ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 620 เกิดเรื่อง
บทที่ 620 เกิดเรื่อง
บทที่ 620 เกิดเรื่อง
“ไม่รู้จักคนไม่รักษาคำพูด”
หลังกล่าวจบ ซวีจ้าวก็หมุนตัวเตรียมจากไปทันที แต่ผลลัพธ์ได้ถูกเหยาเอ้อหลางขวางไว้อีกครั้ง
“ไม่ใช่ เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน”
ซวีจ้าวยืนมองอยู่ที่เดิมด้วยความเงียบ ความหมายนัยน์ของตาคู่นั้นก็คือเจ้าพูด ข้าจะฟัง
“เดิมทีวันนี้ข้าออกมาแล้ว แต่เมืองจิงจ้าวมีเรื่องที่ข้าต้องไปจัดการสักหน่อยเป็นการชั่วคราว จึงทำให้เสียเวลา ข้าไปสถานที่นัดพบของเรามาแล้ว รอเจ้าอยู่นานเจ้าก็ไม่มา ข้าจึงเตรียมจะกลับมากินขนมเรื่อยเปื่อยสักเล็กน้อย จึงได้เจอเจ้าไม่ใช่หรือไร?”
“ข้ออ้าง”
ซวีจ้าวเห็นท่าทางของเหยาเอ้อหลาง จึงหลุดพ่นสองคำออกมา
“จริงนะ! ข้าจะหลอกเจ้าทำไม เจ้าไม่รู้ว่าวันนี้ตอนเช้าในตอนที่ทหารเมืองหลวงกำลังลาดตระเวน ได้พบกับชาวบ้านถูกฆ่าตายหลายคนพอดี เจ้าว่าข้าผู้เป็นเจ้ากรมเมืองจิงจ้าว คงไม่สามารถเมินเฉยเรื่องนี้ได้กระมัง”
“แล้วอย่างไรล่ะ?”
“หลังจากข้ารู้เรื่องนี้ก็ให้ขุนนางฝ่ายชันสูตรศพเข้าตรวจสอบก่อน พบว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ถูกดาบเล่มหนึ่งปาดคอทั้งสิ้น เจ้าว่าทักษะของคนแบบนี้จะสูงแค่ไหนกัน ข้านึกขึ้นได้ว่าเจ้าอยู่คนเดียว ไม่ใช่เพราะศพเหล่านั้นยังไม่ได้ถูกจัดการ จึงรีบวิ่งออกมาหาเจ้าหรอกหรือ?”
เหยาเอ้อหลางเริ่มปวดหัว ปกติแล้วเจ้ากรมเมืองจิงจ้าวว่างมาก แต่คาดไม่ถึงว่าทันทีที่เกิดเรื่องก็ล่อซะเรื่องใหญ่เพียงนี้ กระทั่งตอนนี้แม้แต่เบาะแสเขาก็ยังไม่มี
“ข้าไม่เป็นไร เจ้ากลับไปเถอะ”
“ไม่ได้ ข้าไม่วางใจเจ้า มิเช่นนั้นเจ้ากลับเมืองจิงจ้าวพร้อมข้าดีหรือไม่?”
“ไม่ไป”
“ซวีจ้าว เจ้าช่วยทำเป็นไม่วางใจข้าหน่อยได้ไหม? เจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ศิลปะการต่อสู้ของข้า อันธพาลในท้องถิ่นยังอวดอ้างความสามารถมาแล้ว แต่ถ้าเจอกับคนที่ใช้ดาบเล่มเดียวกันกับผู้นั้นปาดคอเข้าจริง ๆ เจ้าไม่กล้วว่าจะไม่ได้เห็นหน้าของข้าเป็นครั้งสุดท้ายหรอกหรือ?”
