ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 645 ไป๋หรูปิงผู้น่ามอง
บทที่ 645 ไป๋หรูปิงผู้น่ามอง
บทที่ 645 ไป๋หรูปิงผู้น่ามอง
เพียงแต่ในตอนที่มารดาเสนอให้เขาออกไปเที่ยวเล่นกับไป๋หรูปิงนั้น ใบหน้าของมารดาแต้มไปด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจ และยังเสนอความคิดมากมายให้แก่เขาอีกด้วย
แม้แต่หลินจื้อเองก็ยังทอดถอนใจ ความคิดที่มารดาของตนเสนอมานั้นคือความคิดที่บิดาเคยใช้กับมารดามาก่อนไม่ใช่หรือ? มิเช่นนั้นมารดาจะมีความทรงจำที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้อย่างไร? เมื่อครั้งวัยเยาว์อาจื้อจำได้ว่า บางครั้งที่ตื่น มักจะไม่เจอมารดา….
และเขาไม่กล้าไปไถ่ถามผู้เป็นพ่อ
“มีความปีติหรือ?” ไป๋หรูปิงเหมือนจะไม่ได้เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคของหลินจื้อมากนัก
“ใช่ ท่านแม่ให้ข้ามาอยู่กับเจ้า บอกว่าอีกไม่นานเจ้าต้องออกเรือนมาอยู่กับเราแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยมีช่วงเวลาได้อยู่กับเจ้าจริง ๆ จัง ๆ เลย ดังนั้นจึงให้ท่านพ่อร้องขอต่อองค์จักรพรรดิ ให้ข้าได้หยุดอยู่กับเจ้าโดยเฉพาะ”
หลินจื้อมองไป๋หรูปิงพลางเอ่ยหยอกเย้าเล็กน้อย แต่ที่เขาพูดเป็นความจริง เดิมทีเรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวศิษย์น้องก็ได้ แต่เขาชอบมองท่าทางเหนียมอายของศิษย์น้อง
“ข้าโตเพียงนี้ ไฉนเลยต้องมีคนคอยอยู่ด้วย ถ้าศิษย์พี่มีเรื่องต้องทำก็รีบไปจัดการเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่มีสิ่งใดต้องทำ วันนี้ข้าตั้งใจมาอยู่กับศิษย์น้องโดยเฉพาะ ศิษย์น้องมีที่ที่อยากไปหรือไม่?” หลินจื้อได้เห็นท่าทางเขินอายหน้าแดงระเรื่อดั่งที่หวังไว้ ก็พาให้หัวใจเต้นเร็วรัวยิ่งขึ้น
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นศิษย์น้องตามข้ามา”
“ไปไหนเจ้าคะ?”
“วันนี้อากาศดี ไปเที่ยวเล่นบริเวณทะเลสาบกับศิษย์น้องดีกว่า ศิษย์น้องเคยพูดก่อนหน้านั้นไม่ใช่หรือ ว่าชอบไปทะเลสาบยามอากาศดีที่สุด?”
แม้ว่าหลินจื้อจะหยาบยกระด้าง แต่ทุกประโยคที่ไป๋หรูปิงเคยกล่าวไว้ เขาล้วนจดจำไว้ขึ้นใจ แต่เพราะในบางครั้งงานก็ยุ่งเกินไป จึงไม่ได้ช่วยให้นางสมหวังเท่านั้น
ไหน ๆ วันนี้ก็มีเวลาแล้ว ขอแค่เป็นเรื่องที่ศิษย์น้องอยากทำ เขายินดีไปกับศิษย์น้องได้ทุกที่
ครั้นถึงทะเลสาบ ก็ได้เจอกับคุณหนูขุนนางชั้นสูงมากมายที่นี่ ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูดีมีราศี มีสาวใช้คอยประคองลงเรือ
“ศิษย์น้อง ระวังด้วยนะ ในเรือลำนี้มีน้ำขัง อาจจะลื่นได้” หลังจากประคองไป๋หรูปิงลงเรืออย่างระมัดระวังแล้ว หลินจื้อก็ย่างเท้าเข้าไปในเรือ ทว่าหลินจื้อที่เดิมทีมีใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่แล้ว ประกอบกับความเอาใจใส่ที่มีต่อไป๋หรูปิง จึงคว้าหัวใจของบรรดาคุณหนูไปได้ไม่น้อย
