ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 598 อิจฉา
บทที่ 598 อิจฉา
บทที่ 598 อิจฉา
“พี่หลินซือ ปกติท่านป้าซูยุ่งมากหรือไม่เจ้าคะ?”
ลู่เหยามองท่าทีรีบร้อนของเหยาซู ที่ดูจะไม่ได้สนใจหลินซือมากนัก
ลู่เหยารู้ดีว่าเหยาซูและหลินเหรามักจะออกไปเที่ยวชมธรรมชาติด้วยกันอยู่เสมอ ไม่ค่อยอยู่ดูแลหลินซือสักเท่าไร แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกลับดูเป็นธรรมชาติ
“อื้อ ท่านแม่ต้องไปดูแลร้าน ช่วงนี้เลยค่อนข้างยุ่ง ข้าเองก็ไม่ค่อยได้เจอกับท่านแม่สักเท่าไร”
“แบบนั้นพี่กับท่านป้าซูไม่ห่างเหินกันแย่หรือ?”
“ไม่นะ ข้ารู้ว่าท่านแม่ยุ่งมากขนาดนี้เพื่อข้า”
“ข้าล่ะอิจฉาพี่ยิ่งนัก” ลู่เหยาอดพูดประโยคนี้ออกมาไม่ได้
นางไม่เคยสัมผัสบรรยากาศภายในครอบครัวของหลินซือมาก่อน แต่ในเวลานี้ นางกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นได้จากความสัมพันธ์เมื่อครู่ของหลินซือและเหยาซู
“ไม่ต้องอิจฉาข้าหรอก น้องลู่เหยา ท่านแม่เคยบอกข้าว่า ทุกครอบครัวมีรูปแบบการกระชับความสัมพันธ์แตกต่างกัน”
“อื้อ ข้ารู้”
“น้องลู่เหยา ข้ายังทำว่าวไม่เสร็จ เจ้ามาทำว่าวกับข้าดีหรือไม่?”
หลินซือไม่ถนัดปลอบใจผู้อื่น ดังนั้นในตอนที่บทสนทนาของลู่เหยากำลังเข้าสู่ความตึงเครียด นางจึงรีบเชิญชวนลู่เหยามาทำว่าวด้วยกัน
“ข้าทำได้หรือ? ข้าไม่เคยทำมันมาก่อน”
“ไม่เป็นไร เราทำกันเล่น ๆ ไม่ต้องกดดันมากเพียงนั้น”
“งั้นก็ได้” ครั้นได้ยินคำพูดของหลินซือ ลู่เหยาจึงตอบรับ
หลินซือนำทางลู่เหยาเข้ามาในห้องที่อยู่ถัดไป ซึ่งภายในเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำว่าวหลากหลายชนิด และยังมีสิ่งของที่คล้ายกับรูปว่าวบางส่วน
“เอ่อ…ของพวกนั้นเป็นของที่ข้าทำไว้ก่อนหน้านั้น มันไม่ค่อยสวยน่ะ ข้ายังต้องเรียนรู้อีกเยอะ” ครั้นเห็นสายตาของลู่เหยามองว่าวที่ทำไว้ก่อนหน้านั้นของตัวเอง หลินซือก็รีบพูดด้วยความรู้สึกเขินอายทันที
“อย่างนี้นี่เอง”
ลู่เหยาละสายตากลับมามองหลินซือที่ค่อย ๆ ทำอย่างประณีต จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์บนโต๊ะ แล้วทำตามหลินซือ
เวลานี้ สาวใช้ได้ยกขนมที่ทำเสร็จแล้วเข้ามา หลินซือและลู่เหยากินขนมไปพลาง ทำว่าวไปพลาง เวลาผ่านไปอย่างยากลำบาก
พริบตาเดียว ช่วงบ่ายของวันก็ผ่านพ้นไป
ในตอนที่เหยาซูส่งคนรับใช้มาเรียกทั้งสองคนกินข้าวนั้น ใบหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยเศษกระดาษ ส่วนบนโต๊ะก็ระเกะระกะไปด้วยไม้ที่ถูกทำจนชำรุดไปแล้วหลายชิ้น
หลังจากล้างมือเรียบร้อยแล้ว หลินซือก็พาลู่เหยาไปกินข้าวด้วยกัน
วันนี้หลินเหรามีงานด่วนในค่ายทหาร จึงส่งคนมาแจ้งข่าวกับเหยาซูล่วงหน้าแล้ว
ดังนั้นในตอนที่กินอาหาร บนโต๊ะนอกจากหลินซือและลู่เหยาแล้ว ก็มีแค่เหยาซูและหลินจื้อสองคนเท่านั้น สำหรับพี่ใหญ่ของหลินซือคนนี้ ลู่เหยายังเกรงกลัวอยู่เล็กน้อย
“น้องลู่เหยาเจ้าต้องกินเยอะ ๆ นะ ปกติแล้วท่านแม่กลัวข้าจะกินเยอะเกินไป ไม่ค่อยให้ในครัวทำอาหารเหล่านี้ วันนี้ข้าคงต้องขอพึ่งบารมีของเจ้าเสียแล้ว”
หลินซือตักขนมที่ตกแต่งอย่างประณีตงดงามชิ้นหนึ่งใส่ชามของลู่เหยา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่หลินซือ”
“ไม่ต้องเกรงใจ”
ครั้นได้ยินคำพูดของลู่เหยา หลินซือได้แต่ส่งยิ้มให้กับนาง เผยให้เห็นถึงเศษผงของขนมที่เพิ่งกินเข้าไปเมื่อครู่อย่างชัดเจน ดูไปแล้วช่างน่าขันยิ่งนัก