ซวีจ้าวเงียบไป เขาเป็นคนที่ผ่านสนามรบมาก่อน สำหรับชีวิตคนเขาไม่ได้หวาดกลัวเหมือนตอนแรกเริ่มนานแล้ว ฆ่าคนไปเท่าไรเขาก็ไม่รู้ แต่ถ้าคนผู้นั้นเปลี่ยนเป็นเหยาเอ้อหลาง เขาคิดว่าในใจของตัวเองคงจะไม่มีความสุขอย่างมาก คล้ายกับมีของบางอย่างที่สำคัญที่สุดได้หายไปก็มิปาน
“ในเมื่อเจ้าไม่คัดค้าน เช่นนั้นข้าคิดว่าเจ้าตกลงแล้ว เจ้าต้องไปกับข้า” ครั้นเห็นซวีจ้าวไม่พูดสิ่งใด เหยาเอ้อหลางก็พูดได้คืบจะเอาศอกทันที
จากนั้นก็ฉุดกระชากลากซวีจ้าวมาถึงเมืองจิงจ้าวจนได้ เหยาเอ้อหลางไม่ได้โกหกจริง ๆ ทันทีที่ซวีจ้าวเข้ามาในจวนด้านหลังของเมืองจิงจ้าวก็ได้กลิ่นของศพที่เป็นเอกลักษณ์กลิ่นหนึ่งทันที
เหมือนกับการทำความสะอาดสนามรบหลังสงครามก็มิปาน ทำให้หัวคิ้วของซวีจ้าวขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าดูสิ ข้าไม่ได้โกหกเจ้าใช่ไหม?” เมื่อพาซวีจ้าวเข้ามาในเมืองจิงจ้าวได้ เหยาเอ้อหลางก็พาเขาไปยังสถานที่เก็บศพทันที
เพราะกลัวว่ากลิ่นศพจะฉุนเกินไป ดังนั้นจึงวางไว้ทางบก รอให้ขุนนางฝ่ายชันสูตรศพมาตรวจสอบทีละคน ตอนที่เหยาเอ้อหลางและซวีจ้าวมาถึง ขุนนางฝ่ายชันสูตรยังตรวจสอบไม่เสร็จ
ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีศพอย่างน้อยสิบกว่าศพ อีกทั้งจากท่าทางก็ล้วนตายในลักษณะแทบจะเหมือนกัน เขาต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะกลัวว่าจะมองข้ามบางอย่างไป
“ที่นี่ล้วนเป็นศพที่เจอในช่วงบ่ายวันนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ พบในมุมต่าง ๆ ของเมือง ชาวบ้านเหล่านั้นเคยเห็นสงครามที่ไหน ครั้นพบศพก็ให้คนมารายงานเมืองจิงจ้าวทันที นี่ไม่ใช่เพราะส่งคนไปลากศพกลับมาหรอกหรือ”
ซวีจ้าวไม่พูดสิ่งใด ตัวเองเดินเข้ามาข้างศพศพหนึ่งอย่างช้า ๆ เพียงลำพัง ตรวจสอบลักษณะการตายของศพนั้นอย่างละเอียด เขามักจะรู้สึกคุ้นเคยอยู่หน่อย ๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
“ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับวิธีการตายของคนเหล่านี้มาก แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน”
“ไม่เป็นไร เจ้าค่อย ๆ คิด แต่หลังจากขุนนางฝ่ายชันสูตรตรวจสองศพเหล่านี้แล้วก็ต้องเผาทันที มิเช่นนั้นถ้าเน่าเปื่อยขึ้นมา จะพาลดึงดูดโรคห่าร้ายแรงบางอย่างมาสู่ข้า”
ครั้นเห็นศพในลานบ้าน เหยาเอ้อหลางได้ครุ่นคิด ถ้าเป็นไปได้เขาคาดหวังจะช่วยตามหาบ้านให้คนเหล่านี้
แต่เขาได้ส่งคนไปสอบถามมาแล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นชายร่อนเร่พเนจร ปกติจะเดินเตร่อยู่ในตรอกเล็กของถนนใหญ่ ไม่เคยเห็นว่ามีครอบครัวแต่อย่างใด
ช่วยไม่ได้ ทำได้แค่ต้องจัดการรวดเดียวเท่านั้น
“ก็ดี สองสามวันนี้ทางที่ดีเจ้าควรพาคนติดตามออกไปสองสามคนนะ” แม้ว่าซวีจ้าวจะนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน แต่บาดแผลนี้ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายแล้ว กระทั่งมากกว่าในสนามรบอีกด้วย
“ข้ารู้แล้ว ก็ตามนี้ เรื่องนี้ข้าต้องกลับไปปรึกษากับท่านพ่อสักหน่อย ดูว่าเขาจะคิดเห็นอย่างไร”
“นี่เป็นวิธีการที่ดี”
“เช่นนั้นก็ตามนี้ วันนี้ข้าไม่ได้ผิด เจ้าโทษข้าไม่ได้”
“ไม่โทษเจ้า”
ซวีจ้าวไม่เข้าใจบางอย่าง ถึงขนาดนี้แล้วทำไมเหยาเอ้อหลางยังยิ้มออกมาได้
เขาก็ควรคำนึงถึงความสำคัญของเรื่องให้ได้ ใช่หรือไม่?
