ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 628 ครอบครัว
บทที่ 628 ครอบครัว
บทที่ 628 ครอบครัว
“หึหึ ไม่ใช่เพราะข้าเรียนรู้จากอาจารย์หรอกหรือ?”
อวี้จือไม่เหมือนกับคนอื่น เขาไม่กลัวความเข้มงวดของเซี่ยเชียน แต่ยามอยู่ต่อหน้าเขา กลับขวัญหนีอย่างไม่มีเหตุผล แต่ก็มักจะอาจหาญไปทำเรื่องบางอย่างเสียทุกครั้ง
เมื่อหลายปีก่อนพบว่าหลังจากนัดทำเรื่องบางอย่าง ก็ยิ่ง ‘ทำให้ทุกอย่างแย่ลง’ เซี่ยเชียนคุ้นชินไปแล้ว อวี้จือยังทะเลาะกับผู้อื่นเพราะเซี่ยเชียนในบางครั้ง แต่สุดท้ายแล้วคนที่แพ้ไม่ใช่เขาเท่านั้น
ไม่นานก็มาถึงจวนหลิน เพราะรู้ว่าเซี่ยเชียนจะมาเยือน ดังนั้นคนภายนอกจึงได้มาต้อนรับรถม้าของเซี่ยเชียนอย่างรวดเร็ว
“ในที่สุดอาวุโสเซี่ยก็มาเสียที อาวุโสคงรอนานแล้ว”
“หลินเซินมาด้วยไหม?”
“คุณชายเซินเข้าไปแล้วขอรับ”
“อื้อ”
“พวกเจ้าดูแลม้าดี ๆ ล่ะ ป้อนอาหารที่ดีที่สุดให้มัน”
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” คนผู้นั้นรู้จักอวี้จือเช่นกัน ดังนั้นจึงได้ตอบรับด้วยท่าทีสบาย ๆ
เซี่ยเชียนมองอวี้จือ แล้วยกเท้าเดินเข้าไปในจวนหลิน
แม้ว่าเซี่ยเชียนจะไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนหลิน แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ของหลินเซิน จึงมักไปร่วมเดินกับคนในจวนหลินบ่อยครั้ง ย่อมไม่มีทางอึดอัดแน่นอน
ครั้นเห็นหลินเซินนั้น หลินเซินกำลังพูดคุยอยู่ข้างกายหลินซือพอดี ครั้นเห็นเซี่ยเชียนมาถึงแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย และกล่าวทักทายเซี่ยเชียน
“ท่านปู่”
“น้อมทักทายท่านปู่” หลินซือกล่าวทักทายด้วยท่าทีน่ารักน่าเอ็นดู เซี่ยเชียนจึงได้พยักหน้า
พวกเขามีผู้ชายค่อนข้างเยอะ ดังนั้นยามที่หลินซือถือกำเนิดออกมา พวกเขาจึงดีใจมาก มักได้รับการประคบประหงมตั้งแต่เด็กจนโต บางครั้ง ยามเห็นหลินซือ เซี่ยเชียนก็มักคิดเสมอ ถ้าตัวเองมีบุตรสาวที่น่ารักเช่นนี้ก็คงจะดี
“แต่ต่อมาหลังมีหลินเซินข้างกายเขา ก็ไม่เคยรู้สึกเหงาอีกเลย
“ท่านปู่ ท่านพ่อและท่านแม่รอท่านอยู่ในห้องถัดไปขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว”
จากนั้นก็ให้อวี้จือรอข้างนอก เซี่ยเชียนเดินเข้าไปในห้องทันที
วันนี้ที่เขาส่งหลินเซินมาที่นี่ไม่เพียงแต่เพื่อเจอเอ้อเป่าแล้ว ยังมีเรื่องจะปรึกษาหาหรือกับสองสามีภรรยาอย่างหลินเหราและเหยาซูอีกด้วย
อวี้จือเข้าใจนิสัยของอาจารย์ตัวเองดี จึงรออยู่กับหลินเซินอย่างเชื่อฟัง ไม่ได้รบกวนเซี่ยเชียน แค่มองตามเซี่ยเชียนจากไปเท่านั้น
แม้แต่หลินเซินพูดกับเขาก็ยังเหม่อลอย หลินซือเห็นท่าทางนั้นของอวี้จือก็ไม่ได้พูดสิ่งใด ถึงอย่างไรอวี้จือก็เป็นลูกศิษย์ของท่านปู่ จะว่าไปเขาก็เป็นศิษย์พี่ของนาง
ขณะเดียวกัน ณ ชานเมือง
“เป็นอย่างไร ยังไม่ยอมพูดใช่ไหม?”
