ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 626 เชิญองค์จักรพรรดิตรวจสอบ
บทที่ 626 เชิญองค์จักรพรรดิตรวจสอบ
บทที่ 626 เชิญองค์จักรพรรดิตรวจสอบ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ระวังผลกระทบกันหน่อย ข้ายังเด็กนะ”
หลินซือมองทั้งสองคนด้วยนัยน์ตาที่เปล่งประกายแวววาว พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“เจ้านะเจ้า ข้าว่าไม่มีเรื่องไหนที่เจ้าไม่รู้นะ” เหยาซูมองหลินซือด้วยรอยยิ้ม ลูกสาวของนางคนนี้ ช่างร่าเริงแจ่มใสยิ่งนัก มีนางอยู่ในเรือน เสียงหัวเราะในเรือนยิ่งดังมากขึ้น
“หึ เป็นเพราะท่านแม่สั่งสอนดีต่างหาก”
“เอ้อเป่า ออกไปเที่ยวเล่นครานี้สนุกหรือไม่?” หลินจื้อยังคงเป็นห่วงน้องสาวของตนเอง
“สนุกมากเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ ข้าได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อน พี่รู้หรือไม่? ว่าใบไม้ในฤดูหนาวไม่ได้โกร๋นหมดต้นไปเสียทุกพื้นที่ อีกทั้งภาษาในสถานที่เหล่านั้นก็น่าสนใจมากด้วย”
ครั้นได้เอ่ยถึงการเดินทางในครานี้ หลินซือดูจะร่าเริงเป็นอย่างมาก แม้ว่าระหว่างทางจะอกสั่นขวัญแขวนไปบ้าง แต่ความสุขก็เข้ามายึดครองความทรงจำของนางยิ่งกว่า
“สนุกก็ดี ได้ยินเจ้าถูกคนร้ายเหล่านั้นจับตัวไป ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่อาเถิงช่วยข้าไว้ เพื่อช่วยข้า พี่อาเถิงจึงโดนแทงจนเสียเลือดมาก” ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลินซือก็เกิดเป็นห่วงบาดแผลของพี่อาเถิงอย่างอดไม่ได้
ระหว่างเดินทางกลับ พี่อาเถิงแสดงท่าทีเหมือนคนไม่เป็นอะไร นางจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ
ได้แต่ลอบตำหนิตัวเองว่าไม่รู้จักคิด ขณะเดียวกันก็ได้ตัดสินใจ รอให้พี่อาเถิงเสร็จสิ้นภารกิจ ตัวเองจะนำสิ่งของไปเยี่ยมเขาให้จงได้
“ก็ดีแล้ว หากเจ้าบาดเจ็บขึ้นมา ข้าก็คงไม่ให้อภัยเขา” แม้หลินจื้อจะรู้สึกว่าเจี่ยงเถิงเป็นคนดี แต่ครั้นนึกได้ว่าน้องสาวจะต้องออกเรือนกับเจี่ยงเถิงในอนาคตก็เริ่มไม่สบายใจ
ถึงอย่างไรก็เป็นน้องสาวที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ในใจเขาย่อมอาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดา
“ก็ใช่ เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับหลินจื้อ” หลินเหราคอยช่วยอยู่ข้างกาย
ถ้าเจี่ยงเถิงยังปกป้องแม้แต่ลูกสาวของตัวเองไม่ได้ พวกเขาก็คงไม่คิดจะให้เจี่ยงเถิงเข้ามาอยู่ในฐานะลูกเขยของตัวเอง ตระกูลของพวกเขาถือหางอยู่ แม้ว่าเจี่ยงเถิงจะได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิ แต่ตระกูลหลินก็ไม่ใช่ใครจะรับมือได้โดยง่าย
ครานี้เจี่ยงเถิงปกป้องหลินซืออย่างดี แสดงความพึงใจของตัวเองต่อหน้าตระกูลหลินโดยไม่รู้ตัว แต่เรื่องเหล่านี้เจี่ยงกลับไม่รู้เท่านั้น
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่อาเถิงช่วยข้าจนได้รับบาดเจ็บ เหตุใดพวกท่านถึงพูดเช่นนี้?” หลินซือมองบิดาและพี่ใหญ่ของตัวเองอย่างไม่เห็นด้วย
เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าบิดาและพี่ใหญ่มีเจตนาเป็นศัตรูกับพี่อาเถิงอย่างชัดเจน? เมื่อครั้งวัยเด็ก พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทีไม่ชอบพี่อาเถิงเช่นนี้นี่?
