ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 599 ป่วย
บทที่ 599 ป่วย
บทที่ 599 ป่วย
ในที่สุดก็มาถึงศาลาพักม้า เจี่ยงเถิงไม่ได้รีบร้อนลงจากรถม้าแต่อย่างใด เขาให้คนติดตามไปจองห้องพัก ส่วนตัวเองรอหลินซือตื่นขึ้นมาแล้วค่อยเตรียมตัวเข้าห้อง
หลินซือนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ในตอนที่รู้สึกตัวท้องฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว
นางรู้สึกว่ารถม้าหยุดเคลื่อนไหว จึงขยับร่างกายเล็กน้อย ให้เจี่ยงเถิงผู้ไวต่อความรู้สึกได้รับรู้
“ตื่นแล้วหรือ?”
“อื้อ พี่อาเถิง เราอยู่ที่ไหน?”
“เรามาถึงศาลาพักม้าแล้ว ในเมื่อตื่นแล้วก็ลงจากรถม้ากันเถอะ ประเดี๋ยวกินข้าวและพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง”
“อื้อ”
เวลานี้ความสนใจในการออกจากบ้านของหลินซือหมดลงแล้ว มีแค่ความตื่นเต้นในตอนที่อยู่กับเจี่ยงเถิงเท่านั้น
ก่อนหน้านั้นหลินซือไม่เคยรู้ว่าการเดินทางไกลมันจะยากลำบากแบบนี้ นางคิดว่าแค่ได้เห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างกันก็พอแล้ว แต่แล้วนางยิ่งปวดใจต่อพี่อาเถิงมากขึ้น
พี่อาเถิงต้องเผชิญกับความลำบากถึงเพียงนี้เลยหรือ? ที่นางไม่รู้ก็คือฐานะของตัวเองในตอนนี้ เหมาะสมกับคนเดินทางไกลที่สุดแล้ว
เจี่ยงเถิงขยับร่างกายที่เกร็งชาของตนเอง ก่อนจะลงจากรถม้า และประคองหลินซือ
ทันทีที่เข้ามาในศาลาพักม้า ผู้ดูแลได้ตระเตรียมอาการที่กำลังร้อนกรุ่นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว รอแค่เจี่ยงเถิงมาถึงก็ยกเข้ามาในห้องได้เลย
เจี่ยงเถิงไม่สนใจกินของตัวเอง แต่กลับตักอาหารให้แก่หลินซืออย่างต่อเนื่อง ครั้นเห็นหลินซือกินได้มากพอสมควรแล้ว ตัวเองถึงจะเริ่มกิน
เจี่ยงเถิงสั่งให้คนอื่น ๆ ไปพักผ่อน ส่วนเขาพาหลินซือไปส่งที่ห้องพัก หลังจากที่จัดแจงที่หลับนอนให้กับหลินซือเรียบร้อยแล้ว ถึงจะกลับห้องพักของตัวเอง
ยามดึกดื่นค่อนคืนเขาไม่วางใจที่จะให้หลินซือพักอยู่ในห้องเพียงลำพัง จึงไปขอกุญแจจากผู้ดูแล แล้วเข้าไปในห้องพักของหลินซืออย่างเงียบเชียบที่สุด ปรากฏว่าความเป็นห่วงของเขาก็สมเหตุสมผล
ร่างกายของอาซือนั้นไม่เลวเลย แต่นางไม่เคยมีประสบการณ์ที่ต้องบากบั่นเช่นนี้มาก่อนจึงทำให้ร่างกายของนางเหนื่อยล้าอย่างมาก ประกอบกับเหงื่อที่ไหลซึมออกมายามนอนหลับ ทำให้ร่างกายร้อนผ่าวอย่างรุนแรง
“อาซือ? อาซือ ? ตื่นสิ”
เขาพร่ำเรียกชื่อของหลินซืออย่างแผ่วเบา เพราะอยากรู้ว่าหลินซือนั้นจะมีปฏิกิริยาตอบสนองหรือไม่
“อื้อ…” หลินซือคงจะทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ นางได้ยินเสียงคนเรียกดังขึ้นเลือนราง น้ำเสียงนั้นคุ้นเคยเป็นอยางมาก จึงกัดฟันขานรับกลับไป
ครั้นเห็นหลินซือมีไข้สูง เจี่ยงเถิงจึงอุ้มหลินซือวางลงบนเตียง ส่วนตัวเองก็ลงไปต้มน้ำร้อนขึ้นมา พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืน มาเช็ดเหงื่อให้กับหลินซืออยู่ตลอด
“พี่อาเถิง ข้าทรมานเหลือเกิน” บางทีอาจเพราะหลินซือทนไม่ไหวแล้ว ครั้นลืมตาขึ้นมาเห็นเจี่ยงเถิงนั่งอยู่ข้างเตียง ก็อดเป็นฝ่ายอ้อนออดก่อนไม่ได้
ราวกับว่าเจอเจี่ยงเถิงแล้วทนไม่ไหวอีกต่อไป ครั้นเจี่ยงเถิงได้ยินคำพูดของคนรัก หัวใจของเขาก็อ่อนยวบลง แต่เนื่องจากชายหญิงไม่ควรสนิทกัน แม้ว่าตัวเองและหลินซือจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่เขาก็คำนึงถึงชื่อเสียงของหลินซือด้วย
“อาซือ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยนอน ดีหรือไม่?”
