ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 553 จู้เข่อ
บทที่ 553 จู้เข่อ
บทที่ 553 จู้เข่อ
เจี่ยงเถิงเองก็ทั้งรักทั้งอยากจะหัวเราะออกมา ตั้งแต่เล็กหลินซือก็เป็นเด็กสาวที่อ่อนโยนและกลัวหนูมากที่สุด เจอหนูทีไรก็หวาดกลัวราวกับเจอหมีอย่างไรอย่างนั้น
นางบอกว่าเห็นหนูตัวเล็กเช่นนั้น แต่กัดคนเจ็บนัก
“ตอนนี้ข้าจะจับหนูเอาไปปล่อย อาซือไม่ต้องร้องแล้วนะ”
เจี่ยงเถิงลูบหลังอาซือ และเอ่ยปลอบเด็กสาวต่อไป
เมื่อหลินซือได้ยินว่าเจี่ยงเถิงจะเข้าไปจับหนู เด็กสาวก็ส่ายศีรษะราวกับกลองป๋องแป๋ง “อย่านะ! ข้าไม่อยากให้ท่านเข้าไป! ถ้าโดนหนูกัดขึ้นมาจะทำอย่างไร? ท่านป้าเจี่ยงคงจะไม่ปล่อยข้าไว้ ข้ารับผิดชอบไม่ไหวนะถ้าบุตรชายที่แสนดีของเขาเสียโฉม”
เจียงเถิงหัวเราะ เจ้าเด็กคนนี้นี่ เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางดี
ด้วยวิชาการต่อสู้ของตนเองจะปล่อยให้โดนหนูกัดได้เช่นไรกัน นอกเสียจากหลายปีมานี้การฝึกฝนของเขาไร้ประโยชน์
เมื่อกู้อันผิงพบกับสภาพเช่นนี้ ก็คิดว่าทั้งสองคนนี้คงลำบากแล้ว เพราะตนอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด จึงไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้เท่าไรนัก
“ฮูหยินเจี่ยง ข้าต้องขออภัยจริง ๆ หมู่บ้านของพวกเราไม่ได้รับการซ่อมแซมมานานแล้ว ผู้ที่อาศัยก็ล้วนมีแต่คนชรา เลยไม่ได้สนใจหนูเพียงไม่กี่ตัว จึงทำให้ท่านตกใจ ช่างเป็นความผิดพลาดของข้าเสียจริง ๆ” กู้อันผิงก้าวขึ้นไปกล่าวขอโทษ
หลินซือต้องการจะเอ่ยแย้งฐานะฮูหยินเจี่ยง แต่เจี่ยงเถิงกลับเอ่ยมาเช่นนั้น เด็กสาวเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าพลางส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร เป็นเพราะข้าอ่อนแอเกินไป หนูไม่กี่ตัวแต่กลับตื่นตกใจ อาจจะเป็นเพราะว่าแต่ก่อนไม่เคยเห็น จึงเป็นเรื่องขบขันเช่นนี้ สหายกู้อย่าได้ถือสา”
เจี่ยงเถิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พวกเราคงทำให้สหายกู้รู้สึกขบขันแล้ว ท่านเป็นคนใจกว้าง คุณธรรมสูงส่งเทียมเทียมฟ้า เป็นแบบอย่างให้กับข้า”
กู้อันผิงหัวเราะ “น้องเจี่ยงชมข้าเกินไปแล้ว เอาเช่นนี้สิ ข้าจะเปลี่ยนห้องให้กับฮูหยินเจี่ยง ห้องนั้นมีคนทำความสะอาดตลอด สะอาดสะอ้าน วางใจได้เลย”
ดังนั้น กู้อันผิงพาทั้งสองไปที่ห้องนั้น ขนาดและการตกแต่งภายในห้องนั้นช่างแตกต่างกับห้องอื่น ๆ เมื่อมองดูในตอนแรกก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นห้องของสตรี
“สหายกู้ ที่นี่ มีคนอาศัยอยู่หรือไม่? เมื่อข้ามองดูที่แห่งนี้แล้วไม่เหมือนกับห้องที่ผู้สูงวัยอาศัยอยู่เลย ใช่ห้องของฮูหยินของเจ้าหรือไม่?” หลินซือรู้สึกประหลาดใจจึงเอ่ยถาม
กู้อันผิงตะลึงไปชั่วขณะ ผ่านไปพักหนึ่งกว่าจะกลับมามีสติอีกครั้ง “ที่แห่งนี้เป็นของคนที่ข้ารู้จักเมื่อก่อนอาศัยอยู่ และไม่รู้ว่าเมื่อไรนางจะกลับมา ข้าจึงเหลือห้องห้องนี้เอาไว้ เผื่อว่าวันไหนที่นางกลับมาแล้วจะไม่มีที่พักอาศัย ครั้นจะเปลี่ยนการตกแต่งก็กลัวนางจะโกรธอีก”
ระยะเวลาที่จู้เข่อจากไปก็เป็นเวลาห้าปีแล้ว กู้อันผิงก็ยังรอคอยนับวันเวลารอให้นางกลับมา แต่ก็รอมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ รอจนดอกไม้ที่ร่วงโรยกลับมาบานอีกครั้ง รอจนหลังคาห้องมีหิมะหนาหลายชั้นละลายไปจนกลับมามีหิมะใหม่ นางก็ยังไม่กลับมา
ครั้งแรกที่กู้อันผิงได้พบกับจู้เข่อคือการประลองยุทธ์
หญิงสาวสวมใส่ชุดสีเทา ม่วง และทอง ผูกผ้าไหมคาดเอวสีแดงเข้ม และแขวนถุงเงินลายผีเสื้อและดอกไม้
