ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 647 ศิษย์น้องชอบข้า
บทที่ 647 ศิษย์น้องชอบข้า
บทที่ 647 ศิษย์น้องชอบข้า
“เป็นไปได้อย่างไร? ศิษย์น้องชอบข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว เพราะข้าเองก็ชอบศิษย์น้องเช่นกัน แต่สาเหตุที่ศิษย์น้องหวงข้านั้นเพราะเจ้าใส่ใจข้า เช่นเดียวกับข้า ข้าเองก็ทนไม่ได้ที่ชายอื่นมาปรากฏต่อหน้าศิษย์น้อง”
แม้ว่าหลินจื้อเห็นเหยาซูและหลินเหราจะอยู่ด้วยกันไม่บ่อยนัก แต่รูปแบบการสานสัมพันธ์ครั้นเหยาซูและหลินเหราอยู่ด้วยกันนั้นยังตราตรึงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเขา
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะแต่งงานกับลูกสาวตระกูลอื่น ชีวิตนี้ขอแค่มีศิษย์น้องอยู่ข้างกายเขา นับว่าโชคดีที่สุดในสามชาติแล้ว
“จริงหรือ?” ไป๋หรูปิงคาดไม่ถึงว่าหลินจื้อจะคิดเช่นนี้ ความตื่นเต้นในใจปะทุขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
“จริงแท้แน่นอน ศิษย์น้อง ข้าให้สัญญากับเจ้า ตลอดชีวิตนี้ข้าจะมีเจ้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว เหมือนกับท่านพ่อและท่านแม่ของข้า แม้บางครั้งเราจะมีปากเสียงกันบ้าง จะไม่มีความสุขกันบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะครองคู่กันไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ดีไหม?”
“อื้อ ศิษย์พี่ ข้ารับปากท่าน”
คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้รับการปฏิบัติที่จริงจังเช่นนี้จากศิษย์พี่ ความชอบในใจของไป๋หรูปิงที่มีต่อศิษย์พี่ผู้นี้จึงยิ่งทวีคูณขึ้น ไฉนเลยจะไม่ตอบตกลงเล่า
“เอาล่ะ วันนี้ข้าตั้งใจออกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้า อย่าคิดเรื่องพวกนี้เลยนะ เจ้าวางใจเถอะ ข้ารับปากว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี และจะไม่มีวันกลืนน้ำลายตนเอง”
หลินจื้อกล่าวพลางใช้มือเขี่ยปลายจมูกของไป๋หรูปิงอย่างแผ่วเบา ในใจของหลินจื้อ ศิษย์น้องผู้นี้ปรากฏอยู่ในความทรงจำของเขาไปตลอดชีวิต แม้ว่าตอนนี้พวกเขาต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่รูปแบบความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ จู่ ๆ ข้าก็นึกอยากกินห่านพะโล้ของร้านอาหารฉวนฝูขึ้นมา” บางทีอาจเพราะได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการ ไป๋หรูปิงจึงเปลี่ยนเป็นร่าเริงมากยิ่งขึ้น
“ได้สิ เช่นนั้นข้าจะไปเป็นกับเจ้า”
ทั้งสองคนออกเดินทางไปยังร้านอาหารฉวนฝู แม้ว่าร้านอาหารฉวนฝูจะเพิ่งเปิดใหม่ แต่อาหารอันโอชะภายในร้านนั้นขึ้นชื่อเลยทีเดียว ดังนั้นหลังจากเปิดได้ไม่นาน ก็กลายเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในเมืองไปโดยปริยาย
