ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 608 หวานหยาดเยิ้ม
บทที่ 608 หวานหยาดเยิ้ม
บทที่ 608 หวานหยาดเยิ้ม
หลินจื้อและไป๋หรูปิงได้อยู่อย่างอิสระในเมืองหลวง
เพราะการหมั้นหมาย ในตอนที่ทั้งสองคนได้เจอหน้ากันจึงค่อนข้างเบิกบานใจมากกว่าปกติ
แม้ว่าภายนอกของหลินจื้อจะดูเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่ไป๋หรูปิงรู้ว่าเขาเป็นคนดี เขาคอยปกป้องนางตั้งแต่เด็กจนโต
วันนี้ทั้งสองคนนัดกันออกมาเดินเล่นข้างนอก
“ศิษย์น้อง เจ้าชอบสิ่งใดจงบอกข้า ข้าจะซื้อให้เจ้า” หลินจื้อไม่ค่อยมีเวลาออกมาเดินเล่นกับไป๋หรูปิงบ่อยนัก จึงไม่ตระหนี่ถี่เหนียวด้วยเงินเพียงเล็กน้อยแค่นี้
“อื้อ แต่ศิษย์พี่ ข้าและเอ้อเป่าต่างก็มีกิจการ ข้าก็พอมีเงิน”
ครั้นได้ยินคำพูดของหลินจื้อ ไป๋หรูปิงก็อดก้มหน้าไม่ได้ นางเข้าใจความหมายของหลินจื้อ แต่นางไม่ได้อยากใช้เงินของผู้อื่นตามอำเภอใจ
“มันไม่เหมือนกัน วันนี้ข้าอยากซื้อให้เจ้า เข้าใจหรือไม่?” ครั้นเห็นท่าทางของไป๋หรูปิง หลินจื้อก็รู้ทันทีว่านางกำลังมุ่งมั่นสิ่งใด
สำหรับศิษย์น้องของเขา เขาเข้าใจเป็นอย่างดี นางเป็นคนที่ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้เขาก็ยังชอบนาง
“เข้าใจแล้ว ศิษย์พี่” ไป๋หรูปิงก้มหน้าอย่างเงียบ ๆ เพราะสัมผัสได้ว่าใบหน้าของตัวเองกำลังร้อนผ่าว
แม้ว่าเมื่อก่อนจะไม่เคยออกมาข้างนอกกับศิษย์พี่ แต่ช่วงนี้นางมักรู้สึกว่าศิษย์พี่เปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อน หรือมันเป็นเพียงความเข้าใจผิดของตัวนางเอง?
“เอาละ เราไปเดินทางนั้นดีกว่า”
หลินจื้อลูบศีรษะของไป๋หรูปิงแล้วคลี่ยิ้ม ศิษย์น้องผู้นี้ช่างน่ารักยิ่งนัก
ทั้งสองคนเดินเล่นอยู่บนถนนกันไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครเข้ามารบกวนโลกเล็ก ๆ ของทั้งสองคน แต่ความเงียบเช่นนี้มักมีช่วงเวลาที่สั้นเสมอ
หลังจากเลี้ยวเข้ามาในมุมถนน หลินจื้อและไป๋หรูปิงก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเบื้องหน้า คล้ายกับมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
หลินจื้อและไป๋หรูปิงต่างมองตากัน ด้วยสายตาที่เข้าใจความหมายของกันและกัน ในเมื่อเจอแล้ว จะไม่เข้าไปดูได้อย่างไร?
เมื่อเดินฝ่าฝูงชนที่รวมตัวกันเข้าไป ก็พบกับชายที่แต่งกายด้วยผ้าจิ่นต่วนของจีนยุคโบราณสองคนกำลังคุมเชิงอยู่กับอันธพาลข้างถนนกลุ่มหนึ่ง คนผู้นี้ไม่ใช่ชายแปลกหน้า แต่เป็นคนที่หลินจื้อรู้จักดี นั้นคือเหยาเอ้อหลาง
ไป๋หรูปิงก็รู้จักเป็นอย่างดี ดังนั้นนางจึงไม่พูดสิ่งใด แค่ลอบมองหลินจื้ออย่างเงียบ ๆ ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด นางจะอยู่เคียงข้างเขา
“ตกลงเจ้าจะให้เงินหรือไม่?”
