ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 534 คารม
บทที่ 534 คารม
บทที่ 534 คารม
“ขุนนางเซี่ยจะไปไหน?”
องค์จักรพรรดิรอให้เซี่ยเชียนเอ่ยปากพูดมาตลอด หากแต่ไม่คิดว่าเซี่ยเชียนจะขอตัวลาเช่นนี้
“ฝ่าบาท ตระกูลหลินเป็นของหลานชายกระหม่อม ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับครอบครัวของหลานชายกระหม่อม ในฐานะที่กระหม่อมมีศักดิ์เป็นน้าย่อมต้องหลีกเลี่ยงเป็นธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ล้วนมีสีหน้าตกตะลึง เพราะท่าทางของเซี่ยเชียนไม่คิดจะขอความเมตตาให้ตระกูลหลินอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทุกคนเปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าเซี่ยเชียนมีแผนการอะไรในใจ
ครั้นองค์จักรพรรดิได้ยินคำพูดของเซี่ยเชียนก็ทรงแย้มพระสรวล “ตาเฒ่า เวลานี้เจ้ายังกล้าแอบเกียจคร้าน วันนี้ข้าไม่เชื่อแล้ว เจ้าจะหลอกหลวงข้าไปถึงไหน?”
“ฝ่าบาท นี่ก็ชัดแจ้งแล้วว่าสิ่งที่เสนาบดีฝ่ายตรวจการกระทำนั้นมิเหมาะสม ต่อให้กระหม่อมจะโป้ปดอย่างไรก็คงจะโป้ปดได้ไม่แนบเนียนพ่ะย่ะค่ะ” เวลานี้เซี่ยเชียนแสดงจุดยืนของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทุกคนไม่รู้จะทำอย่างไร
เหตุใดวันนี้ทุกคนถึงอยากพูดคุยกับเซี่ยเชียนนัก เรื่องนี้ทุกคนล้วนแต่คิดว่าสาเหตุที่เซี่ยเชียนต้องมาขอความเมตตาต่อองค์จักรพรรดิถึงที่นี่เพราะเหยาซู แต่คาดไม่ถึงว่าเซี่ยเชียนจะกล่าวถึงปัญหาของเสนาบดีฝ่ายตรวจการออกมาโดยตรง
นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว
“เจ้าบอกข้าสิว่าเสนาบดีฝ่ายตรวจการไม่เหมาะสมอย่างไร”
“เสนาบดีฝ่ายตรวจการกล่าววาจาไม่เหมาะสม สร้างปัญหาทำให้ใต้เท้าทุกคนในราชสำนักหมดความน่าเชื่อถือ นี่ยังไม่เรียกว่าปัญหาอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเชียนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดองค์จักรพรรดิถึงทรงตรัสถามเช่นนี้ “เป็นชายชาติทหารแต่กลับนินทาลับหลังเหมือนสตรีได้อย่างไรกัน”
…
ห้องทรงอักษรเงียบสงัดลง ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเชียนจะมีวาจาร้ายกาจเพียงนี้
สมัยยังเยาว์วัย องค์จักรพรรดิทรงแจ้งแก่ใจเรื่องฝีปากของเซี่ยเชียน แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปหลายปีเซี่ยเชียนยังคงมีฝีปากที่เก่งกาจกระทั่งไม่ไว้หน้าผู้ใดแม้แต่น้อย
“จะพูดเช่นนี้ไม่ได้…”
เห็นได้ชัดว่ามีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้หนึ่งไม่อาจตอบสนองต่อเรื่องนี้
พวกเขาอยากจะโต้ตอบ แต่ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบเรื่องนี้อย่างไร
องค์จักรพรรดิเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน หลายปีมานี้ เขายังเห็นเซี่ยเชียนมีท่าทีไม่พูดไม่จาเช่นนี้อยู่
