ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 649 รายการนี้เราจะรับไว้
บทที่ 649 รายการนี้เราจะรับไว้
บทที่ 649 รายการนี้เราจะรับไว้
“ลูกค้า เจ้าโน้มน้าวลูกค้าท่านนี้ก่อนเถอะ เหล็กดำของเรา ไม่แพงแล้วจริง ๆ” ชายผู้นั้นเห็นว่าเหยาเอ้อหลางดูท่าทางเหมือนคุณชายในตระกูลขุนนางชั้นสูง จึงคิดว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นแน่
แค่ให้คุณชายผู้นี้โน้มน้าวสหายของเขาได้ ตนก็คว้างานนี้มาครอบครองด้วยราคานี้ได้แล้ว
“ข้าขอดูเหล็กดำของพวกเจ้าก่อนได้หรือไม่?” เหยาเอ้อหลางไม่ได้ตอบคำถามของชายผู้นั้นโดยตรง แต่กลับขอดูเหล็กดำชิ้นนั้น
ความจริงก็พอเข้าใจได้ แม้จะบอกว่าเป็นเหล็กดำ แต่คุณภาพของเหล็กดำก็ไม่ได้ดีเหมือนกันเสมอไป เหล็กดำที่ดีมีราคาสองสามร้อยตำลึงเงินไม่นับว่าแพงนัก แต่การใช้เหล็กดำทั่วไปมาตีกริชอย่างมากสุดราคาควรอยู่ที่หนึ่งร้อยกว่าตำลึงเงินเท่านั้น ซึ่งตัวราคาแตกต่างกันมากพอสมควร
“ได้แน่นอน คุณชายโปรดรอสักครู่” ครั้นชายผู้นั้นได้ยินคำพูดของเหยาเอ้อหลาง ก็หมุนตัวเข้าไปข้างใน ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับถาดใบหนึ่งในมือ ซึ่งบนนั้นน่าจะเป็นเหล็กดำ
“คุณชายโปรดดูได้เลย นี่คือเหล็กดำของร้านตีเหล็กของเรา ส่วนผสมของเนื้อเหล็กทุกชิ้นเข้ากันได้อย่างลงตัว คุณชายวางใจเรื่องนี้ได้เลยขอรับ” ชายผู้นั้นสะบัดผ้าขาวที่คลุมอยู่บนเหล็กดำออก จากนั้นก็หยิบมันให้เหยาเอ้อหลางดู
เหยาเอ้อหลางจึงไม่เกรงใจ หลังจากรับมาก็ทำการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนเหมือนกำลังดูว่าเหล็กดำชิ้นนี้ดีจริงอย่างที่ชายผู้นั้นโอ้อวดไว้หรือไม่
หลังจากดูจบ เหยาเอ้อหลางก็นำเหล็กดำชิ้นนั้นคืนชายตรงหน้าไป จากนั้นก็ส่ายหน้า
“ในร้านตีเหล็กของพวกเจ้าเป็นเหล็กดำจริง แต่ไม่ใช่เหล็กดำที่ดีที่สุด ต่อให้ไปซื้อข้างนอกตอนนี้ ตีออกมาเป็นกริชเล่มหนึ่งราคาสูงสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยกว่าตำลึงเงิน ตอนนี้เจ้าเก็บเงินข้าถึงสามร้อยตำลึงเงิน มันไม่แพงเกินไปหน่อยหรือ?”
