ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 630 ไถ่ถาม
บทที่ 630 ไถ่ถาม
บทที่ 630 ไถ่ถาม
“ความจริงแล้วข้าเป็นแค่เร่ร่อนคนหนึ่งบนถนนทางตอนใต้ วัน ๆ ก็เอาแต่กิน ดื่ม เมานารี เล่นพนัน วันนั้นมีคนผู้หนึ่งมาหาข้า บอกเส้นทางการรวย ถามว่าข้าอยากลองหรือไม่”
คนเร่ร่อนผู้นั้นเอ่ยพลางมองสีหน้าของเหยาเอ้อหลาง เพื่อให้แน่ใจว่าหยาเอ้อหลางจะไม่โกรธฉุนเฉียวเพราะเขา
“ตอนนั้นข้าติดหนี้พนันจำนวนมาก คืนได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น คิดแค่ว่าทำอย่างไรให้ได้ตั๋วเงินก้อนใหญ่ ถึงอย่างไรเงื่อนไขของคนผู้นั้นก็ทำให้ข้าตื่นเต้น ถ้าทำได้จริงคงไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องไปตลอดทั้งชาติ จึงตอบรับไป”
“เขาให้เจ้าทำสิ่งใด?”
“คนผู้นั้นสั่งให้ฆ่าคนกลุ่มหนึ่ง ทั้งยังมอบภาพวาดรูปร่างหน้าตาของคนเหล่านั้นให้ข้า ข้าจึงเรียกเหล่าพี่น้องบางส่วน บุกเข้าไปจับตัวคนเหล่านั้นโดยไม่ทันตั้งตัว ถึงกระนั้นคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวบนถนนบ่อยนัก ดังนั้นต่อให้หายตัวไปโดยไร้ร่องรอยก็ไม่มีใครรู้”
“จากนั้น?”
“ดูเหมือนเมื่อสองสามวันก่อน คนผู้นั้นบอกให้ข้าลงมือ ข้าจึงนำเงินบางส่วนช่วยให้เหล่าพี่น้องออกจากเมืองไปก่อน คนเหล่านั้นถูกจับตัวไว้ ถ้าข้าอยากฆ่าพวกเขา มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก หลังจากฆ่าแล้วก็นำร่างมาส่งยังสถานที่ที่กำหนดไว้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีคนมาเห็นเร็วขนาดนี้”
“เช่นนั้นเจ้าคงจะรู้ว่ามันไม่น่าเร็วเพียงนี้ ต้องมีคนแจ้งข่าวใช่หรือไม่?”
“เป็นไปไม่ได้ พี่น้องของข้าต่างก็เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน พวกเขาไม่มีทางขายข้ากินแน่” ชายหนุ่มมั่นใจมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนดี แต่ก็ดีต่อพี่น้องเสมอ
พี่น้องเหล่านั้นติดตามเขามานานหลายปีแล้ว ถ้าไม่ซื่อตรงจริงเขาคงค้นพบไปแล้ว
“ข้ายังไม่ได้บอกว่าผู้ที่รายงานคือพี่น้องของเจ้าเลยนะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“คนผู้นั้นไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นคนที่ที่เจ้าคิดไว้” เหยาเอ้อหลางมองชายตรงหน้า โดยไม่รู้ว่าเขาโง่เขลาหรือไร้เดียงสากันแน่ ถูกคนขายจนหมดเปลือกแล้วยังจะช่วยเขาอีก
“เป็นไปไม่ได้!”
“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าคนในใจของเจ้าคุ้มค่าที่จะไว้ใจได้จริง เจ้าคงไม่นึกถึงเขา แต่ในเมื่อเจ้านึกถึงเขานั้นหมายความว่าเจ้าก็รู้ ใช่หรือไม่?”
“…”
คนผู้นั้นไม่พูดสิ่งใด เขารู้อย่างแน่นอน
เรื่องใหญ่เช่นนี้จะให้เสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด เขาใช้ความโชคดีเข้าสู้ ถ้าโชคดี ชีวิตของตัวเองหลังจากนี้ก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก ใครเลยจะรู้ว่าคนเลี้ยงนกอินทรีสุดท้ายแล้วจะตาบอดเพราะนกอินทรี
ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านเรื่องเมื่อวาน คนตรงหน้าสามารถยอมรับได้อย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าทคนที่เขาพูดไม่ใช่ตัวเอง แต่ทุกเรื่องที่พูดเขาล้วนเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น การจะให้คนเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนทำเป็นเรื่องที่ยากมาก
“คนผู้นั้นเป็นใคร?”
“ข้าไม่รู้ ข้ารู้แค่ว่าคนผู้นั้นเป็นคนที่มีอำนาจมากคนหนึ่ง คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาก็เก่งกาจ”
“ถ้าให้เจ้าฟังเสียงของเขา เจ้าจะจำได้หรือไม่?”
“ได้”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าจงอยู่ที่นี่ต่อไปให้ดี ถ้ามีเรื่องอะไรที่ข้าอยากถามเจ้า ข้าจะมาหาเจ้าแน่นอน เจ้าจะปลอดภัยก่อนที่คนผู้นั้นจะถูกจับ ดังนั้นอย่าคิดหนี มิเช่นนั้นข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะรอถึงวันนั้นได้ พี่น้องที่นี่ของข้าต่างอารมณ์ไม่ค่อยจะดีด้วย”
“ข้ารู้แล้ว”
ในเมื่อถูกจับแล้ว ยังมีสิ่งใดที่รับไม่ได้อีกล่ะ?