เซี่ยเชียนกล่าวต่อ “เรื่องนี้เท่ากับว่าเจ้าเมืองติดหนี้ผู้อื่นอีกสิบตำลึงโดยไม่จ่ายคืน หาลูกหนี้ไม่เจอก็คงทำได้แค่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนรอให้เจ้าเมืองคืนเงิน ต่อไปฝ่าบาทต้องทรงลงโทษคนที่ยืมเงินผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นก็หยุดชะงักไป และขออภัยโทษ องค์จักรพรรดิไม่ได้หยิบยกมาใส่ใจ ยกมือขึ้นแล้วกล่าวต่อว่า “ติดหนี้ก็ต้องชดใช้นี่คือคำกล่าวนี้สมเหตุสมผล กลับกลายเป็นว่าตอนนี้มีเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่ามาทำลายชื่อเสียงของราชสำนัก แต่ผู้ยืมเงินคนนี้กลับทำลายผู้มีอำนาจในราชสำนัก”
เนื่องจากเซี่ยเชียนได้เริ่มเรื่องนี้ไปแล้ว พูดได้ว่าคนที่สร้างปัญหาไม่น้อยต่างพากันก้มหน้าก้มตา ไม่มีไม้ตายของตัวเองแต่อย่างใด
“สำหรับหลานสาวของข้า คุณหนูหลินในจวนท่านแม่ทัพ…”
สายตาของเซี่ยเชียนกวาดมองไปยังผู้ที่เอ่ยประโยคนี้ นัยน์ตาคู่นั้นแฝงไปด้วยแววตาเฉียบคม “ใต้เท้าทุกท่าน โปรดระวังคำพูดด้วย การทำลายศักดิ์ศรีของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ตระกูลไหนกันจะไม่มีบุตรสาวให้เหล่าใต้เท้าได้พูดจาเช่นนั้น อารามชีก็แน่นขนัดไปเสียหมดแล้ว[1]”
ประโยคนี้ของเซี่ยเชียนไม่เรียกว่าโหดเหี้ยม แต่ทำให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายท่านต่างพากันแสดงสีหน้าขึงขัง
เรื่องที่เซี่ยเชียนพูดก็ไม่ผิด ตระกูลใดไม่มีบุตรสาวบ้าง?
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อความนี้ไม่เพียงแค่กล่าวถึงบุตรสาวเท่านั้น ยังหมายรวมไปถึงภรรยาและลูกของภรรยาไปจนถึงมารดาของตนต่างก็ต้องเผชิญเรื่องนี้ หากวันหนึ่งมีคนสองคนเกิดเรื่องผิดใจกัน วิ่งป่าวประกาศถ้อยคำบางอย่าง บุตรสาวของคนเหล่านั้นจะยังอยู่เป็นสุขได้อย่างนั้นหรือ?
ใต้เท้าที่อยากเข้าใจเรื่องนี้ต่างพากันเหงื่อผุดซึมทั่วทั้งร่างกาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคาดไม่ถึงว่าสตรีในโลกหล้าจะมีความกังวลถึงเพียงนี้
ความจริงแล้วองค์จักรพรรดิไม่พอใจเสนาบดีฝ่ายตรวจการผู้นี้นัก แต่ถ้าต้องใช้กฎระเบียบใหม่ เสนาบดีฝ่ายตรวจการผู้นี้จะต้องเลือกออกมาต่อต้านแน่นอน ด้วยเหตุนี้องค์จักรพรรดิจึงทรงปวดหัวกับเรื่องนี้ไม่น้อย แต่ก็ไม่มีหนทางใดที่ดีกว่านี้แล้ว เพราะเหตุนี้ การจัดการเสนาบดีฝ่ายตรวจการพูดได้ว่าค่อนข้างร้ายแรงมากทีเดียว
“จากความหมายที่กล่าว ท่านขุนนางช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี?” องค์จักรพรรดิเห็นว่าคนเหล่านี้ไม่พูดมากนัก จึงแสร้งถามอย่างไม่เข้าใจ
แผนการในใจของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นเรื่องที่องค์จักรพรรดิพอจะคาดเดาได้ทั้งหมด
อย่าลืมสิว่า สายเลือดเพียงผู้เดียวขององค์จักรพรรดิก็คือองค์หญิง บางครั้งองค์หญิงทรงแบกรับชื่อเสียงเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เรื่องที่เซี่ยเชียนกล่าว องค์จักรพรรดิจึงเกิดความรู้สึกระแวดระวังในใจ
เวลานี้เซี่ยเชียนยอมปริปากพูดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีความเมตตาต่อเสนาบดีฝ่ายตรวจการ “มิสู้ฝ่าบาทเสด็จกลับไปพระราชทานตำราสอนหญิงสักสองเล่มให้เขา จะได้ดัดนิสัยชอบนินทาผู้อื่น”
ประโยคนี้ของเซี่ยเชียนเรียกได้ว่าใกล้เคียงคำว่าอัปยศอดสูมาก ถ้าองค์จักรพรรดิกล้าตรัสเช่นนี้จริง ๆ วันรุ่งขึ้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับข่าวที่ว่าเสนาบดีฝ่ายตรวจการฆ่าตัวตายเพราะความอับอาย การนินทาว่าร้ายผู้อื่นจะเพิกเฉยไม่ได้