เวลานั้นชายหนุ่มรู้สึกว่า สวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้แล้วจะเหนือกว่าอย่างไร? นี่ไม่ใช่การประชันความงาม ภายในใจจึงรู้สึกว่านี่ไม่ควรค่าจะทำ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
เมื่อรอให้จู้เข่อออกไปตรงลานประลอง ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้คาดการเอาไว้ ในขณะที่เตรียมตัวจะจากไป ก็พลันได้ยินคนรอบ ๆ โห่ร้องขึ้น
เมื่อหันไป ก็พบจู้เข่อที่เหวี่ยงคนลงจากลานประลองด้วยแส้
หลังจากนั้นการแข่งขันก็ผ่านไปไม่กี่รอบ จู้เข่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามพ่ายแพ้ยับเยิน ภายในใจของกู้อันผิงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าแม่นางท่านนี้จะมีของ การแข่งขันครั้งนี้มีผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศ และไม่ใช่เพราะโชคที่ทำให้พวกเขาสามารถอยู่รอดได้หลายรอบ
กู้อันผิงก้าวไปตีกลองและขึ้นไปยังลานประลอง
“สวัสดีแม่นาง ข้าสกุลกู้ชีวิตนี้สาบานว่าจะไม่ทำร้ายสตรี แต่ข้ามองวรยุทธ์ของแม่นางแล้ว จึงอดที่จะขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ โปรดให้อภัยข้าด้วย” กู้อันผิงโค้งคำนับ
จู้เข่อจ้องมองชายหนุ่มแต่ไม่ได้มองไปที่ดวงตา นางยิ้มเย็นชา “อ๋อ! ช่างโอหังยิ่งนัก ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่าการที่เห็นว่าข้าสามารถเอาชนะผู้คนได้มากมายและเจ้าก็ต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของข้า อย่ากล่าวแบบหน้าซื่อใจคดเลย จะสำคัญตรงไหน? หยุดพูดจาไร้สาระแล้วมาทดสอบกันเถิด!” ว่าพลางนางก็หยิบแส้เคลื่อนเมฆาออกมา
กู้อันผิงเองก็ไม่ใช่คนที่จะยั่วยุได้ง่าย ๆ ชั่วพริบตาชายหนุ่มกระโดดหลบแส้ของนาง และชักกระบี่เจ็ดดาราออกมา และต้องการที่จะพันแส้เอาไว้รอบ ๆ และใครจะรู้ว่าดูเหมือนนางเองก็จะเคยฝึกกระบี่มา เนื่องจากนางเหมือนจะรู้กระบวนท่ากระต่อไปของตน ผ่านไปไม่นานกระบวนท่าของเขาก็ถูกทำลายลง
เวลาต่อมา กู้อันผิงก็ชนะได้อย่างหวุดหวิด เนื่องจากสายรัดที่ผูกไว้บนศีรษะและแส้ของนางพันเข้าด้วยกัน จึงทำให้เวลานั้นไม่สามารถตอบสนองได้ กู้อันผิงถึงได้รับชัยชนะไป
ตามกติกาแล้วกู้อันผิงจำเป็นต้องอยู่ต่อสู้กับผู้ท้าชิงคนต่อไป ใครจะคาดคิดว่าเขาจะโบกมือขึ้น “ทุก ๆ ท่าน เดิมทีข้าไม่ได้ต้องการที่จะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ เพียงแค่เห็นว่าแม่นางผู้นี้มีฝีมือจริง ๆ อยากจะประมือสักครั้งจึงได้ตีกลองไป ข้าไม่เหมาะสมกับสังเวียนนี้ ต้องขอลา” พูดจบก็เดินออกจากสังเวียนไป
จู้เข่อรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับการพ่ายแพ้ครั้งนี้ นางดึงสายรัดศีรษะออก เส้นผมสยายลงมา จึงทำให้นางดูเป็นสตรีมากยิ่งขึ้น
“ช้าก่อนแม่นาง! ใคร่อยากถามว่าวรยุทธ์ของแม่นางศึกษามาจากสำนักใด? ข้ารู้ว่าเช่นนี้อาจเป็นการล่วงเกินไปบ้าง แต่วรยุทธ์ของแม่นางนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ข้าน้อยชื่นชมเป็นอย่างมาก”
กู้อันผิงเดินเข้าไปหาจู้เข่อ แล้วเอ่ยถามหญิงสาว
จู้เข่อไม่ได้สนใจชายหนุ่ม และเดินต่อไปข้างหน้า พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าศึกษามาจากสำนักไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า? วันนี้เจ้าเพียงแค่โชคดีจึงมีชัย ถ้าข้าลงมือจริง ๆ เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
กู้อันผิงพยักหน้า “ใช่ ๆๆ ข้าน้อยชื่นชมทักษะของท่านมาก จะเป็นไปได้ไหมที่จะเชิญแม่นางทานข้าวสักมื้อ?”