เรื่องที่หลินซือไม่รู้ก็คือเมื่อก่อนพวกเขาเห็นเจี่ยงเถิงเป็นศิษย์น้องและน้องชายคนหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นว่าที่ลูกเขยและน้องเขยมารตฐานนั้นจึงย่อมแตกต่างกันแน่นอน
“เอ้อเป่า เจ้าชักจะลำเอียงเกินไปแล้ว ถ้าเจี่ยงเถิงชอบเจ้าจริง ๆ ก็ต้องปกป้องเจ้าได้เป็นธรรมดาเพื่อไม่ให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งตอนที่เขาพาเจ้าไป เขาก็ให้สัญญากับเราแล้วว่าจะพาเจ้ากลับมาส่งโดยไร้บาดแผลใด เหตุใดการออกไปคราหนึ่ง ถึงได้เข้าข้างกันขนาดนี้?”
หลินเหรามองลูกสาวแก้วตาดวงใจของตัวเองพูดเพื่อผู้ชายคนอื่นเช่นนี้ ความหวงในใจก็พลันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
“พอแล้ว ให้ผู้ชายจู้จี้จุกจิกกับลูกสาวของตัวเอง มันน่าสนุกนะรึ?” เหยาซูเห็นท่าทางของหลินเหราก็อดพูดออกไปไม่ได้ สำหรับนางแล้ว เจี่ยงเถิงดีในทุกด้าน อย่าว่าแต่มารดาของเขาที่เป็นสหายคนสนิทของตัวเองเลย กิริยาท่าทางของเขาก็น่าเชื่อถือมากทีเดียว
ครั้นเห็นฮูหยินของตนค่อนข้างจริงจัง หลินเหราก็ไม่พูดสิ่งใดอีก ถ้าทำให้ฮูหยินไม่พอใจขึ้นมา เขาจะต้องรับผลที่ตามมา
“เอ้อเป่า อย่าไปฟังพ่อและพี่ชายเจ้าพูดเลย อาเถิงช่วยเจ้าไว้เราก็ควรซาบซึ้งใจเขา ไว้แม่ว่างวันไหน ค่อยนำโสมพันปีในคลังของเราไปเยี่ยมเขา เจ้าต้องไปกับแม่ด้วย”
“อื้อ ท่านแม่ใจดีที่สุด” เมื่อได้ยินคำพูดของเหยาซู หลินซือจึงคลี่ยิ้มออกมา
ทุกคนต่างไม่ชอบพี่อาเถิง มีแค่มารดาที่คอยปกป้องพี่อาเถิง
หลินเหราและหลินจื้อเห็นท่าทีของหลินซือ ก็ได้แต่ลอบจนปัญญา มีลูกสาวก็เข้าข้างผู้อื่น ขนาดยังไม่ออกเรือนยังนึกถึงผู้อื่นขนาดนี้
“ทุกคนหยุดพูดกันได้แล้วกินข้าวกันเถอะ”
“อื้อ”
กระทั่งมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยความสุขจบสิ้นลง หลินจื้อรับอาสาพาไป๋หรูปิงกลับไปส่ง ส่วนหลินซือได้ขึ้นเตียงพักผ่อนแล้วเพราะเหน็ดเหนื่อยมาตลอดการเดินทาง
แม้ว่าเวลานี้จะได้รับการดูแลจากเจี่ยงเถิงเป็นอย่างดี แต่ข้างนอกกลับไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในเรือน
แต่ก็นั่นแหละ ทันทีที่ล้มลงเตียง หลินซือก็เข้าสู้ห้วงความฝัน แม้แต่เหยาซูเดินเข้ามาดูนางก็ยังไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นลูกสาวหลับสนิท เหยาซูจึงตัดใจรบกวนการนอนหลับของลูกสาว สั่งให้คนรับใช้ดูแลนางอย่างดี แล้วกลับห้องของตัวเองไป
เจี่ยงเถิงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เขาวิ่งอย่างบากบั่นมาตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงวังหลวงก่อนฟ้ามืด หยิบป้ายแขวนขององค์จักรพรรดิขึ้นมาจึงได้เข้าห้องทรงอักษร
ดูเหมือนองค์จักรพรรดิจะคาดเดาไว้แล้วว่าเขาจะมาวันนี้ ดังนั้นในห้องทรงอักษรจึงไม่มีใครอื่น
“กระหม่อมขอคารวะองค์จักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นเถอะ เจ้าบากบั่นเดินทางมาคงจะลำบากน่าดู”