ตอนถูกจับเขารู้ว่าตัวเองหมดหนทาง ตอนนี้แค่มีชีวิตอยู่วันเดียวก็นับว่าเป็นกำไรแล้ว เขาจะไม่พอใจสิ่งใดได้
หากแต่เขาไม่เข้าใจ ทำไมราชสำนักถึงต้องทำเรื่องนี้ให้เอิกเกริกด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง ทำไมจะต้องให้คนมากมายเพียงนี้ลงมือด้วย
เป็นอย่างที่คิดไว้ เขาไม่รู้ความคิดของท่านผู้นำ ถ้ารู้ เขาคงไม่มีวันเป็นคนเร่ร่อนแบบนี้
หลังออกจากเมืองจิงจ้าว เหยาเอ้อหลางยังไม่ได้กลับจวนในทันที แต่เปลี่ยนเส้นทางไปยังจวนหลิน
“เอ้อเป่ากลับมานานแล้ว เจ้ายังไม่ชินอีกหรือ?”
เหยาซูเห็นท่าทีโศกเศร้าของลูกสาว คล้ายกับไม่มีกระจิตกระใจทำสิ่งใด จึงได้ลอบเป็นห่วงในใจอย่างชัดเจน
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร แค่คะนึงหาพี่อาเถิง ไม่รู้ว่าบาดแผลของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง” หลินซือยิ้มให้กับเหยาซู แม้ว่านางจะดูเหมือนคนไม่คิดสิ่งใด แต่เป็นห่วงบาดแผลของเจี่ยงเถิงมาตลอด
หลังจากที่เจี่ยงเถิงกลับจากจวนของนางก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย เหมือนงานจะยุ่งมาก
คนที่มารดาส่งออกไปได้กลับมารายงานว่าช่วงนี้เจี่ยงเถิงมีเรื่องใหญ่ต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่สามารถมาหานางได้
ผู้อื่นต่างคิดว่าหลังจากเหตุการณ์ครานี้เจี่ยงเถิงนั้นได้รับความสำคัญจากองค์จักรพรรดิ แต่สิ่งที่หลินซืออยากรู้คือบาดแผลของพี่อาเถิงดีขึ้นบ้างหรือไม่ เริ่มทำงานเช่นนั้น ไม่รู้ว่าจะทำให้การสมานตัวของบาดแผลนั้นช้ายิ่งกว่าเดิมหรือไม่
“เจ้าวางใจเถอะ ถ้ามีเรื่องจริง ป้าเจี่ยงจะต้องส่งคนมาบอกข้าแล้ว อีกอย่างอาเถิงก็ยุ่งมากด้วย เจ้าต้องเชื่อฟัง อย่าไปรบกวนเขา เข้าใจหรือเปล่า?”
แม้ว่าลูกสาวจะไม่ค่อยเปิดหูเปิดตานัก แต่เมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของลูกสาว ในใจของเหยาซูก็พอรู้บ้างเจ็ดถึงแปดส่วน
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่วางใจเถอะ”
“ฮูหยิน คุณชายรองเหยากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เอ้อหลางมาหรือ? รีบเชิญเขาเข้ามาสิ” ครั้นได้ยินชื่อของเหยาเอ้อหลาง ในใจของเหยาซูดีใจเป็นอย่างมาก
นางเองก็ไม่ได้เจอหลานชายคนนี้ของตัวเองมานานแล้ว
“พี่รองมาแล้วหรือ?”
“รายงานฮูหยินและคุณหนู หลังจากคุณชายรองเหยากลับถึงจวนก็ตรงไปยังจวนของคุณชายซวีทันที ให้ข้าน้อยมารายงานฮูหยินและคุณหนูแทนขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ” ครั้นได้ยินคำพูดของคนรับใช้ เหยาซูก็ให้คนรับใช้นั้นออกไป
ความสัมพันธ์ของบิดาซวีแหละหลินเหรานั้นดีมาก พร้อมตายแทนกันได้ทำนองนั้น
ซวีจ้าวไม่มีมารดาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจวนท่านแม่ทัพจึงมีจวนของเขาโดยเฉพาะ
สองสามวันนี้ ซวีจ้าวอยู่ในจวนท่านแม่ทัพตลอด
นางมักพูดเสมอว่าเอ้อหลางมากมาเล่นกับนางน้อยมาก ใครเลยจะรู้ว่าครานี้เขาจะมาหาซวีจ้าว
แต่แบบนี้ก็ดี ซวีจ้าวก็อีกคน แม้ว่าจะมีทักษะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก แต่เพื่อนรอบตัวของเขาน้อยมาก แม้แต่โลกก็ยังไม่เข้าใจ ถ้าอยู่กับเอ้อหลางน่าจะพอส่งเสริมกันและกันได้บ้าง
“ท่านแม่ ข้าเองก็ไม่ได้เจอกับพี่รองนานแล้ว ข้าอยากไปเจอพี่รองเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไปเถอะ แต่เอ้อเป่าเจ้าต้องจำไว้ อย่าเข้าไปรบกวนในระหว่างที่พี่รองของเจ้าคุยเรื่องสำคัญกับคุณชายซวีเด็ดขาด”
“ท่านแม่วางใจ ข้ารู้เจ้าค่ะ” หลินซือส่งยิ้มให้เหยาซู และเดินไปยังจวนของซวีจ้าวทันที
คนในจวนหลินเห็นหลินซือ ก็พากันทำความเคารพนางทั้งนั้น
แม้ว่าชีวิตข้างนอกจะมีสีสัน แต่ในจวนกลับทำให้หลินซือรู้สึกอบอุ่น
ถ้าตอนนี้ พี่อาเถิงอยู่ด้วยก็คงดี หลินซือนึกถึงเจี่ยงเถิงโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มาถึงจวนหลินทั้งทีกลับมุ่งหน้าไปหาซวีจ้าวเป็นคนแรก สองคนนี้มันยังไงกันน่า
ไหหม่า(海馬)