“ไม่เอา ข้าร้อน”
“ก็เพราะทรมานอย่างไรล่ะ ถึงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า อาซือเชื่อฟังเถอะ”
“งั้นก็ได้” หลินซือขัดคำของเจี่ยงเถิงไม่ได้ จึงต้องลุกขึ้นมา
เจี่ยงเถิงนำห่อที่บรรจุเสื้อผ้ายื่นให้กับหลินซือ ส่วนตัวเองก็หันหลัง
หลินซือเพิ่งเคยเจอสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าตัวเองและพี่อาเถิงจะสนิทกันมาก แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าของเจี่ยงเถิงได้
“พี่อาเถิง ท่านออกไปก่อนได้หรือไม่”
“ได้สิ หากเจ้าเปลี่ยนเสร็จแล้วเรียกข้า” ดูเหมือนเจี่ยงเถิงจะสังเกตเห็นความลำบากใจของหลินซือ จึงเดินออกไปข้างนอก
ครั้นเห็นเจี่ยงเถิงออกไปแล้ว หลินซือจึงทำการแกะห่อผ้าออก แล้วเลือกเสื้อผ้าลำลองชุดหนึ่งเปลี่ยนให้ตัวเอง จากนั้นก็เรียกเจี่ยงเถิงเข้ามา
“อาซือยังทรมานอีกหรือไม่?”
“อื้อ รู้สึกปวดหัว ลืมตาไม่ขึ้น” หลินซือเอียงศีรษะพิงไหล่ของเจี่ยงเถิง พลางพูดอย่างอ่อนแรง
“เช่นนั้นอาซือก็พักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าตรงนี้ ดีหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นพี่อาเถิงห้ามไปไหน!”
บางทีอาจเพราะเกี่ยวข้องกับอาการป่วย หลินซือในตอนนี้จึงได้แต่เกาะแกะเจี่ยงเถิงยิ่งกว่าเดิม ถ้าเป็นวันปกติ นางจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเหยาซูแน่นอน ไม่ใกล้ชิดกับเจี่ยงเถิงมากเกินไป แต่ตอนนี้ทั้งสองคนตกอยู่ในสถานการณ์พิเศษ มารดาคงไม่โทษกล่าวตนหรอก
“อื้อ”
ครั้นได้ยินคำตอบที่มั่นใจแล้ว หลินซือจึงค่อย ๆ หลับไปอย่างช้า ๆ
เจี่ยงเถิงใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือเช็ดเหงื่อให้กับหลินซือ ด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจแต่อย่างใด
บางทีอาจเพราะความเอาใจใส่ในการดูแลของเจี่ยงเถิง ครึ่งคืนต่อมาหลินซือจึงไม่มีไข้แล้ว
เจี่ยงเถิงถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็นอนหลับอยู่ข้างเตียงของหลินซือไปในที่สุด
ในตอนที่มีคนมาเรียกเจี่ยงเถิงจากข้างนอก เจี่ยงเถิงเพิ่งตื่นนอนจึงเดินออกไปข้างนอกอย่างเงียบ ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะปิดประตู
หลังจากกำชับผู้ติดตามแล้ว ก็ให้ทุกคนไปพักผ่อน ตกบ่ายค่อยออกเดินทาง
แม้ว่าจะยังงุนงงไปบ้างว่า เพราะเหตุใดใต้เท้าเจี่ยงผู้จริงจังกับทุกเรื่องมาตลอดถึงได้ไม่รีบร้อนกับเรื่องแบบนี้
หลังจากเจี่ยงเถิงจัดการเรื่องตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับมายังห้องของหลินซือ
ช่วงบ่าย พวกเขาก็ออกเดินทางปกติ
