ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 535 เป็นขั้นเป็นตอน
บทที่ 535 เป็นขั้นเป็นตอน
บทที่ 535 เป็นขั้นเป็นตอน
“สาวน้อย หลายวันมานี้เจ้าไปทำสิ่งใดอยู่นอกเมือง?”
องค์จักรพรรดิใคร่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
ถึงแม้จะบอกว่าองค์จักรพรรดิสามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้ง่ายดายหากทรงสนพระทัย แต่พระองค์ต้องบริหารบ้านเมือง จะแบ่งเวลามาสนใจเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ตอนนี้เองหลินซือได้กล่าวทูลตามความจริง “ฝ่าบาท หม่อมฉันเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้แห่งหนึ่งนอกเมือง จุดประสงค์คืออยากช่วยเหลือเด็กสาวในครอบครัวผู้ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ได้ทำเรื่องที่พิเศษเกินไปแต่อย่างใดเพคะ….”
ไม่เพียงแต่องค์จักรพรรดิเท่านั้นที่ตกตะลึงหลังจากได้ยิน ขุนนางคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ไม่เข้าใจและพากันตกตะลึงตามไปด้วย
ต่อมา ก็ได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดตระกูลหลินถึงได้โกรธเคืองเรื่องนี้
เห็นได้ชัดว่าบุตรสาวของตัวเองกำลังเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้นอกเมือง สุดท้ายยังมีบางคนเอาแต่พูดพล่ามว่าบุตรสาวของตนทำสิ่งที่น่าละอายแก่ใจเสียได้
ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่าอึดอัด
เหล่าขุนนางในราชสำนักที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างหน้าแดงเถือกด้วยความขุ่นมัว แต่ต้องบอกว่าขุนนางเหล่านี้มีความยืดหยุ่นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาได้เป็นอย่างดี
ครั้นได้ยินว่าตนเองเข้าใจหลินซือผิดไป และไม่สนใจว่าหลินซือนั้นเป็นลูกหลานของตัวเอง จึงย่อกายทำความเคารพ “เมื่อครู่คือข้า…คงจะไร้มารยาทเกินไป หวังว่าแม่นางหลินจะให้อภัย แต่ถึงอย่างไรท่านเสนาบดีฝ่ายตรวจการก็มีอายุมากแล้ว … ได้โปรด…..แม่นางหลินเข้าใจและให้ความร่วมมือด้วย”
เห็นได้ชัดว่าหลินซือเองก็คาดไม่ถึง คนที่กล่าวด้วยถ้อยคำหยาบคายเมื่อครู่กลับก้มหน้าก้มตา “ข้าน้อยมิกล้า เพราะเรื่องราวก่อนหน้านั้นยังอยู่ในกระบวนการ สิ่งต่าง ๆ ยังมิเรียบร้อย จะทำอะไรเอิกเกริกก็คงมิดีนัก ข้าน้อยมิอาจป่าวประกาศออกไปได้หรอกเจ้าค่ะ”
องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรหลินซืออย่างมีเมตตา “สาวน้อย หากเจ้าไม่ป่าวประกาศ ใครบ้างเล่าจะรู้ว่าเจ้าเปิดเรือนพักพิง? บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลมีเงินทองแค่ไหนกันเชียว?”