หนึ่งในอันธพาลพูดกับเหยาเอ้อหลาง
“ให้เงิน? ฝันไปเถอะ พวกเจ้าเป็นผู้กระทำผิด ข้าไม่ส่งเจ้าไปโรงศาลก็ดีเท่าไรแล้ว ยังคิดจะไถเงินอีกรึ? เจ้าช่างรักหน้าตาตัวเองยิ่งนัก ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะรู้หรือไม่ว่าลูกชายของพวกเขาทำเรื่องงามหน้าไว้แบบนี้!”
เหยาเอ้อหลางก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ง่าย ๆ ครั้นได้ยินคำพูดของอันธพาลผู้นั้น วาจาที่พ่นออกไปจึงไม่มีการไว้หน้ากัน
ถ้าไม่ใช่เพราะมีซวีจ้าวอยู่ที่นี่ด้วย เกรงว่าเขาคงพูดวาจาที่ไม่น่าฟังไปนานแล้ว
“เหอะ ดูท่าเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ เด็ก ๆ จัดการมัน!”
กล่าวจบ พวกอันธพาลกลุ่มนั้นก็เข้ามา พุ่งตรงเข้ามาหาซวีจ้าวและเหยาเอ้อหลาง
ครั้นเห็นเช่นนี้ คนที่มุงดูต่างก็พร้อมใจกันให้พื้นที่แก่กลุ่มคนที่กำลังจะทะเลาะวิวาทกันด้วยจิตใต้สำนึก ให้พวกเขาได้ลงไม้ลงมือกันได้อย่างเต็มที่
ส่วนหลินจื้อต้องคอยปกป้องไป๋หรูปิง เหยาเอ้อหลางและซวีจ้าวเขาไม่ต้องเป็นกังวล เพราะถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ไม่ใช่คนที่ใครจะรับมือได้ง่าย ๆ อันธพาลเหล่านี้กำลังเผชิญหน้ากับคนเก่งของเมืองหลวงแล้ว เขาจะรอดูเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ
“ศิษย์พี่ ท่านจะไม่เข้าไปช่วยพวกเขาจริง ๆ หรือ?”
“ไม่ต้อง ความสามารถของพวกเขามากมายกว่าที่เจ้าคิดไว้” หลินจื้อพูดกับไป๋หรูปิงด้วยเสียงอันเบา จากนั้นก็มองดูสนามรบตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ไม่นาน อันธพาลเหล่านั้นก็ลงไปนอนกองกับพื้น ส่วนเหยาเอ้อหลางและซวีจ้าวไร้ซึ้งบาดแผลใด ๆ พวกเขายืนมองคนเหล่านั้นพลางพูดว่า “เป็นอย่างไร วันนี้คงได้เจอข้าแล้วสินะ? ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ตรงนี้ อย่าคิดจะรังแกลูกหลานในเมืองหลวง ท่าทางของพวกเจ้าไม่น่าใช่พวกเลวทรามอะไร วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าก็แล้วกัน”
“ขอบคุณคุณชาย ขอบคุณคุณชาย เราไม่กล้าอีกแล้ว”
อันธพาลเหล่านั้นรู้จักยืดหยุ่นปรับตัวได้ พวกเขาคุกเข่าตรงหน้าเหยาเอ้อหลางและซวีจ้าว ราวกับไม่ได้สนใจชื่อเสียงของตัวเองแม้แต่น้อย
“แต่ต่อไป ถ้าข้าเห็นพวกเจ้าทำเรื่องแบบนี้อีก อย่ามาโทษว่าข้าไม่เตือนเจ้าก่อนก็แล้วกัน”
“ขอรับ ๆ คุณชายพูดถูก”
“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ยังไม่ไสหัวไปอีก?” ครั้นเหยาเอ้อหลางเห็นท่าทางเหมือนหมาจนตรอกของอันธพาลเหล่านี้ก็อดดูหมิ่นอยู่ในใจไม่ได้ คนเหล่านี้มักเก่งกับคนที่ต้อยต่ำ แต่เกรงกลัวคนที่เหนือกว่า
“เราจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ไปเดี๋ยวนี้” อันธพาลเหล่านั้นต่างพากันลุกขึ้นแล้วจากไป เหยาเอ้อหลางเตรียมจะพาซวีจ้าวจากไปเช่นกัน แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นหลินจื้อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เสียก่อน