“คุณชายไม่รู้อะไร เหล็กดำชิ้นนี้มีราคาหนึ่งร้อยกว่าตำลึง แต่ร้านของเรามีช่างหล่อเหล็กฝีมือฉกาจ ค่าจ้างของช่างเหล่านี้ตกเดือนหลังหลายร้อยตำลึงแล้ว ร้านเล็ก ๆ ของเราไม่สามารถลดต้นทุนได้จริง ๆ ขอรับ”
“ใช่หรือ? เท่าที่ข้ารู้มา ค่าเช่าร้านริมทางอย่างพวกเจ้าตกเดือนละสิบห้าตำลึงเงิน เงินเดือนของลูกจ้างในร้านทุกคนตกอยู่ที่หนึ่งตำลึงเงิน ค่าตัวของพวกช่างเหล่านั้นราคาสูงหน่อยอยู่ที่ห้าตำลึงเงิน ส่วนเหล็กดำเหล่านี้เดิมทีไม่ได้อยู่ในร้านของพวกเจ้า แต่เก็บไว้ที่ไหนสักแห่ง หากต้องการใช้ก็ค่อยออกไปซื้อ ครั้นคำนวณแล้ว มากสุดอยู่ห้าสิบตำลึงเงินต่อเดือน ไฉนเจ้าถึงได้บอกว่าตกเดือนละหลายร้อยตำลึงล่ะ?”
คำพูดของเหยาเอ้อหลางล้วนแต่มีเหตุมีผล ทำเอาชายผู้นั้นตะลึงงันไปชั่วขณะ เขาคาดไม่ถึงว่าเหยาเอ้อหลางชายผู้นี้จะรู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้
เขารู้แม้กระทั่งรายได้ในแต่ละเดือน ความจริงแล้วเหยาเอ้อหลางก็เป็นคนตาบอดคนหนึ่ง แต่โชคดีที่เขาพอมีเพื่อนดื่มเพื่อนกินบ้าง และมีทุกสายอาชีพ ดั้งนั้นจึงมักได้ยินพวกเขาบ่นอยู่หลายครั้งหลายครา ตัวเองเลยจำได้ขึ้นใจ
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่ามันจะมีประโยชน์ ครั้นเห็นชายผู้นั้นอึ้งงันไป เหยาเอ้อหลางก็รู้ทันทีว่าตัวเองพูดถูก
“คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าคุณชายจะรู้เรื่องเหล่านี้ด้วย กลับเป็นข้าที่คำนวณพลาดไป เพียงแต่เงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงเงินนี้ข้ารับไว้ไม่ได้จริง ๆ คุณชายท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”
“ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากใจ เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ถ้าเจ้าทำได้ข้าก็จะจ่าย ถ้าเจ้าทำไม่ได้ข้าก็ต้องไปร้านอื่น เชื่อว่าพวกเขาจะยอมทำแน่นอน” เหยาเอ้อหยางไม่ให้โอกาสชายผู้นั้นได้พูดแต่อย่างใด กระทั่งต่อรองราคา
“งั้นก็ได้ รายการนี้เราจะรับไว้ ได้โปรดคุณชายค่อยมารับของชิ้นนี้กับเราหลังจากนี้อีกเจ็ดวัน”
“ได้ เราจะจ่ายมัดจำให้เจ้าห้าสิบตำลึงเงินก่อน อีกเจ็ดวันก็ค่อยยื่นหมูยื่นแมว ของถึงเงินถึง” กล่าวจบ เหยาเอ้อหลางก็ล้วงหยิบเงินจำวนวนห้าสิบตำลึงเงินให้ชายผู้นั้น ส่วนตัวเองและซวีจ้าวก็จากไปพร้อมกัน
ระหว่างทางกลับ เหยาเอ้อหลางนึกถึงการลงลายเส้นหลายคราของซวีจ้าวเมื่อครู่ ก็รู้ทันทีว่าเขานั้นมีศักยภาพมาก
“เจ้าเคยเรียนวิชาศาสตราวุธมาก่อนรึ?”