ไม่รู้ว่าเพราะเคยชินไปแล้วหรืออย่างไร เพราะหลินซือไม่ได้รู้สึกทรมานตัวอีก แต่กลับเบนความสนใจทั้งหมดไปยังทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกด้วยความตื่นเต้น
สำหรับเจี่ยงเถิง ข้างนอกก็แค่สายลมที่หอบเอาทรายมาด้วยเท่านั้น แต่สำหรับหลินซือ มันคือความแปลกใหม่และความเป็นอิสระของนาง
แม้ว่าผู้ติดตามจะติดตามเจี่ยงเถิงมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ขอเจี่ยงเถิงมาก่อน ในใจของพวกเขา คิดว่าใต้เท้าเจี่ยงยิ้มไม่เป็นมาโดยตลอด
ตอนนี้ เพราะไม่เคยเจอคนแบบนี้เท่านั้น
ครั้นได้เห็นสายตาของหลินซือที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นยิ่งขึ้น ว่ากันว่าใต้เท้าเจี่ยงทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อคนในหัวใจของตัวเอง พวกเขายังคิดเสมอว่ามันคือข่าวลือ ตอนนี้แม่นางผู้นั้นปรากฏตัวแล้ว?
“อาซือ ดูพอแล้วก็เข้ามา ข้างนอกลมแรง หากไม่ระวังอาจจะเสียดบาดใบหน้าของเจ้าก็ได้”
“ถ้าใบหน้าของข้าถลอกไม่งาม พี่อาเถิงจะยังต้องการข้าหรือไม่?” หลินซือหันกลับไปมองเจี่ยงเถิงและพูดอย่างจริงจัง
นางจำได้ว่าตัวเองเคยอ่านเจอในตำรา สาเหตุที่บุรุษมักชมชอบสตรีนั้นเป็นเพราะว่าหน้าตาดี นางได้แต่ยิ้มเยาะ แต่นางก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่อาเถิงจะเป็นคนแบบนี้
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าแค่กลัวว่าใบหน้าของเจ้าจะได้รับบาดเจ็บจนเจ้าทนไม่ไหวต่างหาก ถึงตอนนั้นคงจะร้องไห้ขี้มูกโป่งหาแม่เป็นแน่” เพราะรู้ความหมายของคนตรงหน้า เจี่ยงเถิงจึงค่อย ๆ พูด เขาจะเมินเฉยนางได้อย่างไร?
หากจะทะนุถนอมให้ดีก็คงจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว นางคือของรักที่เขาได้มาครอบครองอย่างยากลำบาก ต่อไปจะต้องทะนุถนอมนางให้มากกว่านี้
“เหอะ ไม่มีวัน ข้าโตแล้ว”
หลินซือรู้ว่าพี่อาเถิงกำลังหัวเราะเยาะนาง นางจึงแสดงสีหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างกาย
“อื้อ หากเจ้าบอกว่าไม่มีวันก็คือไม่มีวัน” ขืนหยอกล้ออีก อาจจะทำให้อาซือโกรธเอาได้ ดังนั้นเจี่ยงเถิงจึงหยุดหยอกล้อนาง
หลินซือมองทิวทิศน์นอกหนาต่างอยู่เนิ่นนานจนหมดความสนใจ ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่บนถนนสายนี้ไปอีกนานแค่ไหน จึงได้กลับเข้ามานั่งในรถม้าอย่างว่าง่าย
เพราะเจี่ยงเถิงกลัวว่าเจี่ยงเถิงจะเบื่อหน่ายระหว่างทาง ดังนั้นได้ยัดสิ่งของมากมายก่ายกองเข้าไปในรถม้า ปกติแล้วหลินซือชอบอ่านหนังสือ ชอบกินขนม และเล่นของเล่นมากอีกด้วย
แต่หลินซือไม่ได้สนใจสิ่งของเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งของที่เหมือนกัน เหตุใดนางไม่อยู่เล่นที่บ้าน จะออกมาเล่นข้างนอกเพื่ออะไร?
