอบจอหงวนได้แต่ยังสอบได้เป็นจวี่เหรินและซิ่วไฉด้วย”
“เจ้าหยุดพูดเถอะ แม้แต่การสอบเป็นจวี่เหริน[1] และซิ่วไฉ[2] กับจอหงวน[3] เจ้าก็ยังแยกไม่ออก”
อาซือไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ‘การสอบจอหงวน’ คืออะไร แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางการยกยอลุงรองของตน
ใครบอกให้เขากลับมาจากเมืองและกอดนางทุกวัน อีกทั้งยังชมว่านางเป็นเทพธิดาที่ทั้งสวยทั้งฉลาดอีกล่ะ?
นอกจากนี้ลุงรองยังฉลาดและดูดี! ตอนที่ลุงรองยิ้มให้กับนาง อาซือรู้สึกราวกับว่านางถูกห่อหุ้มด้วยลูกกวาดกุ้ยฮวาหวาน ๆ
ตราบใดที่เป็นลุงรองพูด นางก็ยินดีที่จะเชื่อฟัง! บางทีอาจเป็นเพราะอาซืออายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีและตอนนี้สามารถต้านทานคำถามของพี่ชายได้ นางถึงวัยที่เป็นเด็กซุกซนแล้ว
ตราบใดที่พี่น้องคุยกัน พวกเขามักจะเถียงกันได้ตลอด
“ลุงรองเป็นคนที่สง่างามที่สุดในโลก!”
อาจื้อตอบโต้นางอย่างรวดเร็ว “แล้วท่านแม่ไม่สง่างามหรือ”
“ลุงรองเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก”
อาจื้อจึงถามอีกว่า “แล้วท่านแม่ไม่ฉลาดหรือ?”
อาซือจึงพูดขึ้นว่า “ลุงรอง เป็นลุงที่สง่างามและฉลาดที่สุดในโลก!”
อาจื้อพึมพำ “เจ้าทำอย่างกับมีท่านลุงมากมาย ทั้งที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นแต่กลับใช้คำว่าที่สุดในโลกแล้ว..”
เหยาซูยิ้มและมองไปที่พี่น้องที่กำลังทะเลาะกันและถามอาซือว่า “เจ้าชื่นชอบลุงรองอย่างนั้นหรือ?”
เด็กน้อยพยักหน้าและมองไปที่หลินเหราที่อยู่ข้าง ๆ นางและกล่าวว่า “ข้าก็ชอบท่านพ่อด้วย”
ในใจของนางความสง่างามของลุงรองกับของท่านพ่อไม่เหมือนกัน แต่หากหน้าตาดีนางล้วนชอบหมด
เหยาซูไม่รู้เลยว่าแม้อาซือจะอายุยังน้อยแต่กลับชื่นชอบคนหน้าตาดี นางจึงถามคำถามที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะถามได้ออกมาว่า “แล้วเอ้อเป่าชอบลุงรองหรือชอบพ่อมากกว่ากัน?”
อาจื้อรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ยังมีท่านลุงใหญ่ด้วย!”
เหยาซูถูกเด็กทั้งสองคนหยอกล้อจนอ้าปาก “ใช่แล้ว ยังมีท่านลุงใหญ่ของเจ้าด้วย”
อาซือตกตะลึง
ในมือของนางถือของเล่นเก้าห่วงปริศนา ในหัวก็คิดอย่างรวดเร็ว ท่านลุงใหญ่ก็ดีต่อนางเป็นพิเศษ ทว่าลุงรองกับท่านพ่อดูดีกว่า…
เมื่อนึกถึงตอนที่ลุงรองยิ้มและเรียกนางว่า “นางฟ้าตัวน้อย” นางรู้สึกราวกับได้กินลูกกวาด เอ้อเป่าอ้าปากพูดคำว่า ‘ลุงรอง’ แต่กลับถูกชายที่ไม่ได้เอ่ยอะไรกอดไว้ในอ้อมแขน
หัวคิ้วของหลินเหราขมวดเข้าหากัน เขากอดลูกสาวตัวน้อยแล้วพูดว่า “พ่อจะถามเอ้อเป่าอีกครั้งว่าเจ้าชอบใครมากที่สุด?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มแฝงไปด้วยรอยยิ้ม อาซือหันหน้าไปมองก็พบกับดวงตาลึกล้ำและใจกว้างของพ่อ
บางทีคำว่า “พ่อ” อาจดึงดูดเด็กได้อย่างเป็นธรรมชาติ หรืออาจเป็นเพราะแววตาของหลินเหรา ที่อ่อนโยนเกินไป มุมปากของพ่อที่โค้งมนนั้นหาได้ยาก อาซือจึงโอบคอของหลินเหราและพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ข้าชอบท่านพ่อมากที่สุด”
อาจื้อตอบโต้ทันที “ขี้ประจบ ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เจ้าเองก็กอดลุงรองและบอกว่าชอบลุงรองมากที่สุด!”