เมื่อมาถึงร้านอาหารฉวนฝู ภายใต้การต้อนรับของลูกจ้าง หลินจื้อและไป๋หรูปิงนั่งอยู่ในห้องพิเศษ ส่วนคนอื่น ๆ นั่งกินกันอยู่ภายนอก
หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว หลินจื้อก็เพิ่งมีโอกาสได้พูดคุยกับไป๋หรูปิง
“ศิษย์น้อง ช่วงนี้คงลำบากเจ้าแย่ คงเหนื่อยมากสินะ”
“ศิษย์พี่ ตอนที่ท่านออกมาข้างนอกวันนี้ท่านก็เคยพูดแล้ว”
“…ข้าลืม” หลินจื้อไม่ถนัดชวนสตรีคุย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสตรีที่อยู่ในใจเขาเสมอมาตรงหน้าผู้นี้ แม้แต่ผู้ที่ห้ำหั่นกันในชั้นศาล ก็ยังแสดงท่าทีน่าเกลียดต่อหน้าไป๋หรูปิงได้เช่นเดียวกัน
“ศิษย์พี่ ท่านกังวลมากไปหรือไม่?” ครั้นเห็นท่าทางของหลินจื้อ ไป๋หรูปิงก็อดขบขันไม่ได้
“เปล่านะ แค่รู้สึกว่าเวลามันเดินเร็วเกินไปก็เท่านั้น”
“ใช่ ยามนึกถึงช่วงเวลาในตอนที่ข้าและเอ้อเป่าเล่นด้วยกัน ท่านมักจะอยู่ข้างกายเราเสมอ หลังจากเราประสบกับเรื่องเลวร้ายก็มักจะกำจัดความวุ่นวายเหล่านั้นให้เราเสมอ ตอนนั้นข้าดีใจมากจริง ๆ”
ดูเหมือนว่าครั้นนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ไป๋หรูปิงมักจะนึกถึงพวกเขาในช่วงเวลานั้นเสมอ
“อีกอย่าง แม้ว่าทุกครั้งจะเป็นฝีมือของพวกเจ้า แต่สุดท้ายท่านแม่ก็โทษข้าอยู่ดี บอกว่าข้าไม่ดูแลน้องสาวให้ดี”
“ท่านพ่อก็กล่าวหาข้า ไม่รู้ว่าใครเป็นลูกของเขากันแน่ ทุกครั้งที่เราทำผิด ท่านพ่อจะปกป้องท่านพี่เสมอ”
ทั้งสองคนดูเหมือนจะหาหัวข้อสนทนาที่ไปในทิศทางเดียวกันเจอแล้ว ข้าพูด เจ้าก็พูดตามเช่นนี้ ไม่มีใครห้ามใคร
ไม่นาน อาหารก็ถูกยกเข้ามา หลินจื้อคอยคีบอาหารให้ไป๋หรูปิง สุดท้ายครั้นเห็นไป๋หรูปิงกินอาหารไปมากพอสมควรแล้ว หลินจื้อก็รีบกินข้าวตามไปสองสามคำ กระทั่งอาหารมื้อนี้หมดลง ท้องฟ้ายามนี้ดึกมากแล้ว หลินจื้อเตรียมจะส่งไป๋หรูปิงกลับจวน
ถึงอย่างไรช่วงนี้ไป๋หรูปิงก็มักจะวิ่งมาที่จวนของตนทุกวันอยู่แล้ว แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่กล่าวสิ่งใด แต่เขาก็ควรเข้าไปกล่าวขอบคุณเขาสักครั้ง
หลังจากมาถึงจวนไป๋ ไป๋โป๋เจ๋อได้รออยู่หน้าประตูแล้ว เขาให้ไป๋หรูปิงกลับเข้าห้องไปก่อน ส่วนเขาก็นำหลินจื้อเข้ามาในห้องตำรา คำสั่งของท่านอาจารย์ ไฉนเลยหลินจื้อจะปฏิเสธ กระทั่งตามไป๋โป๋เจ๋อเข้าไปในห้องตำรา
“หลินจื้อ ช่วงนี้คงต้องลำบากเจ้าหน่อย” แม้ว่าไป๋โป๋เจ๋อจะไม่ได้พูดคุยกับคนข้างนอกมากมายนัก แต่ก็พอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลินไม่มากก็น้อย
ดังนั้นช่วงนี้บุตรสาวของตนจึงมักวิ่งไปจวนหลินโดยไม่บอกไม่กล่าวกับเขา ในใจจึงนึกอยากช่วยเหลือเสียหน่อย
