ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 564 ความเอาแต่ใจจึงลดลงไม่น้อย
บทที่ 564 ความเอาแต่ใจจึงลดลงไม่น้อย
บทที่ 564 ความเอาแต่ใจจึงลดลงไม่น้อย
ซุนจางไม่ชอบเห็นน้ำตาของสตรีเป็นที่สุด ครั้นเห็นอวี๋ชิวเป็นเช่นนี้ ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พูดปลอบใจ “แม่นางอวี๋อย่าร้องไห้ไปเลย ข้าไม่รู้ว่าโลกของเจ้าจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ หากเจ้าไม่ถือสา ต่อไปถ้าเจ้าเจอเรื่องลำบากให้มาหาข้าได้เสมอ การที่เราได้รู้จักกันนั้นเรียกได้ว่าเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต”
ครั้นอวี๋ชิวได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งซาบซึ้ง ก่อนจะพูดพลางสะอื้นว่า “ขอบคุณคุณชายซุนมากเจ้าค่ะ อวี๋ชิวได้พบท่าน นับว่าเป็นวาสนาของข้า หลายปีมานี้คนที่ข้าเจอะเจอล้วนแต่ดูถูกในความยากจนข้นแค้นของข้า ทำเหมือนกับว่าคนจริงใจเช่นข้าแทบไม่มีเหลือ”
ครั้นซุนจางเห็นเด็กสาวมีน้ำตานองหน้า ก็เกิดความสงสารขึ้นจับใจ “แม่นางอวี๋ ถ้าเจ้าไม่ถือสา เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ซุนก็ได้ ต่อไปเจ้ามีครอบครัวอยู่ในเมืองเพิ่มมาอีกคนแล้วนะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
อวี๋ชิวพยักหน้า พูดพลางสะอื้นไห้ “พี่ใหญ่ซุน อวี๋ชิวได้พบคนที่แสนดีเช่นพี่ ไม่รู้ว่าอดีตชาติข้าได้สั่งสมบุญวาสนามากมายเพียงใดเจ้าค่ะ”
เหยาเอ้อหลางเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว จึงพาซวีจ้าวกลับห้อง
ซวีจ้าวเดินตามหลังเขาไปด้วยสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด
“สหายซุน ข้าและเขามีปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ ต้องกลับประเดี๋ยวนี้เลย รบกวนสหายซุนช่วยพาญาติผู้น้องของข้าไปส่งได้หรือไม่? นางเป็นสตรีตัวคนเดียว กลับคนเดียวข้าไม่วางใจ” เหยาเอ้อหลางแสร้งแสดงท่าทางรีบร้อน
ซุนจางตอบรับโดยไม่คิด หลังจากสอบถามที่อยู่แล้วก็พาอวี๋ชิวกลับที่พักทันที
หลังจากที่องค์รัชทายาทกลับวังก็ตรงไปยังห้องทรงอักษรตั้งแต่แรก เพื่อทูลรายงานสถานการณ์ของตัวเองในคราวนี้กับองค์จักรพรรดิ
“ลูกขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่ได้เข้ามาน้อมทักทายเสด็จพ่อหลายวัน เสด็จพ่อได้โปรดอภัย หลายวันมานี้ทรงสบายดีหรือไม่?” ทันทีที่องค์รัชทายาทเดินเข้าตำหนักก็แสดงความเคารพอย่างนอบน้อม
องค์จักรพรรดิกลั้วหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ขอบใจที่เจ้ายังนึกถึงข้า ช่วงนี้ข้าสบายดี ว่าแต่เจ้าเถอะ หลายวันนี้เจ้าคงได้อะไรกลับมาบ้าง”
องค์รัชทายาทชะงักไป จากนั้นก็ก้มหน้าพลางกราบทูลว่า “เสด็จพ่อได้โปรดอภัย หลังจากที่ลูกออกนอกวังลูกได้เจอกับพี่หลินซือและคนอื่น ๆ บังเอิญว่าพวกเขากำลังจะไปเที่ยวเล่นในชนบทพอดี ลูกห่วงเล่น จึงตามพวกเขาไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิคลี่ยิ้มจนพระเนตรเป็นเส้นตรง มองไม่เห็นความรู้สึกภายใน พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใด เหมือนกับกำลังบอกให้เขาพูดต่อ
