ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 6 กินข้าวด้วยกัน
บทที่ 6 กินข้าวด้วยกัน
ยามดึก
พ่อและพี่ชายของเหยาซูกลับมาถึงบ้าน พอพวกเขาผลักประตูเข้าไปในบ้านก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วขึ้นมา
พี่สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาต่างอ่อนโยนและอ่อนหวาน เมื่อเห็นท่าทางอ่อนแอของเหยาซู พวกนางก็หยิบเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัว นำโจ๊กพุทราแดงมาให้นางกิน พากันห้อมล้อมรอบนางและพูดคุยกันไม่หยุด
พี่สะใภ้ใหญ่อวี๋เช็ดหน้าให้นางพลางเอ่ยว่า “เคยได้ยินท่านแม่เล่าว่าน้องเล็กนั้นงดงามยิ่ง…”
พี่สะใภ้รองเองก็เห็นด้วยเช่นกัน ขณะที่แม่เฒ่าเหยาลูบหลังเหยาซูพลางอมยิ้ม
เหยาซูเกิดมาเป็นเด็กกำพร้า ไม่เคยได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของครอบครัว ภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันเหลืองนวลเวลานี้นางจึงหัวเราะออกมาได้อย่างจริงใจ
จะให้พูดอย่างไรดี? นางเข้าใจความหมายจากคำพูดของคนตระกูลเหยาว่าเหตุใดเจ้าของร่างเดิมถึงสามารถเลี้ยงดูลูกทั้งสามให้กลายเป็นวายร้ายได้ตามในหนังสือนิยาย
แท้จริงแล้วเหยาซูถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม นางมีนิสัยเอาแต่ใจ รอบกายมีพี่ชายและพี่สะใภ้คอยปกป้อง บิดามารดาเองก็เลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม
หลังจากที่นางแต่งงานออกไป นางรู้สึกราวกับว่าถูกคนในครอบครัวหักหลัง อีกทั้งชีวิตก็ไม่มีความสุข ทุกวันนางจะถูกมารดาสามีและน้องสะใภ้ด่าทอ จิตใจของนางจึงบิดเบี้ยว
“น้องเล็ก!” เหยาเฉาพี่รองของเหยาซูเดินเข้าประตูมาเป็นคนแรก “น้องเล็ก วันนี้ท่านพ่อพาข้าและพี่ใหญ่ไปเรียกร้องความเป็นธรรมแทนเจ้าแล้ว!”
เหยาซูพลันได้สติขึ้นมา เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังคนที่เข้ามาด้วยความกังวล “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
สามพ่อลูกตระกูลเหยามีหน้าตาละม้ายคล้ายกันมาก พี่ใหญ่ตระกูลเหยา เหยาเฟิง มีรูปลักษณ์เด่นชัดเช่นเดียวกับบิดาของพวกเขา เป็นบุรุษที่แม้จะยืนนิ่งเงียบ แต่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกเคารพนับถือมากขึ้นอย่างมิอาจอธิบายได้
ส่วนเหยาเฉาผู้เป็นพี่รองมีใบหน้าอ่อนโยน นุ่มนวล ชอบใส่ชุดขาว ตราบใดที่เขาไม่เอ่ยปากพูด เขาจะเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มที่สง่างาม
พ่อของเหยาซูกล่าวขึ้น “เจ้าวางใจเถอะ! นับจากนี้ไป เจ้าอยู่ที่บ้านของเราจะไม่มีใครในตระกูลหลินกล้ามาหาเรื่องเจ้าและลูกของเจ้าอีกต่อไป!”
“ท่านแม่ ท่านตากับท่านลุงเก่งมาก ทำคนพวกนั้นตกใจจนไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรทั้งสิ้น!” อาจื้อพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
เขาวิ่งไปข้างเตียงของมารดาและนั่งลงอย่างมีความสุข
เหยาซูรู้สึกโล่งใจ “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชายและพี่สะใภ้ ข้าคิดว่าข้าจะหางานทำเพื่อเลี้ยงดูตนเองและลูก ๆ”
ผู้เป็นบิดาขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าพึ่งคลอดลูกจะพูดถึงเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใดกัน!”