ตอนนี้ครั้นเห็นหลินจื้อมีเวลาออกไปเที่ยวเล่นกับบุตรสาวของตน ครั้นเห็นว่าสถานการณ์ในตระกูลหลินดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงได้รั้งตัวหลินจื้อไว้
“ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ ข้าไม่เหนื่อย เรื่องในครอบครัวมีท่านพ่อและท่านแม่คอยดูแลอยู่ ข้าแค่มาช่วยเท่าที่ข้าพอจะช่วยได้เท่านั้น” ต่อหน้าท่านอาจารย์อย่างไป๋โป๋เจ๋อ หลินจื้อจะค่อนข้างอ่อนน้อมถ่อมตน
“เมื่อครั้งยังวัยเยาว์ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าไปดูแลสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้แล้ว นั่นพิสูจน์ได้ว่าความสามารถของเจ้าไม่ธรรมดา เรื่องนี้ข้าวางใจ แต่นิสัยของไป๋หรูปิงข้าย่อมรู้ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มักจะแบกรับเองเสมอ ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะกลายเป็นคนที่ไป๋หรูปิงเชื่อใจได้ เช่นนี้นางถึงจะผ่อนคลายลงบ้าง”
สงสารยิ่งใจพ่อแม่แด่ลูกเอย คราที่แล้วก็เกือบจะให้ไป๋หรูปิงออกเรือนกับชายอื่น ในใจของไป๋โป๋เจ๋อจงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
มันไม่ง่ายเลย ครั้งนี้สามารถทำให้นางได้ออกเรือนกับหลินจื้อได้สำเร็จ แต่ในใจของไป๋โป๋เจ๋อก็ยังเป็นกังวลมากมายอยู่ดี กลัวว่าบุตรสาวจะมีชีวิตที่ไม่มีความสุข กลัวว่าบุตรสาวจะเสียนิสัยเพราะคนอื่น กลัวว่าบุตรสาวจะเผชิญหน้ากับความทุกข์เพียงลำพัง
“ท่านอาจารย์วางใจเถอะ ข้ารู้ดี หากอยู่ในความดูแลของข้าแล้ว ข้าจะไม่มีวันทำให้ศิษย์น้องได้รับความไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย ข้าให้สัตย์สาบานด้วยชีวิตของข้าว่าจะต้องทำให้ศิษย์น้องมีความสุขให้จงได้”
“เจ้าเป็นเด็กดี ข้าเชื่อใจเจ้า แต่ศิษย์น้องของเจ้า อย่างไรเสีย ข้าก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี”
“ข้าเข้าใจ ท่านอาจารย์ไม่พูดมากความ ท่านแม่รอข้าอยู่ในจวน ข้าต้องขอตัวก่อน”
“อื้อ เจ้ากลับไปเถอะ” ไป๋โป๋เจ๋อได้พูดเรื่องที่ตัวเองอยาพูดไปหมดแล้ว จึงได้ปล่อยตัวอีกฝ่ายไป ครั้นเห็นว่าหลินจื้อจากไปแล้ว ในใจก็ยังไม่รู้ว่าควรเศร้าโศกหรือจนปัญญา
ลูกศิษย์ผู้นี้ของตนเป็นคนที่ตัวเองเฝ้ามองจนเขาเติบโต หากบุตรสาวออกเรือนกับเขาจะต้องไม่มีวันได้รับความไม่เป็นธรรมแน่นอน
หลังจากออกจากจวนไป๋มา หลินจื้อก็ค่อย ๆ เตรียมตัวกลับจวนหลิน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก แต่ท้องฟ้าข้างนอกมืดลงแล้ว หากไม่จุดตะเกียงไฟ เกรงว่าคงมองไม่เห็นทางแน่นอน
เหมือนกับว่าชีวิตของชายผู้นี้ นับตั้งแต่ลืมตาก็ต้องเดินไปข้างหน้าทีละก้าวทีละก้าว ถอยหลังไม่ได้ลังเลก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นเจ้าต้องรออยู่ในความมืดและไร้ซึ่งอำนาจไม่รู้จบ