องค์รัชทายาททรงประทับนั่งอยู่ในโถงใหญ่ มองผู้มาเยือนด้วยหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปม
เขาไม่เคยคาดคิดว่ากระดูกของคนเหล่านี้จะแข็งแรงเช่นนี้ ทรมานร่างกายมากมายเพียงนี้ ก็ยังไม่ยอมบอกว่าเบื้องหลังตนคือใคร แม้ว่าตัวเองจะรู้อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีคำสารภาพของคนเหล่านี้ แม้จะกักขังคนเหล่านี้ก็ยากที่จะโน้มน้าวผู้คนได้
“องค์รัชทายาท ดูเหมือนคนผู้นั้นจะเดาไว้แล้วว่าจะต้องมีจุดจบอย่างวันนี้ ดังนั้นหลังถูกตัวถือโอกาสตอนที่เราไม่สังเกตกินยาฆ่าตัวตาย แต่คนอื่นแม้ว่าจึงถูกขัดขวางไว้ แต่ต่อให้ถูกกัดจนตายก็ไม่มีใครยอมบอกถึงผู้บงการเบื้องหลัง ถ้าอยากได้คำสารภาพจากพวกเขาคงยากเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่คุกเข่ากราบทูล ลอบมองปฏิกิริยาขององค์รัชทายาทเป็นครั้งคราว กลัวว่าองค์รัชทายาทจะทรงตำหนิพวกเขาเพราะเรื่องนี้
แต่องค์รัชทายาทกลับขมวดคิ้ว ไม่ได้ตำหนิพวกเขามากนัก
“ทางใต้เท้าเหยาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“…”
ขณะรอให้คนผู้นั้นพูดนั้น ก็เห็นเหยาเฉาเดินเข้ามา
ตามมาด้วยเสี่ยวเวยที่คอยอยู่ข้างกายเขาไม่ห่าง สีหน้าของทั้งสองคนไม่สู้ดีนัก
“กระหม่อมน้อมทักทายองค์รัชทายาท”
เหยาเฉาเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่ง แม้ว่าตอนนี้องค์รัชทายาทจะยังทรงเยาว์วัย แต่การตัดสินใจที่แสดงออกมาไม่ใช่นิสัยที่เด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบจะมีได้
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมององค์รัชทายาทเป็นเด็กมาก่อน แต่มองเขาเป็นองค์รัชทายาทจริง ๆ
“ใต้เท้าเหยามาได้อย่างไร?”
