ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 538 บังเอิญพบกัน
บทที่ 538 บังเอิญพบกัน
บทที่ 538 บังเอิญพบกัน
บุตรสาวของตระกูลไป๋…ครั้นหลินซือได้ยินการแนะนำตัวก็รู้ทันทีว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้คือบุตรสาวของตระกูลไป๋
ทว่าหลินซือไม่เคยเจอคุณหนูหรูเยว่ผู้นี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าระหว่างนั้นยังมีเรื่องที่ตนไม่รู้อีกมาก
“นี่คือลูกสาวของฮูหยินหรู ภรรยาท่านอาของข้า เวลานี้มาช่วยเตรียมงานแต่งในเรือนข้า”
ขณะที่ไป๋หรูปิงพูดเรื่องนี้ ใบหน้าของนางกลับไม่ได้แสดงความรู้สึกใดและยังเย็นชาเป็นพิเศษ แสดงให้เห็นว่าไม่ชอบสตรีตรงหน้าคนนี้อย่างชัดเจน
แม้หลินซือจะรู้สึกประหลาดใจไปบ้าง แต่ก็ยังกล่าวทักทาย “ขอแสดงความเคารพแม่นางไป๋”
หลินซือไม่ค่อยชอบเรื่องเช่นนี้นัก และไม่อาจเข้าไปยุ่งเรื่องครอบครัวของผู้อื่นได้
ก่อนหน้านั้นตระกูลหลินเป็นตระกูลที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีอนุภรรยา ต่อลูกอนุภรรยาคนหนึ่ง หลินซือถือได้ว่าสุภาพนัก
เดิมทีคิดว่าหลังจากกล่าวทักทายแล้วคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ไป๋หรูเยว่กลับไม่ยอมลาจาก ยังคงยืนมองหลินซือจนฝ่ายหลังต้องถามขึ้น“คุณหนูไป๋มีอะไรหรือไหมเจ้าคะ?”
“ได้ยินว่าคุณหนูหลินเปิดเรือนพักพิงผู้ยากไร้ หรูเยว่ก็มีใจอยากทำเช่นกัน แต่เพราะความลำบากและไม่มีทุนเพียงนั้น มีเพียงแค่เครื่องประดับของตัวเอง หวังว่าคุณหนูหลินจะไม่ถือสานะเจ้าคะ” ไป๋หรูเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เมื่อหลินซือได้ยินประโยคนี้ หางตาก็กระตุกทันที หญิงสาวสมัยนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสาวตระกูลใหญ่โตและทรงอิทธิพลมักจะให้ความสนใจกับเครื่องประดับอย่างมาก ไม่มีทางให้ลูกสาวของตนใส่ติดตัวไปแน่ แม่นมและสาวใช้คนสนิทจะเป็นผู้เก็บไว้ เหตุใดถึงยกให้ผู้อื่นเช่นนี้?
หากเอากลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง ก็สามารถนำเครื่องประดับเหล่านี้มาหลอมละลายใหม่ได้
หลินซือไม่รู้ว่าไป๋หรูเยว่ตั้งใจแสดงท่าทีรังเกียจต่อไป๋หรูปิง หรือไม่รู้กฎเกณฑ์นี้โดยแท้จริง
“เจ้ารับไว้เถอะ” ตอนนี้เองไป๋หรูปิงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น “อย่างน้อยก็เป็นความตั้งใจของนาง ถือว่าช่วยสนับสนุนความปรารถนาดีของนาง”
หลินซือไม่มีทางตบหน้าว่าที่พี่สะใภ้ในอนาคตของตัวเองโดยเด็ดขาด ครั้นได้ยินคำพูดของไป๋หรูปิงหลินซือก็ตัดสินใจรับไว้ “เช่นนั้นก็ขอบคุณในกุศลของแม่นางไป๋ด้วยเจ้าค่ะ”
สีหน้าของไป๋หรูเยว่ดูย่ำแย่ลงเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าหลินซือจะรับสิ่งของเหล่านี้จริง ๆ
เครื่องประดับที่ไป๋หรูเยว่ยกให้หลินซือ ไม่ว่าจะเป็นด้านฝีมือหรือรูปแบบ ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งของที่ดีมากนัก
แต่ไป๋หรูเยว่ไม่ได้มีสิ่งของเหล่านี้มากมาย ด้วยเหตุนี้ยามให้สิ่งของที่มากมายขนาดนี้ย่อมรู้สึกปวดใจเป็นธรรมดา
หลังจากที่ไป๋หรูเยว่จากไปแล้ว ใบหน้าของไป๋หรูปิงก็แต้มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา “นางมักจะเสแสร้งทำตัวเช่นนี้อยู่เสมอ”
“ข้าว่าท่านไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้ว สองสามวันนี้ข้าว่างพอดี มิสู้พวกเราออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันสักรอบดีไหม?”
หลินซือเห็นใบหน้าของไป๋หรูปิงเคร่งขรึมลง ทำได้เพียงใช้เรื่องนี้มาปลอบใจไป๋หรูปิง
ทันทีที่ได้หรูปิงได้ยินดวงตาก็ลุกวาวขึ้นทันใด “เยี่ยม ข้าอยู่ที่นี่อึดอัดจะแย่แล้ว เราจะไปเมื่อไร? ที่ไหน? ที่ไหน?”
