ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 548 หัวใจของลู่เหยา
บทที่ 548 หัวใจของลู่เหยา
บทที่ 548 หัวใจของลู่เหยา
หลังจากเดินมากันได้ประมาณครึ่งชั่วยาม หลินซือก็เริ่มเหนื่อย จึงถามด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบว่า “พี่อาเถิง ยังอีกนานไหม? ข้าเหนื่อยจะแย่แล้ว ถ้ารู้เช่นนี้ข้าไม่ตามพี่มาหรอก รอกินอยู่บนเรือดีกว่า”
เจี่ยงเถิงลูบศีรษะของนาง กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ให้เจ้าออกกำลังกายก็ไม่ฟัง ตอนนี้รู้จักคำว่าเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นเราพักกันก่อนเถอะ”
หลินซือรอเจี่ยงเถิงพูดคำนี้มาตลอด จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งบนหินก้อนหนึ่งโดยไม่สนใจว่าตรงนั้นจะสกปรกหรือไม่
“พี่อาเถิง ท่านดูก้อนเมฆนั้นสิ เหมือนม้าไหม? ท่านดูภูเขาลูกนั้นสิ เหมือนหญิงงามกำลังก้มหน้าเลย! สายลมนี้ช่างเย็นสบายยิ่งนัก!”
หลินซือนั่งตรงนั้นอย่างสบายใจ
สายลมอ่อนโชยพัด พัดเส้นผมของนางจนปลิวสยาย รอยยิ้มบนใบหน้าได้ตราตรึงอยู่ในใจของเจี่ยงเถิง จนทำให้เขาต้องมองอย่างเหม่อลอย
“พี่อาเถิง ต่อไปข้าอยากไปเห็นอีกหลาย ๆ ที่ อยากไปท่องเที่ยวทั่วทุกหนทุกแห่งเหมือนกับท่านแม่และท่านพ่อ ชื่นชมภูเขาและสายน้ำที่ไม่เหมือนกัน ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตที่ต่างกัน” หลินซือเก็บรอยยิ้ม แล้วพูดถึงจินตนาการ
เจี่ยงเถิงกำลังจะดึงสติกลับมา หลินซือจึงพูดต่อว่า “แต่ท่านแม่เคยเล่าไว้ว่าข้าต้องออกเรือน ท่านว่า…ถ้าว่าที่สามีในอนาคตของข้าไม่ยอมไปท่องโลกกับข้าจะทำอย่างไรดี? ไม่ได้ ๆ ข้าจะไม่มีวันแต่งงานกับคนเช่นนั้น!”
เจี่ยงเถิงร้อนใจอยู่ภายใน ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ไม่เปิดใจเอาเสียเลย? การกระทำของตัวเองออกจะชัดเจนเพียงนี้ หรือมองไม่ออกว่าตัวเองสนใจนางอยู่?
บอกนางตรง ๆ ก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นเกิดนางตกใจจะได้ไม่คุ้มเสีย
จะต้องทำยังไงให้เด็กคนนี้เข้าใจได้ว่าตนไม่เคยเห็นนางเป็นเพียงน้องสาว สำหรับตนแล้วมันคือความรู้สึกรักใคร่ระหว่างชายหญิงมาโดยตลอด
“อาซือก็โตแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องคิดเรื่องแต่งงาน เฮ้อ ข้าได้ยินท่านแม่ของข้าพูด มีสตรีมากมายหลังจากออกเรือนไปแล้วต่างก็ได้รับความไม่เป็นธรรมและโดนกดขี่อยู่ในเรือนของสามี สามีก็ไม่สนใจความรู้สึกของนาง ทนทุกข์ทรมานวันแล้ววันเล่า” เจี่ยงเถิงตั้งใจข่มขู่ให้นางกลัว
ครั้นหลินซือได้ยินเช่นนี้ ก็ถึงกับร้อนใจหยาดน้ำตาเอ่อล้นรอบดวงตา “จริงหรือ? เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? อาซือไม่อยากออกเรือนแล้ว ข้ายังเด็ก ยังไม่รีบ!”
เจี่ยงเถิงยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างทอดถอนใจ “พักผ่อนเต็มที่หรือยัง? เช่นนั้นเราเดินขึ้นเขาต่อกันเถอะ?”