“แม้ว่าลูกจะตามพวกเขาไปเที่ยวเล่นในชนบท แต่คราวนี้ลูกได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่าที่คาดคิดไว้ ลูกบังเอิญไปเจอพื้นที่หลังภูเขาแห่งหนึ่ง ที่นั้นเป็นพื้นที่โล่งแจ้งขนาดใหญ่ ทั้งยังเต็มไปด้วยดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ หลายปีมานี้ได้เกิดภัยพิบัติอยู่บ่อยครั้ง ชาวบ้านส่วนใหญ่แทบจะต้องอดตาย ข้าจึงคิดจะอพยพพวกชาวบ้านไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น เช่าที่ดินให้พวกเขา ให้พวกเขาพึ่งพาตัวเองได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทกราบทูลอย่างไม่สบายใจ
เขาไม่มั่นใจว่าองค์จักรพรรดิจะจัดการเขาอย่างไร ครั้งนี้ตัวเองทำผิดพลาดโดยแท้จริง เดิมทีองค์จักรพรรดิอยากให้เขาออกไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของประชาชน แต่ตัวเองกลับไปเที่ยวเล่น ไม่ตั้งใจปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง
เดิมทีตัวเองยังถูกกักบริเวณ การที่องค์จักรพรรดิทรงอนุญาตให้ตัวเองออกนอกวังนับว่าเป็นพระคุณอันล้นพ้น
เวลาผ่านไป องค์จักรพรรดิยังคงไม่ตรัสสิ่งใด องค์รัชทายาทคิดว่าตนนั้นคงจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าเสียแล้ว จึงรีบปาดเหงื่อบนศีรษะ “เสด็จพ่อได้โปรดอภัย ลูกรู้ผิดแล้ว ได้โปรดเสด็จพ่อทรงลงโทษลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ลงโทษอะไรกัน? เจ้าช่วยจัดการปัญหาใหญ่ให้ข้าต่างหาก ข้ายังไม่ทันจะได้ตบรางวัลให้เจ้า เหตุใดถึงมาขอให้ข้าลงโทษเจ้าด้วย?” จู่ ๆ องค์จักรพรรดิก็ทรงสรวลออกมา
องค์รัชทายาทงุนงง จากนั้นก็คุกเข่าลงโดยไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
องค์จักรพรรดิจึงตรัสต่อ “องค์รัชทายาท เจ้ายังเด็ก เรื่องห่วงเล่นข้าพอเข้าใจได้ แต่ในฐานะที่เป็นองค์ชาย จะต้องเห็นประชาราษฎร์เป็นอันดับแรกก่อนเสมอ ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘น้ำพยุงเรือให้ลอยได้ และน้ำก็สามารถจมเรือได้เช่นกัน’ แม้ว่าคราวนี้เจ้าจะทำภารกิจที่ข้ามอบหมายให้เจ้าไม่สำเร็จ แต่การที่เจ้านึกถึงราษฎรนั้นบ่งบอกได้ว่าในใจของเจ้ามีแต่ปวงประชา ครั้งนี้ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า เพราะเจ้ามีใจให้ความสำคัญกับราษฎร”
องค์รัชทายาททอดถอนใจ จากนั้นก็คำนับกราบศีรษะโขกพื้น “ลูกขอบพระทัยในพระกรุณาของเสด็จพ่อ ลูกจะจดจำคำสอนของเสด็จพ่อไว้ จะเป็นห่วงปวงประชาทุกลมหายใจ กระทำการอันใดจะคำนึงถึงราษฎรเป็นสำคัญเสมอพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิมององค์รัชทายาท พลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เอาละ หลายวันนี้เจ้าคงเหน็ดเหนื่อยแย่ กลับไปเถอะ”
องค์รัชทายาททำความเคารพ และกลับไปยังตำหนักตะวันออก
องค์จักรพรรดิยังคงประทับอยู่บนเก้าอี้ ครั้นเห็นภายในตำหนักไร้ซึ่งผู้คน ในใจก็พลันรู้สึกอ้างว้าง ชาวโลกล้วนแต่คิดว่าองค์จักรพรรดิทรงเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก แต่ใครเล่าจะรู้ ยิ่งสูงยิ่งหนาว ตำแหน่งนี้มันถูกกำหนดไว้ให้โดดเดี่ยว
โชคดี ที่ยังมีเซี่ยเชียนคอยอยู่เป็นสหายตน ทำให้เก้าอี้ที่นั่งอยู่ไม่รู้สึกเหน็บหนาวเพียงนั้น เขายังจำบทกวีที่เคยอ่านได้ ‘เมื่อใดหนอ ดอกไม้ยามวสันต์ พระจันทร์ในคืนสารท จักจบสิ้น รู้หรือไม่ว่า ข้ามีความหลังฝังใจมากเพียงใด?’ ยามนั้นองค์จักรพรรดิทรงไม่เข้าใจความเศร้ารันทดที่แฝงอยู่ภายใน แค่รู้สึกว่ากวีบทนี้ได้บอกถึงชีวิตขององค์จักรพรรดิองค์ก่อนที่สิ้นพระชนม์ไปคนแล้วคนเล่า
“ทหาร ไปเรียกเซี่ยเชียนมาพบข้า!” องค์จักรพรรดิออกคำสั่ง
