ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 579 เหยาเอ้อหลางหักหลัง
บทที่ 579 เหยาเอ้อหลางหักหลัง
บทที่ 579 เหยาเอ้อหลางหักหลัง
ภายในห้อง เพราะเรื่องเมื่อครู่ทำให้หลินซือตื่นตระหนกตกใจจนต้องทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ บรรดาสาวใช้จึงต้องเข้ามาปลอบใจนางไม่หยุด
เหยาซูไม่ได้เอ่ยเอื้อนสิ่งใด นอกจากเดินออกไป
เรื่องนี้ใหญ่โตมากเพียงนี้ ต้องสร้างความตกใจให้กับองค์จักรพรรดิแน่นอน
หลังจากได้ยินเรื่องที่องค์รัชทายาททำ องค์จักรพรรดิก็ทรงมีรับสั่งเรียกตัวเซี่ยเชียนเข้าวังทันที
เซี่ยเชียนอยู่นอกวัง รู้เรื่องนี้เร็วยิ่งกว่าองค์จักรพรรดิ ดังนั้นตอนที่คนขององค์จักรพรรดิมาถึง เขาก็เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ตามคนในวังเข้าวังหลวง
ครั้นถึงห้องทรงอักษร เซี่ยเชียนตรงเข้าไปโดยไม่ต้องกล่าวรายงาน เมื่อองค์จักรพรรดิเห็นเซี่ยเชียนปรากฏตัวก็วางตำราในมือลง
“มาแล้วหรือ?”
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงเรียกกระหม่อมเข้าพบ มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารู้แต่ว่าข้าเรียกเจ้าก็ต่อเมื่อมีเรื่อง หากไม่มีเรื่องอันใด ข้าคงเรียกเจ้าไม่ได้ใช่หรือไม่?”
ครั้นเห็นท่าทางจงรักภักดีของเซี่ยเชียน องค์จักรพรรดิก็กัดฟันกรอดด้วยความขุ่นเคือง
เมื่อครั้งวัยเยาว์ เซี่ยเชียนเคยทะเลาะกับเขา จนกระทั่งมีปากเสียงกัน แต่หลังจากทั้งสองคนอายุมากขึ้น เซี่ยเชียนกลับยิ่งให้ความเคารพเขามากขึ้น ทุกครั้งเขาอยากยั่วโมโหอีกฝ่าย ผลลัพธ์สุดท้ายก็มักจะโกรธตัวเองเสมอ
“ได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ คำสั่งขององค์จักรพรรดิคือพระราชโองการ ใครเล่าจะกล้าขัด”
“เอาละ นิสัยเจ้าไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย เรื่องในวันนี้เจ้าคงได้ยินมาแล้วกระมัง?”
เรื่องที่องค์จักรพรรดิทรงเอ่ยถึงคือเรื่ององค์รัชทายาท เซี่ยเชียนย่อมรู้แน่นอน
“กระหม่อมผิดเองพ่ะย่ะค่ะ ที่อบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทไม่ดีพอ”
เซี่ยเชียนเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาท มีหน้าที่อบรมสั่งสอนองค์รัชทายาท ดังนั้นการที่เขาขอรับโทษด้วยตนเองเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
“ปกติแล้วเจ้ามักจะเฉยเมยต่อทุกสิ่ง เหตุใดครั้งนี้เมื่อเกี่ยวกับหลานสาวของเจ้า เจ้ากลับยอมรับเร็วเพียงนี้”
“ถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับหลานสาวของกระหม่อม กระหม่อมก็จะทำเช่นนี้ แต่สำหรับกระหม่อม องค์รัชทายาทยังทรงเยาว์วัย จึงอ่อนในเรื่องความรัก ทั้งยังมีช่องว่างระหว่างวัย ได้โปรดองค์จักรพรรดิอย่าได้ลงโทษองค์รัชทายาทสถานหนักเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเห็นเซี่ยเชียน องค์จักรพรรดิก็พลันรู้สึกว่าตัวเองแก่ลงทันใด
หลายปีมานี้ เขาต้องใช้ ‘สติปัญญาและความกล้าหาญ’ ในการสู้กับเซี่ยเชียน จู่ ๆ เซี่ยเชียนก็เปลี่ยนแผนการ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป
แต่ที่เซี่ยเชียนพูดก็ถูกต้อง ครั้งนี้เขาไม่คิดจะลงโทษองค์รัชทายาท ก่อนหน้านั้นเขามักรู้สึกว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่โอรสของเขา ดังนั้นจึงได้ทำตัวห่างเหิน
แต่ตอนนี้องค์รัชทายาทมีความกล้าหาญยิ่งกว่าเขาในตอนแรกมากโข มิเช่นนั้นไม่มีทางทำเรื่องในวันนี้แน่
แต่ถ้าเขามีความกล้าหาญมากกว่านี้ กระทั่งย่างก้าวนั้นออกไป วันนี้ทุกอย่างก็คงไม่เป็นเช่นนี้ โดยสรุปแล้วความขี้ขลาดของเขาก็ทำให้เขาก้าวพลาด
“กล้าหาญ? ก็เป็นเช่นนี้จริง ๆ ในเมื่อเจ้าวิงวอนแทนเขา ข้าก็จะเห็นแก่หน้าเจ้า เช่นนั้นเจ้าเสนอมาสิว่าจะลงโทษเขาอย่างไรถึงจะดี?”