ใครจะรู้เล่าว่าหลินซือจะเบ้ปากเบิกตากว้างมองเขา “พี่อาเถิง ข้าเดินไม่ไหวแล้ว…”
ทันทีที่เจี่ยงเถิงเห็นก็รู้ว่านางคิดอะไร เขายิ้มอย่างจนปัญญาแล้วเดินรุดขึ้นหน้าไปแบกนาง
ตั้งแต่เด็กจนโตก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ขอแค่หลินซือเหนื่อย เจี่ยงเถิงมักจะแบกนางเดินไปจนสุดปลายทางเสมอ
สำหรับผู้อื่น ความรู้สึกของเจี่ยงเถิงแทบจะเขียนชัดอยู่บนใบหน้าอยู่แล้ว
แต่สำหรับคนของเขานี่สิ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นางคิดว่าเจี่ยงเถิงรู้สึกกับตนเหมือนพี่ชายและน้องสาวเท่านั้น ไม่เคยคิดสิ่งใดเกินเลย
เฮ้อ ช่างเถอะ ๆ ในเมื่อนางมองไม่เห็นถึงความรู้สึกของตน เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามบุญวาสนาก็แล้วกัน
ถึงอย่างไรตัวเองก็มีความเชื่อมั่นมากพอ สุดท้ายแล้วหลินซือจะต้องกลายเป็นภรรยาของตน! เจี่ยงเถิงกำลังปลอบตัวเองอยู่ในใจ
อีกด้านหนึ่งหลินจื้อได้พาไป๋หรูปิงเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบ เหลือเพียงองค์รัชทายาทและลู่เหยาที่รออยู่บนเรือ
ครั้นองค์รัชทายาทเห็นสุราบนโต๊ะ ก็ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจากนั้นก็ถามลู่เหยาว่า “ในสายตาของเจ้า ข้าน่าขันมากใช่หรือไม่? รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ คิดหาทางออกจากวังแทบตาย นี่ออกมาก็ยังเล่นกับนางไม่ได้”
ลู่เหยาคว้ามือขององค์รัชทายาทที่กำลังรินสุราไว้ พลางพูดเสียงเบา “คุณชาย คุณชายหยุดดื่มเถิด ข้าไม่ขำนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรท่านก็กล้าหาญสำหรับข้า ข้าอิจฉาท่านที่สามารถตามเกี้ยวคนที่ตัวเองชอบได้อย่างไม่เกรงกลัว ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็หวังจะให้ตัวเองกล้าหาญให้ได้สักนิดของท่านบ้าง….”
องค์รัชทายาทหันไปมองลู่เหยาตัวเล็กตรงหน้า และเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ดูสิอายุของเจ้ากับข้าก็ไม่ต่างกันนัก เจ้าก็มีคนในใจแล้วหรือ? แต่เจ้าดีกว่าข้า เจ้าอิสระกว่าข้า ทุกการกระทำของข้าล้วนแต่ต้องคิดให้ดีก่อนลงมือ เพราะมันเกี่ยวข้องกับทั้งความเป็นองค์ชาย ทั้งต้าเยี่ยน ข้าคิดว่าตนต้องอยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น อยากได้อะไรก็ต้องได้ ตอนนี้เพิ่งพบว่าข้าคิดผิดไป”
“คุณชาย ท่านอย่าท้อถอยสิเจ้าคะ ข้าว่าพี่หลินซือ…นางแค่ยังไม่เห็นถึงความดีของท่าน รอเวลาอีกหน่อย นางจะพบว่าท่านอยู่ข้างกายนางเสมอ จะได้รู้ว่าความรู้สึกของท่านน่าทะนุถนอมเพียงใด” ลู่เหยากล่าวโน้มน้าว
เห็นได้ชัดว่านางอยากพูดว่า ความจริงแล้วข้าเองก็ชอบท่าน แต่สิ่งที่โพล่งออกไปกลับเป็นการให้กำลังใจเขาไม่ให้เขายอมแพ้ ให้ตามจีบคนที่ตัวเองชอบต่อไป
ลู่เหยาเยาะเย้ยตัวเอง นางคงจะเป็นขี้ขลาดไปตลอดชีวิต ต่อหน้าเขาก็เป็นเช่นนี้ ต่อหน้าท่านแม่ก็เป็นเช่นนี้ คาดว่าตัวเองก็คงจะไร้ประโยชน์ ไม่มีใครมาชอบตน
นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของจวนลู่ แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้อื่นคิดไว้ ยามผู้เป็นแม่อารมณ์ไม่ดีก็มักจะทุบตีด่าทอตน ถามตนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทำไมถึงสู้หลินซือไม่ได้
ตอนเด็กนางไม่เคยเข้าใจ เพราะเหตุใดท่านแม่ถึงต้องเอาตนไปเปรียบเทียบกับพี่หลินซืออยู่เสมอ นางคือลู่เหยาไม่ใช่หรือ? ต่อมานั้นได้เจอมารดาของหลินซือนางก็ได้เข้าใจ ที่แท้ก็เป็นเพราะมารดาไม่พอใจ นางไม่พอใจที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับมารดาของหลินซือ ดังนั้นจึงอยากให้ตัวเองกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับมา
องค์รัชทายาทได้ยินเสียงนุ่มนวลของลู่เหยา จึงหันหน้าไปมองนาง พลางกล่าวว่า “ข้าแปลกใจยิ่งนัก เหตุใดเจ้าถึงเป็นเช่นนี้? นึกถึงผู้อื่นทุกเวลา แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยบอกความคิดของตัวเอง ไม่พูดว่าตัวเองอยากได้อะไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าแบบนี้มันโง่สิ้นดี?”