ทันใดนั้น คำถามนี้ก็ถูกวางลงโดยสมบูรณ์ ไม่มีการแก้ไขแต่อย่างใด
ความจริงแล้ว ก็มีวิธีแก้ไขสำหรับเรื่องนี้อยู่
ผู้คนต่างมองว่าตระกูลหลินยอมถอยก้าวหนึ่ง ซึ่งนั่นย่อมสามารถแก้ไขปัญหาไปได้กว่าครึ่ง แต่ในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลินก็ยังไม่มีผู้ใดไว้หน้าตระกูลหลินแม้แต่คนเดียว
ขุนนางเมืองต้าหลี่ได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว การสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับตระกูลหลินเป็นวิธีการที่พวกเขาคิดว่ามันดีที่สุด
เพราะกระดาษเขียนคำให้การของหลินเหราฉบับเดียว พูดได้ว่าเรื่องนี้ไม่สามารถอ่อนข้อให้ได้
“ขุนนางเซี่ย”
หลังจากที่องค์จักรพรรดิได้ยินคำพูดของเซี่ยเชียน ก็รู้ทันทีว่าที่เซี่ยเชียนพูดเกินไป นั้นเพราะความสัมพันธ์อันดีที่เซี่ยเชียนมีต่อตัวเองมาโดยตลอด เรื่องแบบนี้ย่อมเข้าข้างเซี่ยเชียนเป็นธรรมดา
เซี่ยเชียนยับยั้งชั่งใจได้ ครั้นได้เห็นสายตาขององค์จักรพรรดิมองตนเต็มไปด้วยการตักเตือน เซี่ยเชียนจึงรีบกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ “กระหม่อมพลั้งปากไปพ่ะย่ะค่ะ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอภัย”
ประโยคนี้ กลับทำให้หลายคนสบโอกาสหาประโยชน์จากเรื่องนี้ “ผู้ใดก็ตามที่พลั้งปาก…”
“เจ้ามักจะพลั้งปากในเรื่องเดียวกันหลายครั้งไม่ใช่หรือ?”
เซี่ยเชียนรู้ประโยคครึ่งหลังของพวกเขา จึงโต้ตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
ถ้าตัวเองถูกใส่ความ ถูกใส่ร้ายป้ายสี เขาจะไม่แก้ตัวเพราะบริสุทธิ์ใจ แต่เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของหลินเหราและหลานสาว เซี่ยเชียนไม่มีทางถอยเด็ดขาด!
เมื่อขุนนางชั้นผู้ใหญ่เห็นท่าทางไม่สบายใจของเซี่ยเชียน รู้ว่าเซี่ยเชียนไม่มีทางถอยให้กับเรื่องนี้แน่ จึงทำได้แค่ปล่อยให้เบื้องบนเป็นผู้ตัดสิน…
ครั้นองค์จักรพรรดิทอดพระเนตรความสนุกจนพอพระทัยแล้ว ก็เริ่มจัดการ…
หลายวันมานี้ หลินซือผู้อยู่ท่ามกลางพายุของเรื่องนี้มาตลอดไม่รู้เรื่องที่มารดาช่วยออกหน้าแทนตน และไม่รู้ว่าราชสำนักต้องปั่นป่วนเพราะนาง
หลินจื้อ เหยาเอ้อหลาง รวมทั้งเหยาต้าหลางและเจี่ยงเถิงต่างอยู่นอกเมือง ไป๋หรูปิงก็ไม่มา ไม่มีใครให้นางได้พูดคุยด้วย
หลินซือเอาแต่ทำงานล่วงเวลาและยุ่งแต่เรื่องกิจการของตัวเอง
ทันทีที่หลินซือเดินเข้ามาในลานบ้านของตัวเอง ก็เจอกับกงกงที่ยืนอยู่ในห้องโถงกลาง “คุณหนูหลิน องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าขอรับ”
หลินซือมองมารดาที่อยู่ข้างกายด้วยความประหลาดใจ
เหยาซูตัดสินใจให้นางแล้ว หลินเหราที่ยืนอยู่ข้างกายของภรรยาเป็นกังวลว่าลูกสาวจะหวาดกลัว จึงเน้นย้ำด้วยเสียงเคร่งขรึม “ไม่ต้องกังวลหรอก ฝ่าบาทไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่นอน”
ภายใต้การให้กำลังใจของบิดาและมารดา หัวใจจที่กำลังกระวนกระวายของหลินซือจึงสงบลง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินซือต้องเขาวังหลวง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หลินซือถูกพาตัวมายังห้องทรงอักษรของตำหนักหน้า