“เยี่ยม เจ้าเห็นอันธพาลรุมกระทืบแต่ไม่คิดจะเข้ามาช่วย ยังเป็นสหายกันอยู่หรือไม่?” เหยาเอ้อหลางแสดงท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ ราวกับคนที่ข่มขู่อันธพาลกลุ่มนั้นเมื่อครู่ไม่ใช่เขา ซวีจ้าวเห็นท่าทางของเหยาเอ้อหลางก็ไม่ได้แปลกใจ
ส่วนหลินจื้อก็ดูจะไม่พอใจ ญาติผู้พี่ของเขาช่างทำเขาขายหน้ายิ่งนัก
“เราไม่ได้เป็นสหายกัน เพราะข้ากลัวเสียหน้า”
“…ใจดำ” เหยาเอ้อหลางรู้ว่าตัวเองเถียงสู้หลินจื้อไม่ได้ หลังจากสำลักไปครู่หนึ่งก็ได้ต่อว่าออกไป
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ คนในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินล้วนแตกต่างกัน วาจาที่ไร้ซึ่งคำหยาบแต่กลับไม่สามารถโต้แย้งได้ เขาต้องยอมให้กับความปากจัดของหลินจื้อ
“คุณชายหลิน” ครั้นซวีจ้าวเห็นหลินจื้อ ก็รีบยกมือทำความเคารพทันที
“อื้อ” หลินจื้อพยักหน้า เขารู้จักซวีจ้าว สำหรับพี่รองอย่างเหยาเอ้อหลางผู้นี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดต่อกันบ่อยนัก แต่เขาก็ไม่ได้เลวร้าย เป็นแค่คุณชายจอมเอาแต่ใจนิดหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา
“ขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือศิษย์น้องของข้า ไป๋หรูปิง”
“คุณชายเหยา คุณชายซวี”
“คุณหนูไป๋”
เหยาเอ้อหลางรู้เรื่องของไป๋หรูปิงและหลินจื้อแล้ว ดังนั้นในตอนที่เขาเห็นหญิงงามข้างกายหลินจื้อ ก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ไม่ได้ถามก่อนเท่านั้น
ในเมื่อหลินจื้อเป็นฝ่ายแนะนำก่อน เช่นนั้นเขาก็ต้องถามต่อเป็นธรรมดา
ส่วนซวีจ้าว เดิมทีไม่ได้ชอบความวุ่นวายนัก แต่ก็ยังพยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้พูดสิ่งใด เขาเก็บมีดสั้นที่ห้อยอยู่ข้างเอวกลับไป แล้วยืนอยู่ข้างกายของเหยาเอ้อหลางอย่างเงียบ ๆ
“ในเมื่อเจอกันแล้ว นับว่าเป็นโชคชะตา วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง กินอะไรได้ตามใจชอบ”
เหยาเอ้อหลางคิดว่าการที่คนกลุ่มหนึ่งได้มารำลึกความหลังบนถนนสายนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก โชคดีที่รอบตัวพวกเขามีร้านอาหารแห่งหนึ่งพอดี มากพอที่จะให้คนกลุ่มหนึ่งได้พูดคุยกันต่อในร้านอาหารได้
ทันทีที่นั่งลง เด็กในร้านก็เข้ามาบริการ ทุกคนจึงได้สั่งอาหาร
“ศิษย์น้อง เจ้าอยากกินอะไรก็สั่งได้เลย เขาไม่ขัดสนเรื่องเงินอยู่แล้ว”
หลินจื้อกระซิบกระซาบข้างหูของไป๋หรูปิง ท่าทางเหมือนคู่นัดหมาย ทำให้เหยาเอ้อหลางอดเยาะเย้ยไม่ได้
นี่คือหลินจื้อที่เขารู้จักคนนั้นใช่หรือไม่? คงไม่ได้ถูกใครเปลี่ยนตัวไปหรอกนะ?
“อื้อ” ไป๋หรูปิงทำกิจการค้าขาย ย่อมไม่ใช่คนขี้อาย หลังจากได้เผชิญหน้ากับคนเหล่านี้แล้วนางก็พอเข้าใจนิสัยใจคอของคนเหล่านี้ไม่น้อย