อาซือจึงพูดตรง ๆ ว่า “หลายวันก่อนชอบลุงรองที่สุด ตอนนี้ชอบท่านพ่อที่สุดไม่ได้หรือ?”
“แล้วท่านแม่ล่ะ?”
“แน่นอนว่าเอ้อเป่าชอบท่านแม่มากที่สุด! สิ่งที่เอ้อเป่าชอบที่สุดในโลกก็คือท่านแม่! สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือพี่ชาย!”
เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกครั้ง เหยาซูจึงดึงอาจื้อออกมาหยิกแก้ม “ต้าเป่า น้องสาวน่ารักขนาดนี้ ยอมให้นางหน่อยจะเป็นอะไรไป”
อาจื้อพลันนึกถึงความน่ากลัวที่ถูกมารดาบีบแก้ม จึงรีบปิดปากและแสดงท่าทีว่าข้านั้นเป็นเด็กดีที่เชื่อฟังมาก
เด็กหญิงตัวน้อยดูเหมือนจะได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ จึงหัวเราะคิกคักไม่หยุด
เมื่อเหยาเล่ยยกโต๊ะที่ซ่อมแซมเสร็จแล้วเข้ามาในบ้าน สิ่งที่เขาเห็นก็คือครอบครัวทั้งสี่คนกำลังมีความสุขราวกับว่าพวกเขาควรอยู่ด้วยกัน ไม่มีที่ให้ผู้อื่นแทรกเข้าไปได้เลย
เขาวางโต๊ะไม้ท้อกลับสู่ตำแหน่งเดิมแล้วพูดกับทั้งสองคนว่า “อาซู พี่ใหญ่ตระกูลหลิน โต๊ะไม่มีปัญหาแล้ว ที่บ้านข้ายังมีธุระที่ต้องทำอีก ต้องขอตัวก่อน!”
“อ๊ะ พี่เล่ย ขอบคุณนะ เดี๋ยวข้าไปส่งท่าน”
ทันใดนั้นเหยาซูก็นึกขึ้นได้ว่าที่บ้านในตอนนี้ยังมีคนอยู่อีกหนึ่งคน นางรีบลุกขึ้นแต่เหยาเล่ยกลับโบกมือห้ามเอาไว้ “ไม่เป็นไรหรอก สามีภรรยาอย่างพวกเจ้า ไม่ง่ายเลยที่จะกลับมาอยู่ด้วยกัน ดังนั้นข้าจะกลับไปเอง”
กล่าวจบเหยาเล่ยก็เดินออกไปจากลานบ้านโดยไม่รอให้เหยาซูพูดอะไร บางทีอาจเป็นเพราะสีหน้าของเหยาเล่ยที่ดูอึดอัด หรืออาจจะเป็นคำว่า ‘การกลับมาพบกันของสามีภรรยา’ หลังจากที่เขาเดินออกไป เหยาซูรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องทำให้นางรู้สึกอึดอัด
มุมปากของชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างยังคงปรากฏรอยยิ้มไม่จางหาย ดวงตาอ่อนโยน เขาโอบอาซือตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน
เขาและนางเป็นสามีภรรยากัน
หากเป็นชาวนาธรรมดาก็ช่างมันเถอะ เหยาซูรู้ว่านางจะไม่มอบความรู้สึกให้กับ ‘สามี’ ในนามคนนี้ได้
แต่หลินเหราต่างออกไป ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางเห็นเขา เหยาซูก็รู้ว่าชายคนนี้ทำให้มีบางอย่างเกิดขึ้นในใจของนาง
ยิ่งไปกว่านั้นเขามีความมั่นคงและความรับผิดชอบต่อนางและลูก ๆ ถ้าอยู่ด้วยกันนานเข้า แล้วนางอาจไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จนเกิดชอบผู้ชายคนนี้ล่ะ?
เมื่อถึงจุดนี้เหยาซูพยายามข่มความไม่สบายใจเอาไว้ กระแอมไอแล้วพูดกับลูกทั้งสองคนว่า “แม่พึ่งนึกได้ว่ายังมีเรื่องบางอย่างต้องบอกท่านยาย แม่คงต้องกลับไปหายายอีกครั้ง ต้าเป่ากับเอ้อเป่าเล่นอยู่บ้านดีไหม? ท่านพ่อเองก็เพิ่งกลับมา เขาก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน”
”
เด็กทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใด ทว่าหลินเหรามองนางและรู้สึกถึงการขัดขืนของภรรยาตนเอง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
เหยาซูเห็นสายตาของหลินเหรา แต่ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย เขากอดบุตรสาวพลางกระซิบกับนางว่า “อาซู เจ้ารีบไปเถอะแล้วรีบกลับมาก่อนค่ำ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
หัวใจของเหยาซูสั่นระรัว นางหันหลังและเดินจากไปทันที
นางเดินออกไปข้างนอก พลางเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ
เขาไม่ได้มาจากสนามรบหรอกหรือ? ทำไมถึงดูไม่โหดร้าย? รอยแผลเป็นบนหน้าของเขาไม่ใช่ว่าจะทำให้เด็กร้องไห้หรอกหรือ?