ขณะที่หลินซือกำลังไม่รู้ว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไร จู่ ๆ คนที่มีไหวพริบยิ่งกว่าข้างกายก็เอ่ยขึ้น “ในเมื่อเรือนพักพิงผู้ยากไร้ของแม่นางหลินได้เปิดขึ้นมาแล้ว ไหน ๆ วันนี้กระหม่อมก็อารมณ์ขุ่นมัวเพราะเรื่องนี้ มิสู้บริจาคเงินถือว่าเป็นการสั่งสมบุญกุศลด้วยดีกว่า”
หลังจากที่ขุนนางข้างกายได้ยินเรื่องนี้ต่างทยอยกันมีปฏิกิริยาตอบสนอง หลินซือคำนวณคร่าว ๆ พบว่าเงินที่ตัวเองลงทุนไปได้รับการบริจาคล้วนแต่ได้กลับมาจากขุนนางที่ถกเถียงปัญหาก่อนหน้านั้น
เงินเหล่านี้ มากพอที่จะเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้ได้สามถึงสี่ปีเชียว
ครั้นหลินซือพบว่าองค์จักรพรรดิและเซี่ยเชียนไม่ได้ขัดขวาง จึงนำเงินที่มากมายเหล่านี้กลับไป
ในระหว่างนั้นมีขุนนางท่านหนึ่งเอ่ยว่า “องค์จักรพรรดิ ครั้นเปรียบเทียบกับเสนาบดีฝ่ายตรวจการแล้วยังแตกต่างกันมากโข เรื่องนี้มิสู้…”
องค์จักรพรรดิกวาดสายพระเนตรไปยังหลินซือ ดูสิว่าหลินซือจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้
หลินซือเข้าใจเจตนารมณ์ขององค์จักรพรรดิดี ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรล้วนแต่ทำให้ตนได้รับความไม่เป็นธรรมทั้งสิ้น ถ้าเจ้าทุกข์อย่างนางไม่ไล่ตามเรื่องนี้คงยุติไปอย่างเป็นทางการแล้ว เวลานี้จึงรุดหน้าหนึ่งก้าว ทำความเคารพหลังจากนั้นก็กล่าวกับองค์จักรพรรดิว่า “มิสู้ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านเสนาบดีมาช่วยงานตรงนี้สักสองสามวันเล่าเพคะ”
ครั้นเห็นหลินซือผ่อนคลายลง องค์จักรพรรดิก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก “เจ้าถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัว วันนี้ข้าจะประทานรางวัลให้เจ้า เจ้าอยากได้สิ่งใด?”
หลินซือครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกราบทูลต่อองค์จักรพรรดิว่า “ฝ่าบาท คนที่หม่อมฉันช่วยเหลือล้วนแต่เป็นเด็กผู้หญิง ตอนนี้พวกนางยังเด็กนัก หม่อมฉันอยากจะขอความกรุณาให้ฝ่าบาททรงสร้างครอบครัวให้แก่พวกนางด้วยเพคะ”
ความต้องการนี้สำหรับจักรพรรดิล้วนเป็นเรื่องเล็ก หลังจากพระองค์ได้ฟังก็ยกพระหัตถ์ขึ้นโบกเป็นคำตอบ
ยามที่หลินซือเดินออกจากวังหลวง ก็พบว่าแผ่นหลังของตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แม้ว่าหลินซือจะมีกิริยางดงาม แต่ก็ยังกลั้นใจฝืนทนอยู่ไม่น้อย
เมื่อหลินซือออกนอกวังแล้ว ก็พบเหยาซูกำลังรออยู่บนรถม้าพอดี ครั้นเห็นลูกสาวกลับออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า นางจึงรีบหยิบชาที่เตรียมไว้แล้ววางไว้ข้างกายของเด็กสาว
หลังจากที่หลินซือเห็นน้ำชานั้นก็ยกดื่มอย่างอดไม่ได้ สุดท้ายก็มีท่าทางผ่อนคลายลง
เพราะมีผู้คนจำนวนมากหวาดกลัวการเสียเกียรติ ด้วยเหตุนี้ยามเข้าวังจึงน้อยนักจะได้ดื่มหรือกินขนมภายในนั้น
ก่อนที่หลินซือจะเข้าวัง เหยาซูได้ชี้แจงข้อดีและข้อเสียให้แก่นางฟังอย่างชัดเจนแล้ว ครั้นองค์จักรพรรดิมีพระราชโองการให้เข้าเฝ้าถึงในวัง คงจะคาดหวังให้ตระกูลหลินยอมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเรื่องนี้