หลินซือคลี่ยิ้มสดใส “ตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดวันเลย รอให้กำหนดเรียบร้อย ข้าจะให้คนมาบอกท่านสักคำ”
ไป๋หรูปิงเดินพยักหน้า “ก็ได้ เจ้าดูเวลาที่เราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันก่อน”
แม้ว่าไป๋หรูปิงจะไม่ได้ร่ำรวยเพียงนั้น แต่ในมือก็ยังมีที่ดินในชนบทครอบครองอยู่ไม่น้อย ถ้าได้ไปด้วยกันก็คงดี แต่ชนบทของตระกูลหลินเองก็ไม่ได้แย่
สองพี่น้องพูดคุยกับครู่หนึ่ง ก่อนหน้านั้นหลินซือหลีกเลี่ยงไม่ให้เรือนพักพิงผู้ยากไร้ถูกแพร่กระจายออกไปจนเกิดความโกลาหล และหลีกเลี่ยงเรื่องครอบครัวของตระกูลไป๋อย่างรู้งาน เมื่อดวงอาทิตย์อัสดง หลินซือจึงขอตัวลา
….
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ยามที่หลินซือและหลินจื้อสองพี่น้องไปที่นั่น เจี่ยงเถิง ไป๋หรูปิง และคนอื่น ๆ ก็รออยู่ที่นั่นแล้ว
ครั้นเหยาเอ้อหลางเห็นหลินซือมาถึงแล้ว ก็รีบพูดขึ้นว่า “เอ้อเป่าต้าเป่า พวกเจ้าสองคนมาช้าจริง ๆ คงต้องลงโทษเสียหน่อย”
เขาเริ่มคำนวณบางอย่าง
หลินซือตื่นสายจริง ๆ หลินจื้อเลยต้องเหนื่อยเพราะน้องสาวไปด้วย
หลินซือแกล้งทำเป็นโกรธ “ก็ได้ พี่รอง ปกติข้าก็รอพวกท่านตลอด ไม่เห็นพวกท่านพูดเช่นนี้”
หลินซือแกล้งทำท่าจะตี เหยาเอ้อหลางที่จะถูกตีก็ให้ความร่วมมือกับนาง ด้วยการยกโทษให้ ครั้นทุกคนเห็นฉากสนุก ๆ ของหลินซือและเหยาเอ้อหลาง ก็พากันขบขันไปตาม ๆ กัน
ระหว่างที่ทุกคนกำลังขบขันนั้น พบว่ายังมีรถม้าอีกคันเคลื่อนตัวมาจากที่ไม่ไกลนัก หลินซือกวาดตามองไปยังเจี่ยงเถิง แปลกใจไม่รู้ว่าเขาเชิญผู้ใดมาอีก
“พี่หลินซือ!”
เมื่อรถม้าหยุดลง ในตอนที่เห็นคนผู้หนึ่งลงจากรถม้า สีน้าของหลินซือและทุกคนก็พากันประหลาดใจ
เวลานี้ สีหน้าของเจี่ยงเถิงหม่นหมองลงที่สุด
ครั้นเจี่ยงเถิงได้ยินคำว่า ‘พี่หลินซือ’ คำนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างฉับพลัน คนที่ชอบเรียกหลินซืออย่างนี้ มีเพียงองค์รัชทายาทผู้เดียวเท่านั้น
“ขออวยพรองค์รัชทายาทให้มีพระชนมายุยิ่งยืนนานเพคะ” ในตอนที่ทุกคนได้สติกลับมาก็รีบทำความเคารพทันที
องค์รัชทายาทโบกมือไปมา “ไม่ต้องหรอก”
หลังจากที่องค์รัชทายาทลงจากรถม้าแล้วก็พบว่า ในรถม้ายังมีเด็กสาวอีกหนึ่งคน นั่นคือลู่เหยา
“พี่หลินซือ บังเอิญยิ่งนัก พวกเจ้าก็ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกพอดี”
ครั้นองค์รัชทายาทพบหลินซือ ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มคุ้นเคย “พวกเจ้าจะไปไหนกัน พาข้าไปด้วยได้หรือไม่”
องค์รัชทายาทครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วอธิบายกับทุกคนว่า “ครานี้ที่ข้าได้ออกมาเล่น เสด็จพ่อทรงอนุญาตแล้ว”
ความหมายแฝงในคำพูดนี้คือ พวกเจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้
ผู้อื่นไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทมีใจต่อหลินซือ แต่เจี่ยงเถิงจะไม่รู้ได้อย่างไร?
แม้จะบอกว่าในตอนแรกเริ่มที่เจี่ยงเถิงชักชวนคนอื่นจะไม่ได้หลบเลี่ยงเกินไปนัก แต่เจี่ยงเถิงกลับไม่คิดว่าองค์รัชทายาทจะสามารถออกมาจากสถานที่กักขังเช่นนี้ได้
ในเมื่อองค์รัชทายาทอยากไปด้วย เวลานี้ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธคำร้องขอของเขาได้
ทุกคนต่างไม่แสดงความคิดเห็นใด
ด้วยเหตุนี้ จำนวนคนเดินทางจึงเพิ่มองค์รัชทายาท และลู่เหยาที่ติดตามองค์รัชทายาทเข้ามาด้วย…