ทุกคนต่างได้ยินหลินจื้อเรียกไป๋หรูปิงว่าศิษย์น้อง นั่นพิสูจน์ได้ว่าทั้งสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงคู่รักกัน ดังนั้นคุณหนูตระกูลขุนนางเหล่านั้นจึงมักจะสอดส่องสายตามายังเรือของหลินจื้ออยู่ตลอดเวลา ราวกับคาดหวังอะไรบางอย่าง
มีคุณหนูที่แต่งกายด้วยกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนนางหนึ่ง นางค่อย ๆ ย่างกรายเข้าใกล้เรือของหลินจื้อภายใต้การประคองของสาวใช้
“คุณชาย ไม่ทราบว่าจะลำบากไหม ถ้าข้าจะขอนั่งเรือลำเดียวกับพวกท่านไปด้วย?” คุณหนูชุดฟ้าอ่อนผู้นั้นมองหลินจื้อ ด้วยท่าทีอ่อนแอเหมือนจะต้านลมไม่อยู่ ถ้าเป็นคุณชายคนอื่นจะต้องสงสารหญิงงามผู้นี้แน่นอน
แต่น่าเสียดายที่เป็นหลินจื้อ ผู้ซึ่งถูกกำหนดให้ไม่สนใจเรื่องอื่น
“ต้องขอประทานอภัยด้วย เรือของเรานั่งได้เพียงแค่สองคน เชิญคุณหนูนั่งไปกับเรือลำอื่นเถิด” หลินจื้อไม่ใช่คนทั่วไป เขาย่อมเข้าใจความหมายในใจของคุณหนูท่านนี้ เพียงแต่ไม่อยากพูดมากความเท่านั้น
จากนั้นก็สั่งให้คนพายเรือออกเรือ คุณหนูชุดฟ้าอ่อนผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกปฏิเสธ สีหน้าจึงดูแย่ลงในทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ศักดิ์ศรีของตัวเอง คาดว่าคงจะเดินจากไปเสียตอนนั้น
ครั้นไป๋หรูปิงเห็นว่าหลินจื้อทำเช่นนั้นก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ ศิษย์พี่ไม่เข้าใจจริง ๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่ ความคิดของคุณหนูผู้นั้นชัดเจนเพียงนั้น เขายังมองไม่ออกอีกหรือ?
“ศิษย์น้อง คิดสิ่งใดถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เช่นนั้น?” ครั้นเห็นท่าทางกระตือรือร้นของไป๋หรูปิง หลินจื้อก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างอดไม่ได้ ศิษย์น้องไม่หึงหวงเขาเลยหรือไร?
“ข้ายิ้มให้กับเสน่ห์ที่เหลือล้นของศิษย์พี่ ขนาดมาเที่ยวทะเลสาบก็ยังมีคุณหนูแวะเวียนเข้ามาเชื้อเชิญท่าน”
“คนเหล่านั้นสนใจเพียงชั่วคราวเท่านั้น มีแค่ศิษย์น้องเป็นคนที่เข้าใจข้าที่สุด” ไป๋หรูปิงหยอกเย้าหลินจื้อ หลินจื้อกลับเริ่มสารภาพความในใจของตัวเอง ทำให้ไป๋หรูปิงไม่รู้จะตอบรับอย่างไรไปชั่วขณะ แม้แต่สายตาก็ยังไม่รู้จะไปมองที่ไหน
“ที่ไหนกันเล่า ข้าไม่ได้เข้าใจศิษย์พี่เสียหน่อย”
“ใช่หรือ? ไม่เป็นไร เรายังพอมีเวลา ค่อย ๆ ทำความเข้าใจกันก็ได้”
“ศิษย์พี่ ถ้าท่านยังพูดเช่นนี้ ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว” ไฉนเลยไป๋หรูปิงจะทนต่อการหยอกเย้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าของหลินจื้อได้ สีหน้าของนางจึงยิ่งแดงระเรื่อมากขึ้น
“เอาละ ไม่ล้อแล้ว ศิษย์น้อง เจ้าคอยดูหลังจากนี้เถอะ” ครั้นเห็นหญิงสาวเสียการควบคุม หลินจื้อก็ยับยั้งชั่งใจลงเล็กน้อย
ระหว่างนั้นก็ดึงตัวไป๋หรูปิงเข้าหาตัวเอง จากนั้นก็กระซิบบอกข้างหูของนางอย่างแผ่วเบา กระทั่งเห็นใบหูของหญิงสาวเริ่มแดงระเรื่ออย่างช้า ๆ ดั่งที่คาดหวังไว้
ศิษย์น้องเขินอายจริง ๆ ยิ่งศิษย์น้องเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งดูเหมือนว่าเขาจะชอบนางมากขึ้น