ไม่ว่าอย่างไร เซี่ยเชียนก็ยังอยู่ข้างกายตนเสมอ ขอแค่ตนต้องการ เขาจะปรากฏตัว โดยไม่ต้องหันกลับ เพราะเขาจะยังอยู่ตรงนั้นเสมอ
ตาเฒ่าผู้นั้นยังคงรักษากฎระเบียบระหว่างกษัตริย์และขุนนางเสมอ บางครั้งองค์จักรพรรดิก็ทรงคิดว่าจะทำอย่างไรให้เขารู้ว่าตนปฏิบัติกับเขาแตกต่างจากผู้อื่น
เมื่ออยู่ต่อนหน้าเขา องค์จักรพรรดิมักจะไม่รู้สึกว่าตัวเองคือองค์จักรพรรดิ
เซี่ยเชียนกำลังศึกษาตำราโบราณอยู่ในจวน ครั้นคนในวังหลวงเรียกตนเข้าวัง เขาจึงต้องวางตำราโบราณที่มีคุณค่าในมือลง จากนั้นก็แต่งกายเต็มยศและรีบตรงเข้าวัง
ระหว่างทางที่เดินเข้าวังเซี่ยเชียนที่อยู่ไกลออกไปเห็นอวี๋จือมายืนรอตนอยู่หน้าประตูวังแล้ว เด็กคนนี้ เหตุใดถึงรู้ข่าวรวดเร็วเช่นนี้? ทุกครั้งที่เข้าวังจะต้องเจอเขาทุกที
“ศิษย์ขอทำความเคารพอาจารย์ขอรับ! ศิษย์ไม่ได้เจออาจารย์มานานมากแล้ว อาจารย์คงจะยุ่งอยู่กับการศึกษาตำราโบราณจึงเก็บตัวไม่ยอมออกมา” อวี๋จือเดินมายังข้างกายของเซี่ยเชียนจากนั้นก็เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เขาเป็นลูกศิษย์ที่เซี่ยเชียนโปรดปรานที่สุด ภายนอกของเด็กคนนี้มักจะทำตัวเอ้อระเหยลอยชายไม่ได้ความ แต่ความจริงแล้วเขามีความคิดของตัวเองอยู่ในใจ รู้ว่าตัวเองอยากทำสิ่งใด รู้ว่าจะช่วงชิงอย่างไร
เซี่ยเชียนเคาะศีรษะของอวี๋จืออย่างเบามือ พลางเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ชักยุ่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ทุกครั้งที่ข้าเข้าวังก็มักจะเจอเจ้าเสมอ เจ้าไปเอาข่าวรวดเร็วขนาดนี้มาจากที่ไหน? ว่างทุกวันเช่นนี้ ข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิและรายงานต่อพระพักตร์ว่าเจ้าไม่ทำงาน ไม่คำนึงถึงบ้านเมือง”
อวี๋จือก้มหน้าลง จากนั้นก็พูดอย่างกล้าหาญ “อาจารย์ไม่ทำหรอกขอรับ อาจารย์ดีกับข้าเสมอ อีกอย่างข้ามักจะออกมาหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในทุกวัน อาจารย์ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ สถานที่ที่ข้าอยู่ถ้าไม่ทำงานให้เรียบร้อย เกรงว่าข้าคงได้นอนจมกองน้ำลายเป็นแน่”
เซี่ยเชียนยิ้ม ผู้บังคับบัญชาของอวี๋จือเป็นคนที่ดื้อรั้น คงจะพูดอะไรไม่ได้
แต่อวี๋จือกลับเป็นคนที่มีความสามารถ ทำให้ตาเฒ่าผู้นั้นยอมรับได้ นิสัยความเอาแต่ใจจึงลดลงมากโข
“จริงสิ วันนี้ที่อาจารย์เข้าวังก็เพื่อสอนตำราองค์รัชทายาทใช่หรือไม่ขอรับ? ข้าได้ยินว่าวันนี้องค์รัชทายาทเพิ่งกลับวัง จะไม่ให้เขาได้พักผ่อนหน่อยหรือขอรับ?” อวี๋จือขมวดคิ้วถาม
เซี่ยเชียนมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก่นด่าออกไป “เจ้าเด็กคนนี้ ตั้งใจหลอกถามข้าหรือไร? อาจารย์ของเจ้าอาบน้ำร้อนมากกว่าเจ้า ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเรียกตัวข้าต่างหาก บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากปรึกษา เจ้าอย่าได้คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ต้าหลางจะแต่งงานแล้ว รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินค่ะ
มีสหายรู้ใจแล้วก็ไม่คิดแต่งงานล่ะสิเอ้อหลาง อะไรๆ ก็นึกถึงแต่ซวีจ้าวนะ หวั่นไหวกับเขาแล้วล่ะสิ ส่วนฝ่าบาทกับท่านเซี่ยก็ให้อารมณ์ผูกพันเหมือนคู่แต่งงานเก่าที่อยู่ด้วยกันมานานแล้วจริงๆ
เรือแล่นแรงมาก แฮปปี้
ไหหม่า(海馬)