โดยทั่วไปแล้วสถานที่เหล่านี้สตรีห้ามเข้า อย่าว่าแต่นางสนมเลย แม้แต่ฮองเฮาก็เข้าไม่ได้
ครั้นหลินซือเข้ามา นางก็ไม่มีท่าทางวอกแวกแต่อย่างใด แม้ว่านางจะเพิ่งเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก แต่เห็นได้ชัดว่ากลับไม่ประหม่าแม้แต้น้อย ท่วงท่าขณะก้าวเดินนั้นแสดงออกถึงการอบรมสั่งสอนที่ดีอย่างชัดเจน
“หม่อมฉันขออวยพรให้ฝ่าบาททรงมีพระชนมายุหมื่นปี หมื่นๆ ปีเพคะ” หลังจากที่หลินซือเข้ามาทำความเคารพตามกฎระเบียบแล้วย่อกายอย่างมั่นคง
“พอแล้ว” ครั้นองค์จักรพรรดิเห็นหลินซือดูไม่มีความประหม่าแม้แต่น้อย แววพระเนตรจึงแฝงไปด้วยความชื่นชม
“ยามนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพราะเรื่องของเสนาบดีฝ่ายตรวจการก่อนหน้านั้น” เพราะเหตุนี้องค์จักรพรรดิจึงกล่าวเรื่องนี้ออกมาโดยตรง
หลินซือมีสีหน้าประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เรื่องนี้นางได้ยินมาว่ามารดาถึงขั้นโกรธเคืองแทนนาง
หรือว่าองค์จักรพรรดิจะลงโทษนาง?
เวลานี้นางลืมสิ้นทุกอย่าง ลืมแม้แต่คำกำชับของบิดาและมารดา
องค์จักรพรรดิโยนตำราพับที่ถือเล่นในพระหัตถ์ออกไปตามใจตนเอง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “แม้ว่าเสนาบดีฝ่ายตรวจการจะกำเริบเสิบสาน แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเพราะเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร?”
หลินซือเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวออกมา “ถ้าหม่อมฉันจำไม่ผิด ในกฎระเบียบมีระบุไว้ว่า ‘ใส่ร้ายผู้อื่นโดยไร้เหตุผล จะถูกโยกย้าย’”
ครั้นทุกคนได้ยินหลินซือตอบกลับเช่นนี้พลันตื่นตกใจ
แต่คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่หลินซือกล่าวออกมาคือกฎระเบียบ และสิ่งที่กล่าวนั้นถูกต้อง
เรื่องของเสนาบดีฝ่ายตรวจการเดิมทีพวกเขาแค่อยากขอความเมตตา
เสนาบดีฝ่ายราชทัณฑ์ไม่เอ่ย แต่กลับแปลกใจว่าตระกูลหลินสั่งสอนลูกหลานอย่างไร ไม่เอ่ยถึงตำราสอนหญิง แต่พูดถึงกฎระเบียบ
เดิมทีเซี่ยเชียนอยากปกป้องหลินซือ แต่คาดไม่ถึงว่าหลินซือจะวางตัวอย่างเหมาะสม วาจาคมคาย ไม่มีความเกรงกลัวต่อเรื่องนี้แต่อย่างใด
ขณะที่เซี่ยเชียนชื่นชมก็อดเสียดายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหลินซือเป็นบุรุษ คงจะทำเรื่องอะไรอย่างเด็ดขาด
ทันใดนั้น ก็มีคนถามขึ้นว่า “สองสามวันนี้คุณหนูหลินเดินทางไปกลับระหว่างสองเมืองด้วยเหตุใด ช่วยพูดอย่างตรงไปตรงมาได้หรือไม่?”
เซี่ยเชียนได้ยินประโยคนี้ ดวงตาที่เดิมทีปิดสนิทก็เบิกโพลง นัยน์ตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก
แม้ว่าเรื่องที่หลินซือทำจะไม่ใช่ความลับ แต่ท่าทางเช่นนี้พาให้คนไม่สบายใจเอาเสียเลย…
……………………………………………………………………………………………………………………..
[1] สมัยก่อน หากสตรีเสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียง จะถูกส่งเข้าอารามชี
สารจากผู้แปล
ขุนนางพวกนี้นี่อย่าเพิ่งเผือก ระวังอาซือจะโยนเผือกร้อนกลับไปให้นะคะ
ไหหม่า(海馬)