ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 551 ตอนนั้นก็สงสัยตัวเองเช่นกัน
บทที่ 551 ตอนนั้นก็สงสัยตัวเองเช่นกัน
บทที่ 551 ตอนนั้นก็สงสัยตัวเองเช่นกัน
องค์รัชทายาทเดินไปไม่ไกลนัก ดูไปแล้วเด็กสาวผู้นั้นคงจะไม่ค่อยฉลาดเท่าไร เขาเป็นห่วงกลัวว่าหลังจากที่ตัวเองเดินออกไปไกลจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
ถึงอย่างไรตนก็เป็นคนพานางมา ถ้าระหว่างทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นนั้นคือความรับผิดชอบของตน เด็กคนนี้ดูท่าจะโง่เขลา คงเสียเปรียบโดยง่าย
จู่ ๆ องค์รัชทายาทพลันคิดถึงเรื่องในอดีต เขาเคยเจอกับแม่นางผู้หนึ่ง มีนิสัยคล้ายคลึงกับลู่เหยา แต่ทำไมตัวเองถึงนึกหน้าของนางไม่ออก บางทีอาจเพราะหลังจากกลับมาเกิดใหม่ความทรงจำจึงเกิดความปั่นป่วน
ยามนั้นเขาเป็นท่านอ๋อง เขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะให้ได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิ จะต้องตื่นเช้านอนดึกเช่นนี้ทุกวัน
ถ้าเขาต้องแอบออกนอกวังโดยไม่บอกผู้เป็นมารดาก็จะปลอมตัวเป็นคุณชายในตระกูลทั่วไป แล้วเที่ยวเตร่อยู่ริมทาง
เขาไม่เคยรู้สึกถึงอิสระเช่นนี้มาก่อน ไม่ต้องเห็นสีหน้าของผู้อื่น ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะทำให้เสด็จพ่อทรงกริ้ว และไม่ต้องถูกเสด็จแม่ตำหนิ
คนทั่วไปมักบอกว่าการได้เป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์นั้นมีบุญวาสนา แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงความเสียใจและความจนปัญญาที่อยู่เบื้องหลังนี้
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาได้เลย ขณะที่เด็กคนอื่นได้ออกไปเล่นข้างนอก เขาต้องฝึกเขียนตัวอักษรทบทวนตำราอยู่ในห้องหนังสือตั้งแต่เช้าตรู่
บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ยามนั้นเขาเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ครุ่นคิดว่าพวกเขาจะเร่งรีบกันไปเพื่อสิ่งใด ขณะที่กำลังเหม่อลอย ก็มีเด็กสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งผู้หนึ่งเดินมาชนตน
“ขอโทษเจ้าค่ะ ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เด็กสาวหวาดกลัว รีบกล่าวขอโทษทั้งน้ำตา
เขาแอบออกนอกวัง ไม่ควรเคลื่อนไหวเสียงดังจนเป็นที่สังเกตเกินไป ดังนั้นจึงปิดปากของเด็กสาวผู้นั้นไว้ “ชู่! ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องร้องไห้”
เด็กสาวเบิกตากว้าง ความเสียใจและความกลัดกลุ้มที่แฝงอยู่ในสายตาคู่นั้น เหมือนลู่เหยามาก
“เจ้าเป็นอะไร? ตอนนี้ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เจ้าแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นเช่นนี้ ไม่กลัวหนาวตายหรือไร?” เขาถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ยามนั้นเขายังไม่รู้ว่าความต่างระหว่างทั้งสองคนนั้นมากเพียงใด บางคนอยู่ดีกินดี ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องและเครื่องนุ่งห่ม บางคนกลับต้องหิวตายเพราะไม่มีอาหารตกถึงท้อง
เด็กสาวลากเขามาในมุมกำแพง จากนั้นก็ก้มหน้าพลางกล่าวว่า “สะ…เสื้อผ้าที่ข้าสวมใส่เป็นของพี่สาวของข้า ครอบครัวของเรามีลูกมาก ท่านแม่จึงไม่สนใจข้า สนใจแต่น้องชาย เขาต้องได้ใส่เสื้อผ้าตัวใหม่อยู่เสมอ ข้าและพี่สาวจึงทำได้เพียงแค่ต้องใส่เสื้อผ้าที่เหลืออยู่”
เขามองนางด้วยความปวดใจ จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองนี้มีที่ไหนน่าสนุกบ้าง? เจ้าพาข้าไปเที่ยวเล่นหนึ่งวัน ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม เป็นอย่างไร?”