ความจริงแล้วองค์จักรพรรดิทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่ผมของเขาขาวโพลนแทบทั่วศีรษะเช่นนี้ แต่ปกติแล้วคนที่รับหน้าที่หวีผมให้เขามักจะเก็บซ่อนไว้อย่างดี มีแค่ตัวเขาที่รู้ว่าเขาไม่ได้อ่อนเยาว์เหมือนแต่ก่อน
แต่เซี่ยเชียนก็ไม่ต่างกันเสียเท่าไร ครั้นเห็นใบหน้าของเซี่ยเชียนค่อย ๆ ปรากฏริ้วรอย ก็อดทอดถอนใจกับเวลาที่ไร้ความปรานีไม่ได้ พวกเขาต่างก็มีอายุที่มากขึ้น ‘สู้’ กันมาทั้งชีวิต วันข้างหน้าก็ยังต้องเดินต่อไปด้วยกัน ชีวิตถึงจะมีสีสัน
“ช่วงนี้กระหม่อมได้ยินมาว่าคุณหนูลู่เหยาผู้นั้นและองค์รัชทายาททรงสนิทกันมาก มิสู้ให้คุณหนูลู่เหยาไปโน้มน้าวองค์รัชทายาท หากองค์รัชทายาทเชื่อฟังก็ดีไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล เรื่องนี้ข้ามอบหมายให้เจ้าไปจัดการแล้วกัน เซี่ยเชียน เราต่างก็อายุเยอะแล้ว เจ้าไม่ต้องระแวดระวังข้า ข้าไม่แตะต้องตระกูลหลินแน่นอน อย่างน้อยยามเจ้าอยู่มันจะไม่เกิดขึ้น”
ครั้นองค์จักรพรรดิเห็นท่าทางของเซี่ยเชียน จึงเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา
เขาเข้าใจความกังวลของเซี่ยเชียน ใช่ กษัตริย์แต่ละช่วงยุคสมัย ใครบ้างเล่าจะไม่เป็นกังวลตำแหน่งที่ตนครองอยู่ เขาเองก็เหมือนกัน
แต่เซี่ยเชียนยังอยู่ เรื่องอื่นเขาสามารถปล่อยวางได้ เพียงเพื่อมิตรภาพตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบใหญ่
“กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงตรัสสิ่งใด ในเมื่อฝ่าบาทไม่มีเรื่องอันใดแล้ว กระหม่อมขอตัวลาพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเชียนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่องค์จักรพรรดิกล่าว แล้วเดินออกจากห้องทรงอักษรไป
เรื่องนี้เหมือนกับไม่ได้มีปัญหามากเพียงนั้น แม้ว่ามันจะผ่านไปเช่นนี้ แต่คนภายในต่างรู้ดี ถ้าไม่จัดการให้ดี เกรงว่าตระกูลหลิน ตระกูลเซี่ย ตระกูลเจี่ยง องค์รัชทายาทก็คงถูกดึงมาเกี่ยวข้องทั้งหมด ดังนั้นทุกคนต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งใจเสียยกใหญ่
อีกด้านหนึ่ง
เหยาเอ้อหลางก็มาถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว เหยาเฉาและสะใภ้รองเหยาต่างพาหญิงงามในเมืองหลวงมาให้เหยาเอ้อหลางดูตัวนับไม่ถ้วน
แต่ก็ต้องจนปัญญากับความเอาแต่ใจของเหยาเอ้อหลาง ไม่ใช่เพราะเขาไม่ไปดูตัว กลับกันเขาให้ความสำคัญกับการดูตัวทุกครั้ง แม้ปากจะบอกว่าไปดูตัวคุณหนู แต่ก็ทำคุณหนูเหล่านั้นโกรธจนต้องร้องไห้ไปเสียทุกครั้ง
ยกตัวอย่างเช่น ไฝบนหน้าของคุณหนูตระกูลจางที่ดูเหมือนจุดดำ มันส่งผลกระทบต่อจิตใจเวลาเขากินข้าว แต่ความจริงแล้วถ้าไม่สังเกตดี ๆ ไม่มีทางมองเห็น