ใบหน้าเหมือนภูเขาน้ำแข็งนั้นจะอ่อนโยนไปได้อย่างไร!
ทว่าในท้ายที่สุดใบหน้าและสายตาที่ไม่เป็นอันตรายของชายหนุ่มที่แสดงอย่างอ่อนโยนนั้นฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเหยาซู ไม่ว่านางจะต่อต้านอย่างไรก็ไม่อาจลบล้างออกได้
เมื่อเหยาซูมาถึงบ้านของบิดาและมารดาก็เห็นม้าสีน้ำตาลแดงที่ผูกไว้หน้าบ้าน ข้าง ๆ กันนั้นเอ้อหลางกำลังบ่นพึมพำกับม้า
ม้าตัวนี้ยังคงจำเหยาซูได้เนื่องจากเหยาซูเป็นคนให้ลูกอมแก่มัน เมื่อเห็นนางเข้ามาใกล้มันก็ใช้ใบหน้าถูไหล่ของนางอย่างสนิทสนม
“ท่านอา! ม้าตัวนี้รู้จักท่านอย่างนั้นหรือขอรับ!” เมื่อครู่เอ้อหลางได้พูดคุยกับม้าสีน้ำตาลแดงนี้อยู่นาน แต่ไม่ได้คำตอบจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้น “เป็นม้าของอาเขยจริง ๆ ด้วย”
เหยาซูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ม้าจะรู้จักคนได้อย่างไร?”
ราวกับว่าม้าตัวนี้เข้าใจคำพูดของเหยาซู มันจึงเข้าไปถูไถเหยาซูอีกครั้ง ดวงตาของมันเผยความอ่อนโยนออกมา
เอ้อหลางกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ว้าว…เมื่อสักครู่มันดุร้ายมาก มันยังพ่นลมใส่ข้า แต่ดูสิตอนนี้มันเชื่องมากขอรับ”
เมื่อเห็นม้าตัวสูงก้มหน้าลงสัมผัสตน เหยาซูจึงอดคิดถึงเจ้าของม้าไม่ได้ มันเหมือนกับเขาหรือไม่? แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูดุร้ายแต่หัวใจอ่อนโยน?
นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาและถามว่า “เอ้อหลางเจ้าไม่ต้องกลับไปเขียนอักษรหรอกหรือ ยี่สิบคำเขียนเสร็จแล้วงั้นหรือ?”
เอ้อหลางหน้าเสียขึ้นมาทันที
“เช้านี้ ข้าตั้งใจเขียนก็เขียนได้ร้อยกว่าคำแล้ว แต่ลุงใหญ่กลับพูดว่ามันไม่ถูกต้อง…”
เหยาเฟิงเป็นเพียงคนเดียวในตระกูลเหยาที่แบกรับคำว่า “ท่านพ่อที่เข้มงวด” ได้ ถ้าเขาบอกว่ายี่สิบคำ นอกจากจะต้องเขียนให้ถูกแล้วรูปแบบและขนาดตัวอักษรจะต้องตรงตามตำรา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเอ้อหลางถึงเขียนไม่เสร็จสักที
อย่างไรเสียพ่อของเขา เหยาเฉา เคยสอนให้เขาเขียนหนังสือ แค่เขียนได้ก็พอแล้วไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนัก
ในคำพูดของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความคับข้องใจ เขามองไปที่ทางเข้าของหมู่บ้าน “ทำไมท่านพ่อของข้ายังไม่กลับมาอีก เขาบอกข้าว่าจะซื้อหนังยางอันใหม่มาให้ข้า”
………………………………………………………………………………
[1] บัณฑิตผู้สอบผ่านการคัดเลือกระดับภูมิภาค
[2] บัณฑิตผู้สอบผ่านการคัดเลือกระดับตำบล
[3] บัณฑิตผู้สอบผ่านการคัดเลือกระดับราชสำนัก ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุด
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอ็นดูอาซือจังเลยค่ะ ความที่ชอบคนหน้าตาดีนี่นะ
ดูเหมือนท่านแม่จะเริ่มหวั่นไหวแล้วสิ
ไหหม่า(海馬)