“เพื่อจะได้กราบทูลรายงานแก่ฝ่าบาท กระหม่อมเต็มใจ เดิน ๆ หยุด ๆ ไปตลอดทาง แต่ก็นับว่าได้ทำตามพระราชโองการของฝ่าบาท ได้โปรดองค์จักรพรรดิทรงพิจารณาด้วย” กล่าวจบ เจี่ยงเถิงก็นำสมุดพับของตัวเองมอบให้กับผู้ติดตามข้างกาย จากนั้นก็ให้เขานำขึ้นถวายองค์จักรพรรดิ
องค์จักรพรรดิรับสมุดพับมาอ่านอย่างละเอียด ยิ่งอ่านความโทสะในใจก็ยิ่งคุกรุ่นมากขึ้น
แม้เขาจะรู้ว่าขุนนางฝ่ายเกลือไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้โดยง่าย แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากมายเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยังดีที่เขาเป็นขุนนางชั้นดี
องค์จักรพรรดิระงับโทสะ วางสมุดพับไว้ด้านข้าง แล้วมองเจี่ยงเถิงที่ยืนอยู่ข้างกาย พลางลอบสงสัยในใจ
แม้ว่าเจี่ยงเถิงจะยังอายุน้อย แต่ของเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสืบได้ เหตุใดเขาถึงรู้หรือว่าเบื้องหลังของเขาจะมีคนช่วยอยู่จริง ๆ?
ครั้นนึกถึงเรื่องของเขา หลินซือและองค์รัชทายาท ความสงสัยในใจก็ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น แม้แต่แววตาที่มองเจี่ยงเถิงก็ยังดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
แต่เจี่ยงเถิงกลับเหมือนไม่สังเกตเห็น ปล่อยให้องค์จักรพรรดิมองพิจารณา ท่าทางไม่ได้กระทำผิดก็ไม่ต้องกลัวผีสางมาเคาะประตูทำนองนั้น
“เจ้าคงลำบากมาตลอดทาง คนเหล่านี้มักจะดูเหมือนซื่อสัตย์ คาดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะสร้างเรื่องไว้มากมาย รู้หน้าไม่รู้ใจจริง ๆ ข้ามองพวกเขาผิดไป”
“ฝ่าบาททรงฉลาด พวกเขาไม่รู้จักพระมหากรุณาธิคุณ”
“ไม่รู้ว่าเจ้านำของเหล่านี้มามอบให้ข้าเพราะเหตุใด ข้าจำได้ว่าครานี้เจ้าพาลูกสาวสุดรักของตระกูลแม่ทัพหลินออกไปเที่ยวเล่นด้วยไม่ใช่หรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ขณะที่กระหม่อมอยู่กับอาซือก็จะคอยลอบสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของขุนนางฝ่ายเกลือตลอด อีกอย่างกระหม่อมได้เห็นว่าคนเหล่านั้นทำอย่างไร จึงส่งคนจำนวนไม่น้อยออกไปสืบหาอย่างลับ ๆ จนได้รับข่าวนี้มา”
“เจ้าทำให้ข้าวางใจยิ่งนัก”
“ล้วนเป็นเพราะฝ่าบาททรงมองการณ์ไกล จึงนำป้ายแขวนมอบให้แก่กระหม่อม กระหม่อมจึงมีโอกาสได้สืบหาเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน”
“คนเหล่านั้น เจ้าจะจัดการอย่างไร?”
“กระหม่อมจะคุมตัวพวกเขามายังเมืองหลวง รอพระราชโองการจากฝ่าบาท ขณะเดียวกันพวกขุนนางกากเดนในราชสำนักเหล่านั้นได้รายงานตรงต่อผู้นำทหารฝ่ายรักษาพระองค์แล้ว คิดว่าเวลานี้พวกเขาคงจับโจรได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้ก็ดี เจ้าคงลำบากแน่” ครั้นองค์จักรพรรดิได้ยินคำรายงานของเจี่ยงเถิง ใบหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าใด นอกจากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เวลานี้ในใจขององค์จักรพรรดิเกิดความสงสัยในตัวของเจี่ยงเถิง จากเรื่องราวมากมาย เขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อใจผู้อื่นได้โดยง่าย