“งั้นก็ดี” ในตอนที่ได้ยินคำพูดของซวีจ้าว เหยาเอ้อหลางจึงได้วางใจ ก่อนจะสั่งการให้ขุนนางฝ่ายชันสูตรศพเหล่านั้นจัดการ
กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ใกล้จะดึกมากแล้ว
“เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็พักผ่อนในจวนแห่งนี้ ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปคงไม่สะดวก”
เมืองจิงจ้าวมีห้องพิเศษโดยเฉพาะ เพราะกลัวว่าบางครั้งจะเสร็จงานดึกเกินไปเลยกลับไม่ได้ เหยาเอ้อหลางจึงเป็นแขกประจำของห้องพิเศษนี้
แม้ว่าเหยาเอ้อหลางจะดูขี้เล่นจนไม่น่าเคารพบ้าง แต่เวลาปฏิบัติงานทางการ กลับดูจริงจังยิ่งกว่าใคร
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเวลาเหยาเฉาชอบบ่นถึงเหยาเอ้อหลาง แต่ก็ไม่เคยแสดงพฤติกรรมที่เกินเลยแต่อย่างใด แยกแยะลำดับความสำคัญ เรื่องนี้ก็มากพอแล้ว
“ไม่เป็นไร จวนหลินต้องเปิดประตูรอข้าแน่นอน”
“เช่นนั้นเจ้ากลับไปจะเป็นการรบกวนพวกเขาเสียเปล่า ๆ ไม่สู้อยู่กับข้าที่นี่ ถ้าตกดึกมีเรื่องอะไร เจ้ายังช่วยเป็นลูกมือได้”
“…งั้นก็ได้” ซวีจ้าวครุ่นคิด แล้วตอบรับไป
ครั้นเห็นสวีจ้าวตอบรับ เหยาเอ้อหลางดีใจอย่างมาก เขาไม่เคยล่อลวงอีกฝ่ายได้เลย ครานี้ฟ้าเบื้องบนส่งโอกาสมาให้เขาแล้ว
จึงให้คนไปจัดเตรียมห้องพิเศษ ครั้นเหยาเอ้อหลางเห็นซวีจ้าวเข้าห้องแล้ว จึงหมุนตัวกลับห้องที่อยู่ถัดไป
เขาไม่มีทางให้คนจัดเตรียมห้องพักที่อยู่ไกลเกินไป กระนั้นซวีจ้าวก็จะได้ปลอดภัยอยู่ข้างกายเขา ความกลุ้มใจจะได้เบาบางลง
เช้าวันที่สอง เหยาเฉามาถึงที่นี่ ใบหน้าดูรีบร้อนมากทีเดียว
ซวีจ้าวนั้นโชคดี เดิมทีจะต้องตื่นขึ้นมาฝึกกระบวนท่าดาบตั้งแต่เช้าทุกวัน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกอะไร ตรงกันข้ามกลับเป็นเหยาเอ้อหลาง ท่าทางยังไม่ตื่นดี
“ท่านพ่อ อาเสี่ยวเวย ทำไมพวกท่านถึงมาแต่เช้า มีเรื่องใช่หรือไม่?”
หลังจากขยี้ตาอย่างงัวเงีย เหยาเอ้อหลางอดหาววอดไม่ได้
“เจ้าส่งคนไปรายงานว่าเจ้าไม่กลับเรือนเมื่อวานนี้ไม่ใช่หรือ? ข้าอยากแน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงได้มาดู คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะนอนหลับสบาย”
คนที่เหยาเฉาจับได้ในคราวที่แล้วเปิดเผยบางอย่างออกมา ทำให้เหยาเฉารู้ว่าช่วงนี้เมืองจิงจ้าวไม่สงบ ดังนั้นในใจจึงพะว้าพะวงไม่วางใจตลอด