วันนี้เป็นวันเดินทางขององค์รัชทายาทและเหยาเฉา ยามเช้าตรู่ พวกเขาได้รับจดหมายลับของเจี่ยงเถิง บอกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งจงใจสร้างความโกลาหล ให้เมืองหลวงเกิดความปั่นป่วน
ครั้นเป็นเช่นนี้ วันนี้จึงไม่มีกระจิตกระใจจะไปสนใจเรื่องฝ่ายเกลือแต่อย่างใด ดังนั้นเหยาเฉาและองค์รัชทายาทจึงคอยลอบเฝ้าสังเกตการณ์อย่างลับ ๆ มีการเคลื่อนไหวอะไรก็เข้าจัดการทันที จึงไม่ได้ดึงดูดความวุ่นวายอะไรเข้ามา
ส่วนซากศพที่เหยาเอ้อหลางพบในครานั้นเป็นเรื่องที่คนกลุ่มนี้สร้างขึ้น ตอนนั้นเหยาเฉารู้สึกเอะใจอยู่เลือนรางแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าหาญเพียงนี้ ลงมือได้แม้กระทั้งในเมืองหลวง
หลังจากอดทนมาเนิ่นนาน ในที่สุดเจี่ยงเถิงก็กลับเมือง พวกเขาจึงได้ลงมือด้วยการจับตัวทุกคนไว้
ใครเลยจะรู้ว่าคนเหล่านี้จะกระดูกแข็ง ใครคือผู้บงการเบื้องหลัง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมพูดออกมาแม้แต่คำเดียว
“องค์รัชทายาท คนของเราที่อยู่ทางนั้นมีความคืบหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ นี่คือความดีความชอบของเสี่ยวเวย”
เหยาเฉามองเสี่ยวเวยข้างกาย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความชื่นชมโดยไม่ต้องปริปากพูด
องค์รัชทายาทจึงได้เบี่ยงสายตาไปทางเสี่ยวเวย ด้วยความรู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย แต่ก็จะไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน บางทีอาจจะเพราะเขามักจะตามติดข้างกายของเหยาเฉาบ่อยครั้ง
“ดีมาก บอกสิ่งที่พวกเจ้าต้องการมา” ไม่ว่าจะเป็นใคร ตราบใดที่มีผลงาน ก็ดีทั้งนั้น ตอนนี้องค์รัชทายาทสนใจแค่ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือใคร
“ก็เหมือนข่าวที่เจี่ยงเถิงส่งให้เรา ผู้ที่อยู่เบื้องหลังขุนนางขั้นสองของราชสำนัก”
“ในเมื่อมีข้อสรุปแล้ว ก็ขังคนเหล่านั้นไว้ในวัง รอพระราชโองการจากเสด็จพ่อ เรื่องนี้เรารอมานานมากแล้ว ควรจะมีข้อสรุปได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหยาเฉาเอ่ยอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ส่งเสด็จองค์รัชทายาทจากไป
หลังยืดตัวตรง เหยาเฉาก็มองเสี่ยวเวยอย่างอดไม่ได้ ตอนแรกเขามีความเห็นอกเห็นใจ ใครเลยจะรู้ว่าวันหนึ่งเสี่ยวเวยจะกลายเป็นมือซ้ายและมือขวาของเขา
“วันนี้ลำบากเจ้ามากแล้วล่ะ”
“พี่รองกล่าวอะไรเช่นนั้น นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ ถึงอย่างไรคนที่ยักยอกฉ้อฉลก็เป็นหนอนบ่อนไส้อยู่ในราชสำนัก ถ้าไม่กำจัดในวันหนึ่งเกรงว่าจิตใจของพี่รองก็คงไม่สงบ”
“อื้อ” ระหว่างบุรุษทั้งสอง ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ เพียงแค่การกระทำและสายตาก็สามารถเข้าใจความหมายของกันและกันได้แล้ว
เหยาเฉาและเสี่ยวเวยยืนอยู่หน้าประตูเนิ่นนานโดยไม่พูดสิ่งใด กระทั่งคนสลายตัวไปหมดแล้วจึงได้ย่างเดินกลับจวนเหยาอย่างเนิบช้า
เนื่องจากมีคำสั่งขององค์รัชทายาทอยู่ในมือ จึงง่ายต้องการเข้าวัง
ยามเห็นถนนที่ว่างเปล่า เสี่ยวเวยจึงตัดสินใจบอกเรื่องที่อยู่ในใจของตัวเองเองเหยาเฉา
“พี่รอง ข้าอยากออกไปลุยเอง”
“ทำไม อยู่ข้างกายข้าไม่ดีหรืออย่างไร?”
“ไม่ใช่ พี่รองดีมาก แต่พี่รองก็มีเรื่องของตัวเอง ก่อนหน้านั้นข้ามืดบอดเพราะบางสิ่ง โชคดีที่มีพี่รองจึงทำให้ข้ารู้ผิดกลับใจ ยามอยู่ข้างกายพี่รองข้าสบายใจมาก แต่เรื่องในครานี้ทำให้ข้ารู้ ว่าใต้หล้านี้ช่างกว้างใหญ่ มีอีกหลายอย่างที่ข้าต้องไปดูด้วยตัวเอง”
เสี่ยวเวยมองไปยังถนนหนทางที่ร้างผู้คน ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างมากขึ้น