เด็กสาวคนนั้นดวงตาเปล่งประกาย “จริงหรือ? เยี่ยมไปเลย ข้าจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้ ที่นั่นจะต้องสนุกมากแน่นอน”
ครั้นเป็นเช่นนี้ เขาจึงตามนางไปยังลำธารแห่งหนึ่งนอกเมือง
เด็กสาวก้าวเท้าลงไปในน้ำ แล้วเอ่ยด้วยความเบิกบานใจ “ที่นี่เป็นที่ที่ข้าชอบที่สุด ท่านดูสิเจ้าคะ ในลำธารเล็ก ๆ แห่งนี้มองเห็นตัวปลาด้วย ท้องฟ้าก็สดใส ที่นี่ข้าสามารถลืมเรื่องกังวลใจทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง ลืมความลำเอียงของท่านแม่ ลืมความต้อยต่ำในสถานะของตัวเอง”
เขาจึงลองหย่อนเท้าลงไปในน้ำเช่นกัน ความเย็นยะเยือกนั้น กลับทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ได้บอกไม่ถูก
ครั้นเห็นเด็กสาวยิ้มอย่างไร้เดียงสา จู่ ๆ เขาก็นึกได้ ‘รอยยิ้มที่งดงามเพียงนี้ ทำให้ข้าอยากปกป้องนางเหลือเกิน โลกใบนี้มีเรื่องต้องจำใจมากมาย แต่เพียงพริบตาเดียวนี้ ข้ากลับบังเกิดความคิดที่อยากจะปกป้องนางไปตลอดชีวิต’
สำหรับพวกเขา ความรู้สึกเพียงชั่ววูบนี้ มันเพียงพอจะให้ความอบอุ่นคงอยู่ไปนานแสนนาน
เพราะในอนาคต มักจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเหมือนกับฤดูหนาวเหน็บที่ต้องเผชิญมากมาย ส่วนความคิดอันอบอุ่นในความทรงจำนี้ ก็มากพอที่จะสนับสนุนให้ตัวเองได้เดินหน้าต่อ
วันนั้นพวกเขาเล่นกับจนพลบค่ำ อาทิตย์อัสดง สายลมอ่อนโชยพัด มีเสียงนกร้องเป็นระยะ ๆ เด็กสาวได้เอ่ยขึ้นว่า “ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ข้าต้องกลับเรือนแล้ว เกิดท่านแม่หาข้าไม่เจอต้องเป็นห่วงข้าแน่….จริงสิ ความจริงแล้วนางไม่มีวันตามหาข้าหรอก แต่ถ้าข้าไม่กลับไปก็จะไม่มีข้าวกิน”
เขานอนอยู่บนต้นหญ้า แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องลงมาบนใบหน้าของเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าเองก็ต้องกลับแล้วเช่นกัน เรือนของข้า ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเจ้า ถ้าข้ากลับไปช้า ท่านแม่ต้องต่อว่าข้าแน่ แถมยังลงโทษข้าด้วย ไม่ให้ข้ากินข้าว ถ้ามีโอกาส คราต่อไปเจ้าพาข้ามาเล่นที่นี่อีกนะ”
เด็กสาวยิ้มตาปิด พลางพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้สิ! เช่นนั้นก็ตามนี้ ต่อไปข้าจะพาท่านมายังฐานลับแห่งนี้”
พวกเขาเกี่ยวก้อยสัญญา เป็นคำมั่นสัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ จะร้อยปีก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใครเปลี่ยนคนนั้นเป็นสุนัข!
ต่อมา พวกเขาก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย และได้กลายเป็นสุนัขในสายตาของอีกฝ่าย
และต่อมา เขาก็ได้เจอกับหลินซือ จนทำให้เขาลืมเด็กสาวคนนั้นไปเกือบหมดสิ้น
มาโลกนี้เขาได้เจอกับลู่เหยา นางไม่ได้ชอบยิ้มเหมือนกับเด็กคนนั้น ตรงกันข้ามมักชอบร้องไห้มากอีกด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด องค์รัชทายาทถึงอยากใกล้ชิดกับนางมากขึ้น เหมือนกับมีความคุ้นเคยบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุกับนาง
องค์รัชทายาทเก็บฟืนกลับมาแล้วก็รีบก่อไฟอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงกวักมือเรียกลู่เหยา “มานั่งนี่สิ ตรงนี้อุ่นกว่า”
ลู่เหยาพยักหน้า และค่อย ๆ เดินไปนั่งลง
องค์รัชทายาทมองกองไฟนั้น สลับกับมองดวงดาวข้างนอก จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เจ้าไม่เคยเจอข้ามาก่อน คิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร?”