ความจริงแล้วหลินซือตั้งใจจะไม่ซักไซ้ไล่ถาม แต่กลับคาดไม่ถึงว่าคนเหล่านั้นจะหวังดีถึงเพียงนี้ ทันทีที่ได้ยินว่าหลินซือเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้ เงิน เสื้อผ้า อาหาร ยากรักษาโรคถูกบริจาคให้แก่สตรีเหล่านั้นทั้งสิ้น
ยามที่เหยาซูยื่นจอกชาให้แก่หลินซือก็พบว่า ฝ่ามือของเหยาซูมีรอยเล็บเป็นรูปจันทร์เสี้ยว นางจึงรู้ว่าหลินซือต้องเป็นกังวล “ตอนนี้เจ้าทำใจให้สบายเถิด เรื่องเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้แห่งนี้นับว่าผ่านด่านจักรพรรดิแล้ว ไม่เกิดสิ่งใดขึ้นแล้วล่ะ”
หลินซือพยักหน้า “นับว่าเสร็จสมบูรณ์ก่อนกำหนด หลังจากที่ยุ่งหัวหมุนมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกตัวเบาลงเจ้าค่ะ”
“เรือนพักพิงผู้ยากไร้ของเจ้าแห่งนี้ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว ต่อไปเจ้าก็ควรพักบ้าง”
ก่อนหน้านั้นหลินซือยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ตลอด พูดได้ว่ายุ่งทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว
แม้ว่าเหยาซูจะเป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นลูกสาวทำงานยุ่งจนมีสภาพอิดโรยเช่นนี้ ก็ย่อมปวดใจไม่น้อย
ช่วงนี้หลินซือค่อนข้างเหนื่อยเป็นพิเศษ จึงไม่ค่อยดื้อรั้นกับเหยาซูสักเท่าไร
หลังจากหลินซือกลับไป ไม่นานก็กินข้าว ก่อนจะกลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน กระทั่งตื่นมาอีกครั้งก็เกือบยามอู่แล้ว
เพราะสาวใช้รู้ว่าช่วงนี้หลินซือไม่ได้พักผ่อน จึงไม่ได้ปลุกนางให้ตื่นขึ้น
ทันทีที่หลินซือตื่นนอน ท้องพลันรู้สึกหิวขึ้นมา
สองสามวันนี้หลินซือต้องตื่นแต่เช้าตรู่ออกไปข้างนอก กลับเข้าเมืองมาก็ใกล้เวลาลงกลอนประตูแล้ว เวลากินข้าวก็กินได้เพียงไม่กี่คำก็ต้องลงมือทำงานต่อ
หลังจากที่หลินซืออาบน้ำหวีผมเรียบร้อย สาวใช้ก็จัดเรียงอาหารเสร็จพอดี บางทีอาจเพราะอยากฉลอง อาหารในวันนี้จึงค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ
หลินซือกินพลางมองสาวใช้และถามว่า “ท่านแม่เล่า?”
“ช่วงเช้าของวันนี้ฮูหยินมาที่นี่หนึ่งครั้ง เห็นว่าคุณหนูยังนอนหลับฝันหวานจึงสั่งห้ามข้าน้อยปลุกคุณหนูเด็ดขาด เพราะร้านค้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ฮูหยินจึงกลับไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
สาวใช้ตอบคำถามอย่างสุภาพ “ฮูหยินต้องการให้คุณหนูไปยังห้องโถงกลางหลังจากทานอาหารเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
หลินซือขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ท่านแม่บอกไหมว่าเรื่องอะไร?”
“ฮูหยินไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร คุณหนูไปแล้วจะรู้เองเจ้าค่ะ”
หลินซือได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า หลังจากกินอาหารเสร็จไม่นานหลินซือก็เดินออกไป กระทั่งเจอกับเจี่ยงเถิงที่รออยู่ข้างในแล้ว…