ไหนจะริ้วรอยบนใบหน้าของคุณหนูตระกูลหวังนั่นอีก ที่เหมือนกับหญิงชราวัยห้าสิบถึงหกสิบปี ทุกคนต่างรู้ดีว่าเรื่องที่ผู้หญิงกลัวที่สุดคือการถูกคนอื่นกล่าวหาว่าแก่ ผลลัพธ์ปรากฏว่ายังไม่ทันที่เหยาเอ้อหลางจะเอ่ย คุณหนูตระกูลหวังผู้นั้นก็จากไปแล้ว ทำให้สะใภ้รองเหยาทั้งร้อนใจทั้งโกรธเคือง
เหตุใดถึงได้เอาแต่ใจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่กลับมาจากค่ายทหาร การพูดการจาก็ดูจะหยาบคายมากขึ้น แม้แต่สะใภ้รองเหยาก็ยังทนพูดกับเขาไม่ได้
หลังจากที่เหยาเฉารู้เรื่อง เขากลับไม่ได้ทำเหมือนกับสะใภ้รองเหยา ถ้าต้องบังคับให้เขาไปดูตัวอีก เขาก็แค่ขังเหยาเอ้อหลางไว้ในจวน แล้วออกคำสั่ง ถ้าเหยาเอ้อหลางไม่แต่งงาน เช่นนั้นก็ห้ามออกไปไหน
เหยาเอ้อหลางเป็นเด็กกระตือรือร้น พูดมาก ไม่ให้เขากินข้าวก็ได้ แต่ไม่ให้เขาออกจากจวนมันเป็นเรื่องที่ทุกข์ใจยิ่งกว่าการคร่าชีวิตของเขาเสียอีก แต่เหยาเฉาก็เอาแต่ใจไม่ใช่เล่น ทั้งสองคนเป็นเช่นนี้ จึงไม่มีใครยอมให้ใคร
เดิมทีสะใภ้รองเหยาอยากจะขอร้องให้เหยาเอ้อหลาง แต่การจะชดเชยความผิดให้กับคุณหนูเหล่านั้นก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว จึงทำได้แค่ยกเลิกความคิดนี้ไป
ให้ตัวปัญหาอย่างเขาถูกกักขังอยู่ในจวนสักสองสามวันก็ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้ออกไปทำร้ายสตรีคนอื่น มิเช่นนั้นแม้แต่ของขวัญขอโทษก็คงจะไม่พอ ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาคิดได้อย่างไร
กลับเป็นเหยาเอ้อหลาง ก่อนหน้านั้นเขาสามารถออกไปไหนมาไหนได้โดยไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ต้องอยู่ในจวน เรียกได้ว่าน่าเบื่อเกินบรรยาย แม้แต่คนคุยด้วยก็ไม่มีสักคน
เขายังนึกถึงสีสันของการได้ออกไปข้างนอกอย่างอิสระ กระทั่งเริ่มทำสงครามประสาทกับเหยาเฉาในทุกวัน เขาไม่เชื่อว่าตระกูลเหยาจะกักขังเขาได้
น้อยนักที่เหยาเฉาจะมีความกระตือรือร้น ถึงขั้นไปดูเหยาเอ้อหลางที่พยายามคิดหาทาง โดยไม่เตือนเขาล่วงหน้า ไม่เร่งรัดให้เขาไปดูตัวกับคุณหนู เขายังไม่เชื่อว่าตัวเองจะดัดนิสัยลูกชายไม่ได้ ถ้าไม่แต่งงาน ก็อย่าหวังจะได้ออกไป อยู่แต่ในจวนเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว!
คนอื่นอาจจะใจอ่อน แต่เหยาเฉาไม่มีทาง เขาเข้าใจนิสัยของลูกชายที่สุด ถ้าครั้งนี้เขาหนีไปได้ การจะขังเขาอีกในครั้งต่อไปย่อมยากยิ่งกว่าเดิม
ครั้นเป็นเช่นนี้ จึงรอเวลาเมื่อตัวเองว่าง จะได้คุยกับสะใภ้รองดี ๆ เมื่อรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ถึงจะโน้มน้าวเขาได้
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ในที่สุดก็สารภาพรักกันเสียที เฮ้อ ลุ้นมายาวนานมากว่าเมื่อไหร่อาซือจะรู้ใจตัวเองหนอ
ยอมรับความจริงเถอะองค์รัชทายาท อย่าได้บังคับข่มเหงน้ำใจพี่อาซือเลย ชาตินี้นางไม่ได้เป็นของท่านแล้ว
จะบอกยังไงดีน้า ว่าคนในใจของเหยาเอ้อหลางคือสหายซวีจ้าวผู้นั้น
ไหหม่า(海馬)