ลู่เหยาเม้มปาก ก้มหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ท่านแม่มักพูดเสมอว่าทำไมถึงให้กำเนิดเด็กที่ไม่มีสมองเช่นข้า ข้า…ข้าไม่มีสิ่งใดที่อยากได้ อีกอย่าง พูดออกไปก็รังแต่จะสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น”
“ข้าควรบอกว่าเจ้าโง่หรือควรบอกว่าเจ้าช่างโง่เขลาดี? ขอแค่ตัวเองสบายใจก็เพียงพอแล้ว เจ้าจะไปสนใจคนอื่นทำไม? เจ้าเองก็ช่วยข้าไว้ตั้งหลายครั้ง มีข้าคุ้มกันเจ้าอยู่ เจ้าจะกลัวสิ่งใด?” องค์รัชทายาทกล่าวพลางตบหน้าอก
ครั้นลู่เหยาเห็นท่าทางอ่อนโยนหลังสุราออกฤทธิ์ของเขา มุมปากก็เหยียดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชาย ท่านเมาแล้ว นอนพักเสียหน่อยเถิด”
ยามที่ลู่เหยาได้ยินเขาพูดว่าคุ้มกันตนนั้น ในใจรู้สึกอบอุ่นโดยไม่ทราบสาเหตุ
แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีใครพูดเช่นนี้กับนาง คอยยืนเคียงข้างนางอย่างมั่นคงเช่นนี้
คนที่แสนดีเช่นนี้ จะไม่ให้ตัวเองชอบได้อย่างไร? แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ ในตอนที่เขากล้าตามจีบพี่หลินซือนั้น ตัวเองได้คอยเฝ้ามองเขาอย่างเงียบ ๆ
ครั้นเห็นองค์รัชทายาทหลับไปแล้ว ลู่เหยาก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ความจริงแล้ว ข้ามีสิ่งที่ข้าอยากได้ แต่เขาอยู่ไกลจากข้ามากเกินไป ข้าตัวเล็กแค่นี้ คงกล้าแค่มองเขาอยู่ไกล ๆ เท่านั้น”
…
เจี่ยงเถิงแบกหลินซือเดินมาถึงแนวสันเขา ที่นั้นเป็นพื้นที่กลางแจ้งขนาดใหญ่ ทั่วทุกพื้นที่เต็มไปด้วยต้นผลไม้นานาชนิด สีสันสดใสงดงามมาก
“ว้าว พี่อาเถิงพี่ดูสิ! งดงามยิ่งนัก ต้นผลไม้เหล่านี้โตขึ้นในป่าหรือ? กินได้ไหม? จะมีพิษหรือไม่?” หลินซือยิงคำถามรัว
เจี่ยงเถิงยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็จูงมือของหลินซือเดินไปข้างหน้า “วางใจเถอะ ผลไม้เหล่านี้ล้วนเป็นผลที่พวกชาวบ้านกินกัน ไม่มีพิษ อีกอย่าง มันอร่อยมากด้วย
หลินซือมองมือของเจี่ยงเถิง แก้มทั้งสองข้างค่อย ๆ แดงระเรื่อ….