แม่เฒ่าเหยาก็พูดขึ้นเช่นกัน “ใช่ ๆ คนดีของแม่ ช่วงนี้เจ้าพักผ่อนเสียเถอะ พวกเราจะดูแลลูกเป็นอย่างดี หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นค่อยว่ากัน”
หลังจากนั้นลูก ๆ ของพี่ชายทั้งสองก็เข้ามาในห้อง พวกเขาดูกระตือรือร้นมากเมื่อเห็นว่ามีน้องคนเล็กอยู่ในบ้าน จากนั้นพวกเขาจึงชวนหลินจื้อออกไปเล่นที่ด้านนอกอย่างอบอุ่น
วันนี้หลินจื้อได้เห็นบารมีของท่านตา ท่านยาย รวมทั้งท่านลุงทั้งสองของตนแล้ว พวกเขาเปรียบเหมือนวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กชายตัวน้อย
เดิมทีเขาคิดจะอยู่กับท่านแม่ แต่อย่างไรเสียเขาก็เพิ่งเคยมาบ้านยายเป็นครั้งแรก และเมื่อมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเดินเข้ามา เขาก็เริ่มให้ความสนใจ…
เมื่อเหยาซูเห็นบุตรชายคนโตเดินเข้ามาเป็นเชิงขออนุญาตจากตน นางจึงหัวเราะและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นี่คือพี่ชายที่อยู่กับท่านตา อย่ากลัวไปเลย”
ความชื่นชอบในการเล่นสนุกคือธรรมชาติของเด็ก ๆ
หลินจื้อก้มหน้างุดและพึมพำว่า “ข้าไม่กลัว”
เมื่อพูดจบหลินจื้อก็วิ่งออกไปเล่นสนุกกับลูก ๆ ของท่านลุง ในขณะที่เหล่าผู้ใหญ่รวมตัวกินข้าวด้วยกัน
เพราะเหยาซูพาลูกทั้งสามคนกลับบ้าน บนโต๊ะอาหารวันนี้จึงมีผัดไข่สีทองเหลืองอร่าม อีกทั้งยังมีปลานึ่งทั้งตัว
เมื่ออาจื้อได้กลิ่นหอมมาจากบนโต๊ะ แววตาของเด็กชายตัวก็เปล่งประกาย
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านอกจากเทศกาลปีใหม่แล้ว วันธรรมดายังได้กินของดีเช่นนี้ได้อีก
“เสี่ยวจื้อ ไปดูเสี่ยวซือหน่อยสิว่าตื่นหรือยัง!”
พ่อของเหยาซูที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะมองหลานและลูกสาวพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
อาจื้อรับคำ ชั่วครู่มารดาของเหยาซูก็อุ้มหลานสาวอาซือเดินมายังโต๊ะอาหาร “มา ๆ อาซือ วันนี้พวกเราจะกินข้าวกับท่านยายนะ”
คนในชนบทไม่ได้พิถีพิถันในเรื่องการกินอาหารบนโต๊ะ พอคนมาครบพวกเขาก็เริ่มกินข้าว ทั้งครอบครัวก็จะพากันนั่งล้อมโต๊ะ
เด็กหลายคนเริ่มกระซิบกันเบา ๆ
แน่นอนว่าหลินซือไม่ได้ร่วมด้วย
ขณะนี้เด็กหญิงตัวน้อยกำลังมองไปยังมารดาและพี่ชายของนาง
เหยาซูเห็นว่ามารดากำลังอุ้มลูกสาวของตนอยู่จึงยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้าให้กับลูกสาวของนางโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา
แต่นางสัมผัสได้ราง ๆ ว่าสายตาของเด็กหญิงยังคงแอบมองมาทางตนเองเป็นระยะ
ร่างกายของเหยาซูนั้นยังไม่ฟื้นตัวดีนัก นางต้องจำต้องใช้เบาะรองนั่งบนเก้าอี้ของตน มารดาของนางกำชับว่า “วันนี้พี่ใหญ่ของเจ้าจับปลามาได้ เจ้ากินเยอะ ๆ พวกมันจะทำให้เจ้ามีน้ำนม”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ใหญ่!”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันซีดเผือดของเหยาเฟิง เมื่อเห็นน้องสาวของตนพูดจาสุภาพเกินไปผิดกับนิสัยของนาง ทำให้เขาส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “อาซู เจ้าเป็นสมบัติของท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ชาย พวกเราทำผิดต่อเจ้าที่ปล่อยให้เจ้าตกระกำลำบาก”
“น้องเล็ก” เหยาเฉากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความตำหนิ “ตอนนั้นที่เจ้าแต่งงาน ท่านพ่อและท่านแม่ต่างรอคอยวันที่เจ้าจะกลับมาเยี่ยมเยียน กลับกลายเป็นว่าเจ้านั้นโกรธเคืองจนไม่ยอมกลับมาเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่ หลายปีมานี้ท่านเสียใจมากรู้หรือไม่”
ดวงตาของหญิงชราแดงก่ำ นางจ้องมองไปยังลูกชายคนรองและเอ่ยว่า “เอาเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้เลย จะพูดถึงมันอีกทำไม!”
ท่านพ่อเหยายกมือขึ้นและเคาะเบา ๆ ไปที่ศีรษะลูกชายคนรอง แสร้งทำเป็นโกรธ “เจ้าพูดมากไปแล้ว!”
“ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านได้โปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ” เหยาซูเงยหน้าขึ้นทันที “ข้าจะดูแลตัวเองและลูกทั้งสามคนให้ดี วันหน้าข้าจะกตัญญูต่อพวกท่านทั้งสอง”
พ่อแม่ของเหยาซูได้ฟังสิ่งที่ลูกสาวสุดที่รักพึ่งพูดออกมา ในใจก็อดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ “ เจ้าโตขึ้นมาก…”
ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่นั่น ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกเหยาเฉามาจากด้านนอก
…………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ครอบครัวนี้ดีจริง ๆ ค่ะ ถ้าเป็นครอบครัวอื่นก็คือไม่ต้อนรับลูกสาวแล้วนะ ลูกสาวแต่งงานแล้วกลายเป็นคนบ้านสามี เหมือนน้ำที่สาดออกจากเรือนไปแล้ว บ้านสามีเลวทรามขนาดไหนก็ต้องทนอยู่ให้ได้ เฮ้อ ผู้หญิงสมัยนั้นเขาอยู่รอดกันมาได้ยังไงนะ
ไหหม่า(海馬)