หลินจื้อเห็นท่าทางของน้องสาว ก็อดไม่ได้ หยิบผ้าเช็ดหน้าในอ้อมแขนของตัวเองออกมายื่นให้กับหลินซือเพื่อให้นางเช็ดปาก
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่” นางรับผ้าเช็ดหน้า แล้วเช็ดอย่างลวก ๆ ไม่ได้ใส่ใจ
หลินจื้อเห็นแล้วก็ได้แต่ปล่อยนางไป
“ลู่เหยา ไม่ต้องเกรงใจ กินเยอะ ๆ นะ” เหยาซูกล่าวกับลู่เหยา
“อื้อ ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านป้าซู” ครั้นลู่เหยาเห็นเหตุการณ์บนโต๊ะ ในใจก็อดอิจฉาไม่ได้ นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเวลากินข้าวสามารถทำเช่นนี้ได้
เมื่อกินอาหารเสร็จ ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง ลู่เหยาจึงได้กล่าวลาหลินซือขอตัวกลับจวน
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ตู้เหิงไม่เคยอยู่รอนางกินข้าวด้วยกัน แค่ส่งคนมาดูว่านางกลับมาแล้วหรือไม่ โดยไม่พูดสิ่งใด
นางได้แต่หอบเอาความรู้สึกผิดหวังกลับห้องของตัวเอง ลู่เหยารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง
แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นขององค์รัชทายาทจะทำร้ายหัวใจนาง แต่ก็ไม่เป็นไร นางจะเป็นลู่เหยาที่ชื่นชอบองค์รัชทายาทคนนั้นต่อไป
ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ หลินซือต้องเวียนวนอยู่กับคำสั่งเสียแล้วซ้ำเล่าของเหยาซู จนในที่สุดก็ได้ออกเดินทางไปพร้อมกับเจี่ยงเถิง
เพราะภารกิจในครานี้ไม่ค่อยรีบร้อนนัก ประกอบกับคำแนะนำด้วยความหวังดีขององค์จักรพรรดิ เจี่ยงเถิงจึงได้เพลิดเพลินกับบริการโดยรถม้าที่นาน ๆ ทีจะมีสักครั้ง ไม่ได้ควบม้าไปเหมือนแต่ก่อน
“อาซือ เจ้าหิวไหม? อยากกินอะไรหรือไม่?”
เจี่ยงเถิงเอ่ยกับหลินซือ
อาจจะเพราะสั่นสะเทือนไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ดังนั้นใบหน้าของหลินซือจึงซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด
“พี่อาเถิงอย่ากังวลไปเลย ข้าไม่เป็นไร”
หลินซือเกลียดชังความไม่เอาไหนของตัวเองเงียบ ๆ ในใจ ได้แต่คาดหวังว่าหลังจากนี้มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นบ้าง
“ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าทนไม่ไหวให้รีบบอกข้า เราจะพักรถกัน เข้าใจหรือไม่?”
เจี่ยงเถิงเข้าใจหลินซือดี หากนางต้องการจะทำสิ่งใดแล้ว นางจะอดทนจนถึงที่สุด
“ข้าไม่เป็นไร แค่ตื่นเต้นเกินไป เลยปรับตัวไม่ได้เท่านั้น พี่อาเถิง เราออกนอกเมืองแล้วใช่หรือไม่?”
หลินซือเปิดม่านหน้าต่างแล้วมองหญ้ารกร้างข้างนอก
“เราออกนอกเมืองมาแล้ว ระยะห่างตอนนี้ก็น่าจะห้าสิบลี้เห็นจะได้ อาซือ เจ้าจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างออกไป ด้านนั้นมีต้นไม้สีเขียวขจี ช่างงดงามยิ่งนัก”
“จริงหรือ? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน พี่อาเถิงเคยไปไกลถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
“ไม่แน่ใจ บางครั้งก็ใกล้ บางครั้งก็ไกล แต่จุดมุ่งหมายในทุกครั้งล้วนไม่เหมือนกัน”
เจี่ยงเถิงอธิบายที่เรื่องที่ตัวเองเจอะเจอมาให้กับหลินซือฟังอย่างอดทน เขาค่อย ๆ สาธยายอย่างชัดถ้อยชัดคำ คำพูดที่ราบเรียบและจนปัญญากลับทำให้หลินซือรู้สึกสงบอย่างไม่ทราบสาเหตุ
สุดท้ายหลินซือก็หลับไหลอยู่ในรถม้าที่โคลงเคลงไปมา
…………………………………………………………………………..