“ว่าอย่างไรนะ?” ครั้นได้ยินคำพูดของหลินจื้อ ไป๋หรูปิงก็รีบหันไปมองด้านหลังด้วยจิตใต้สำนึก
ต้นอ้อที่อยู่ไกลออกไปได้เชื่อมต่อกันเป็นผืนใหญ่ ค่อย ๆ ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนน้ำ ทำให้แยกไม่ออกว่าอันไหนคือความจริงอันไหนคือเงาสะท้อน นกกระยางสีขาวที่หยุดยืนอยู่บนผิวน้ำเป็นครั้งคราวเหล่านั้นได้สร้างสีสันให้สถานที่แห่งนี้งดงามมากยิ่งขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ไป๋หรูปิงคาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีทิวทัศน์ที่งดงามเพียงนี้ นัยน์ตาจึงทอประกายความประหลาดใจ จนลืมไปเลยว่าเมื่อครู่หลินจื้อพูดว่าอย่างไร
นางที่มักจะกักขังตัวเองอยู่แต่ในเรือนมาตลอด ครั้นสัมผัสได้ถึงความงามที่เป็นธรรมชาติแห่งนี้ครั้งแรก ก็ทำให้นางได้เพลินจนลืมเวลากลับจวนไปทีเดียว
“งดงามจริง ๆ”
“ใช่ นับตั้งแต่ที่ข้าได้เจอทิวทัศน์ที่นี่ข้าก็คิดมาตลอด ไว้มีโอกาสจะต้องพาเจ้ามาเห็นที่นี่ด้วยตัวเองให้จงได้ เจ้าจะต้องประหลาดใจเช่นนี้แน่นอน แต่ต่อมาก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย และเจ้าเองก็ยุ่งเรื่องเปิดร้าน จึงทำให้เวลาร่วงเลยผ่าน คาดไม่ถึงว่าจนถึงวันนี้ ข้าจะได้สมหวังดั่งที่ปรารถนาไว้”
หลินจื้อดึงตัวไป๋หรูปิงเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบข้างหูของนางอย่างแผ่วเบา
เขาไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่หวานหยาดเยิ้มมากมายเหมือนคนอื่น รู้แค่ว่าในตอนที่เขาได้เจอกับความงดงามเช่นนี้ เขาอยากบอกกับศิษย์น้องเป็นคนแรก บางทีนี่อาจจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเขามีใจชมชอบศิษย์น้องไปแล้ว
“ศิษย์พี่ ขอบคุณนะเจ้าคะ ข้าชอบมาก”
“เด็กโง่ จะมาพูดขอบคุณกับข้าทำไม ต่อไปข้าจะพาเจ้าไปดูทิวทัศน์ที่งดวามและดียิ่งกว่านี้ เจ้ายังต้องขอบคุณข้าอีกงั้นหรือ?”
“เช่นนั้นข้าไม่พูดแล้วก็ได้” ไป๋หรูปิงมองหลินจื้ออย่างเบิกบานใจ นางคาดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ที่มักพูดไม่ค่อยเก่งมาตลอดจะทำเช่นนี้
ไม่เพียงแต่ประหลาดใจเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นกลับได้รับความสุขที่เต็มเปี่ยมในหัวใจอีกด้วย นางชอบศิษย์พี่ที่สุด
“ดูให้เต็มที่ เรายังมีเวลาอีกมาก”
“ศิษย์พี่ ท่านดูสิ นกกระยางตัวนั้นเคลื่อนไหวได้เร็วมาก”
ในตอนที่ไป๋หรูปิงกำลังพูดนั้น นกกระยางสีขาวได้โฉบตัวลงมาอย่างรวดเร็ว จิกปากลงบนผิวน้ำอย่างแผ่วเบา กระทั่งกวาดเอาปลาขึ้นมามากกว่าหนึ่งตัว
“อื้อ”
หลินจื้อไม่ได้รบกวนไป๋หรูปิง แต่มองนางอย่างเงียบ ๆ
ไป๋หรูปิงมองทิวทัศน์ที่หาได้ยากยิ่งยิ่งอย่างจริงจัง เพราะกลัวจะพลาดวินาทีที่ยอดเยี่ยมไป แต่หลินจื้อกลับมองคนของใจเพราะชอบ ดังนั้นไม่ว่านางจะทำสิ่งใดล้วนแต่น่ามองทั้งสิ้น….
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไป๋หรูปิงเริ่มหึงอาจื้อของพวกเราขึ้นมาแล้วสินะ
ไหหม่า(海馬)