ครั้นนึกถึงทิวทัศน์ที่พี่อาเถิงเคยพูดไว้ก่อนหน้านั้น หลินซือเริ่มตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้
ความจริงแล้วบางครั้ง ความงามของทิวทัศน์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม แต่มันขึ้นอยู่กับคนที่อยู่ในทิวทัศน์เหล่านั้นต่างหาก
“อาซือ เจ้ากำลังคิดสิ่งใด?” ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นท่าทางเคร่งเครียดของอาซือ ก็อดประหลาดใจไม่ได้
“ข้ากำลังคิดว่า ถ้าพี่อาเถิงได้เห็นทิวทัศน์เหล่านี้เป็นครั้งแรก แล้วข้าได้อยู่เคียงข้างพี่อาเถิงคงจะดีไม่น้อย”
“เด็กโง่ ครานี้เจ้าอยู่เคียงข้างข้าแล้ว”
“แน่นอน ข้าไม่มีวันจากพี่อาเถิง แต่พี่อาเถิงต้องดีกับข้า”
“ได้สิ ข้าจะดีกับเจ้าไปตลอด เจ้าชอบอะไรข้าจะซื้อมาให้เจ้า แบบนี้ตกลงไหม?”
จากนั้นก็ดึงอาซือเข้ามาสวมกอด หัวใจของเจี่ยงเถิงเบิกบานใจอย่างมาก
“ใต้เท้าเจี่ยง วันนี้เกรงว่าเราจะไม่ถึงจุดจอดพักส่งสาส์นแล้วล่ะขอรับ” คนรับใช้ข้างนอกได้รายงานต่อรถม้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็หาที่พักที่เหมาะสมสักแห่งเถอะ”
สถานการณ์นี้ก็อยู่ในความคาดหมายของเจี่ยงเถิงเช่นกัน เดิมทีถ้าทำตามแผนการเดิมที่ออกเดินทางช่วงเช้าในทุกวันก็จะถึงจุดจอดพักส่งสาส์นในช่วงบ่ายพอดี
แต่เนื่องด้วยอาการป่วยของหลินซือ วันนี้เจี่ยงเถิงจึงให้นางพักและออกเดินทางในช่วงบ่าย ไม่ว่าจะเร่งเดินทางอย่างไรก็ไม่มีทางไปถึงศาลาพักม้าในเร็ววันแน่นอน
ดังนั้นในตอนที่ออกเดินจากศาลาพักม้าที่เก่า เจี่ยงเถิงจึงได้ให้เจ้าของที่พักเตรียมอาหารม้าไว้ เขาจึงเดินทางอย่างวางใจ
เนื่องจากอาซือไม่ค่อยได้ออกเดินทางนัก จึงไม่เคยมีประสบการณ์ข้างนอกมาก่อน พูดได้ว่าหลายวันมานี้นางต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์ที่เหมือนกันในแต่ละวัน
เจี่ยงเถิงเห็นท่าทางของหลินซือ ก็อดยิ้มในใจไม่ได้
นางมักจะพอใจกับทุกสิ่งอย่างง่ายดาย ขอแค่ใช้หัวใจก็ทำให้เห็นรอยยิ้มของนางแล้ว
“พี่อาเถิง วันนี้เราจะพักกันที่ใดหรือ?”
“ทุกคนจะนอนข้างนอก อาซือเจ้านอนอยู่ในรถม้า”
“เจ้าค่ะ พี่อาเถิง พรุ่งนี้เราจะพักที่ใดหรือ?”
“พรุ่งนี้ตามแผนการน่าจะเป็นศาลาพักม้า ข้าคำนวณไว้คร่าว ๆ ถ้าเร่งความเร็วขึ้นหน่อย ก็อาจจะถึงศาลาพักม้าได้ทันเวลา”
เจี่ยงเถิงครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น ในตอนแรกเริ่มเขาไม่ได้วางแผนจะนอนกับหลินซือในป่า แต่ครั้นเห็นทุกคนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว จึงหยุดพักครู่หนึ่ง
หลังจากกินอาหารมื้อค่ำอย่างง่าย ๆ แล้ว หลินซือก็กลับมาขึ้นรถม้า อ่านตำรา
เจี่ยงเถิงเป็นห่วงว่านางจะปรับตัวไม่ได้จึงตามขึ้นไป เขาเห็นนางนอนหลับ เมื่อมั่นใจว่านางจะได้หลับอย่างเต็มอิ่มแล้วจึงลงจากรถม้าไป
………………………………………………………………………….