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่กู้อันผิงไล่ตามสตรีเช่นนี้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดถึงอยากที่จะอยู่ใกล้ ๆ นาง
คงจะเป็นเพราะท่าทางอันเข้มแข็งตอนอยู่ในสังเวียน หรืออาจจะเป็นเพราะความเฉยเมยที่เย็นชาของนางที่ปฏิเสธผู้คนให้อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ หรืออาจเป็นเพราะความน่ารักและความโกรธเคืองของนางหลังจากแพ้การแข่งขัน
กู้อันผิงเองก็ไม่รู้เพราะว่าเหตุใด แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือเขาสนใจในสตรีผู้นี้
นี่เป็นครั้งแรก ที่เขามีความคิดเช่นนี้กับสตรี
เพื่อนพี่น้องรอบตัวของเขาต่างก็มีภรรยากันหมดแล้ว มักจะหยอกล้อตนที่ยังไม่แต่งงานอยู่บ่อยครั้ง เขาเองก็มักจะบอกว่าตนยังหาคนผู้นั้นยังไม่เจอ จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร
และมันก็กินเวลามาปีกว่า ๆ
ชายหนุ่มล้วนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาปฏิเสธคำเชิญของแม่สื่อแม่ชักไปแล้วกี่หน คนอื่นต่างก็บอกว่าเขาเป็นคนแปลก และกลัวว่าชั่วชีวิตนี้จะหาภรรยาไม่ได้
เขาเองก็ไม่เข้าใจและไม่ได้รีบร้อนมาโดยตลอด เนื่องจากตนเองก็รู้ว่าคนที่รอคอยอยู่นั้นยังไม่ปรากฏตัว แต่เมื่อได้พบกับจู้เข่อที่แกว่งแส้ในตอนนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกว่านางคือคนนั้นที่ตนกำลังตามหา!
จู้เข่อถอนหายใจอย่างเย็นชา และเอ่ยขึ้นด้วยความรังเกียจ “เหตุใดข้าจึงต้องสละเวลาอันมีค่าเพื่อไปทานข้าวกับท่าน? ข้าไม่คบบุรุษเป็นสหาย คุณชายคงจะอ่านสีหน้าคนออก ดังนั้นรีบไปซะ”
กู้อันผิงเหมือนถูกตอกตะปูใส่หน้า แต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมแพ้ จึงเอ่ยต่อ “ถ้าแม่นางไม่อยากทานข้าว เช่นนั้นให้ข้าไปส่งท่านกลับบ้านได้หรือไม่ บ้านของแม่นางอยู่ที่ใด? ไกลจากที่แห่งนี้หรือไม่? กลับบ้านคนเดียวมันอันตราย ให้ข้าไปส่งเถอะ”
จู้เข่อรู้สึกรำคาญบุรุษหน้าด้านผู้นี้จึงขึ้นเสียงใส่ “เจ้าฟังคำพูดของข้าไม่เข้าใจหรือ? ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่สนใจบุรุษ เสียเวลาเปล่า อีกทั้งเจ้าคิดว่าด้วยวรยุทธ์ของข้าแล้วจะทำให้ข้าตกอยู่ในอันตรายหรือ? เกรงว่าอยู่กับเจ้านี่แหละจะไม่ปลอดภัย”
ทันทีที่สิ้นเสียงของจู้เข่อ ก็มีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งออกมา ชายหัวดำเอ่ยขึ้น “คุณหนู กลับกับพวกข้าเถอะขอรับ ผู้อาวุโสตามหาท่านนานแล้ว และข้าขอเตือนว่าอย่าให้พวกเราต้องใช้กำลังเลยขอรับ”
………………………………………………………………………………………………………………………..