ดูเหมือนลู่เหยาจะคาดไม่ถึงว่าเขาจะถามคำถามเช่นนี้ นางครุ่นคิดอยู่ครึ่งวันแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยเจอคุณชายมาก่อน แต่…ท่านแม่มักจะเอ่ยถึงท่านต่อหน้าข้าเสมอ นางบอกว่าแม้ว่าตอนนี้องค์รัชทายาทจะยังเด็ก แต่กลับมีความสามารถ ต่อไปจะต้องกลายเป็นจักรพรรดิ นางยังบอกอีกว่า…”
องค์รัชทายาทยิ้ม เด็กสาวผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก!
การที่ผู้เป็นแม่ของนางกล่าวเช่นนี้ ถ้าผู้อื่นล่วงรู้เข้านางอาจจะถูกตัดสินว่ามีความผิดก็ได้ สามัญชนคนธรรมดาวิพากษ์วิจารณ์เชื้อพระวงศ์ ความผิดนี้เกรงว่ามารดาของนางจะแบกรับไม่ไหว
“อือ? แม่ของเจ้ายังพูดอะไรอีกล่ะ?” องค์รัชทายาทถามขึ้นด้วยความสนใจ
ลู่เหยาหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะเปลวไฟตรงหน้าหรือเพราะคำถามของเขา “นางยังบอกอีกว่า สถานะขององค์รัชทายาทนั้นสูงศักดิ์ ให้ข้า….ให้ข้าหาโอกาสทำความรู้จักกับท่าน”
องค์รัชทายาทหลุดหัวเราะออกมา พลางกล่าวว่า “ข้าควรว่าเจ้าไร้ความคิดหรือควรว่าเจ้าโง่เขลาดี? แม่ของเจ้าก็จริง ๆ เลย คิดการณ์ไกล ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ก็คิดว่าแม่เจ้าน่าจะเป็นคนที่เจ้าแผนการนัก ทำไมถึงมีลูกสาวเฉกเช่นเจ้าได้?”
ลู่เหยาเม้มริมฝีปาก เงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “ท่านแม่ของข้าเองก็พูดเช่นนี้ นางมักพูดว่า เพราะเหตุใดถึงได้มีลูกสาวที่โง่เขลาเช่นนี้? เพราะเหตุใดลูกสาวครอบครัวอื่นถึงได้ใจกว้างและเหมาะสม ฉลาดและมีไหวพริบ ส่วนข้ามักจะขี้ขลาด ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง กระทั่งบางครั้งข้าก็สงสัยในตัวเองว่าเพราะเหตุใด?”
ครั้นองค์รัชทายาทเห็นเด็กน้อยที่กำลังสงสัยในตัวเองตรงหน้า ก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิดไป จึงรีบเอ่ยปลอบใจทันที “เจ้าก็คือเจ้า ทำไมต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นด้วย ถ้าทุกคนในใต้หล้านี้เหมือนกันหมด แล้วมันจะมีอะไรน่าสนใจได้อย่างไร? เจ้าทำในสิ่งที่เจ้าคิดว่าดี ผู้อื่นจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของผู้อื่น”
องค์รัชทายาทพูดกับลู่เหยา ก็เหมือนพูดกับตัวเอง ตัวเองในอดีตชาติ เพื่อชิงดีชิงเด่น จึงทำเรื่องที่ฝืนใจตั้งมากมาย
ตอนนั้นเขาเองก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดตัวเองถึงกลายมาเป็นเช่นนี้? เพราะเหตุใดทุกคนถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเพื่อตำแหน่งนั้น? มันคือสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ หรือ?
ในโลกนี้ ตัวเองได้มาเกิดในร่างขององค์รัชทายาท ไม่ต้องพยายามชิงดีชิงเด่นเช่นนั้นอีกแล้ว นี่คือโอกาสที่ฟ้าเบื้องบนประทานให้ ให้โอกาสได้กลับมาเกิดใหม่
โลกใบนี้ ตัวเองจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ของที่เป็นของตัวเอง ก็ต้องครอบครองมันให้จงได้
…………………………………………………………………………………………………………………………