“ไม่เคยเรียน เพียงแต่ท่านแม่ทัพหลินเคยชี้แนะให้ข้าหลายครา ข้าเดินตามความคิดของท่านแม่ทัพหลินจึงได้รับผลพลอยได้นี้มาบางส่วน”
“เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ต้องยอมรับว่าเจ้ามีความสามารถมาก ท่านแม่ทัพหลินเคยชี้แนะเจ้าหลายคราจนเกิดความสำเร็จดั่งในวันนี้ ซวีจ้าว เจ้าเหมาะสมจะเป็นทหารในสนามรบมาตั้งแต่กำเนิด” ครั้นนึกถึงซวีจ้าวที่เคยอยู่เคียงข้างตนเองเมื่อครั้งอดีต เหยาเอ้อหลางก็เข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใดซวีจ้าวถึงได้โกรธเคืองนัก
“ก็ดี”
“ถ้าเจ้าไม่อยากลงสนาม ลำพังแค่ความดีความชอบทางการทหาร ตำแหน่งที่องค์จักรพรรดิทรงพระราชทานแต่งตั้งให้ตอนนี้ก็นับว่าเหลือเฟือแล้ว”
“สนามรบคือบ้านเรือนของข้า นอกจากสนามรบแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ใด” ซวีจ้าวไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะต้องลาห่างจากสนามรบ
เพราะทุกครั้งก็มีแค่สนามรบเท่านั้น เขาจึงรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของตัวเอง
“ถ้าเจ้าไม่คิดมากสักหน่อย ก็มาอยู่ข้างกายข้าก็ได้ เรื่องราวในเมืองจิงจ้าว ช่วงนี้เจ้าก็พอจะเข้าใจ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ก็เกี่ยวข้องกับความสงบของเมืองหลวง”
เหยาเอ้อหลางจึงถือโอกาสโน้มน้าวให้ซวีจ้าวอยู่ข้างกายตน เขาชินแล้วกับการมีซวีจ้าวอยู่ข้างกายตน ถ้าวันหนึ่งซวีจ้าวไม่อยู่ เขาคงจะไม่ชินแน่นอน
“เอ้อหลาง ความหมายของเจ้าข้าเข้าใจ แต่ข้าไม่อยากจริง ๆ ได้โปรดเจ้าอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้กับข้าอีกได้หรือไม่?”
“ซวีจ้าว!” คาดไม่ถึงว่าซวีจ้าวจะมีทิฐิสูงมากเช่นนี้ เหยาเอ้อหลางไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวเขาอย่างไร มีแต่คนบอกว่าเขาคารมคมคายดี แต่ครั้นเจอกับซวีจ้าวชายผู้ดื้อดึงคนนี้ ต่อให้มีคารมคมคายดีอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
“เอาล่ะ เราไม่พูดเรื่องนี้กันได้หรือไม่?” ครั้นเห็นทั้งสองคนกำลังจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง ซวีจ้าวจึงเป็นฝ่ายหยุดหัวข้อสนทนานี้ก่อน
เขายอมรับว่าตอนนี้ตัวเองเห็นเหยาเอ้อหลางเป็นพี่น้องของตัวเองคนหนึ่งไปแล้ว แต่เขาไม่สามารถทอดทิ้งความฝันตัวเองเพื่อเหยาเอ้อหลางได้ การสังหารศัตรูในสมรภูมิรบเป็นเพียงอย่างเดียวที่เขาจะสามารถทำเพื่อประเทศและราษฎรเหล่านี้ได้ เขาไม่มีทางถอยหลังง่าย ๆ เด็ดขาด
“ได้ ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ เราจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก” เหยาเอ้อหลางรู้ดีว่าตัวเองได้เผลอยั่วโมโหซวีจ้าวเข้าให้แล้ว
ทั้งสองคนเดินโดยไม่กล่าวสิ่งใดไปตลอดทาง ราวกับว่าต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในความเงียบงัน กระทั่งมาถึงจวนหลิน ซวีจ้าวได้เดินเข้าไปข้างในโดยไม่กล่าวลาเหยาเอ้อหลางแม้แต่คำเดียว
คำกล่าวลาที่เหยาเอ้อหลางเตรียมไว้ก็ต้องกลืนมันกลับเข้าไป ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากเจอเขา เหตุใดเขาต้องหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ต้อนรับด้วย
เขาจึงเดินกลับไปยังจวนเหยาเพียงลำพัง กระทั่งไม่อยากเข้าไปเจอท่านอาของตัวเองด้วยซ้ำ บางทีซวีจ้าวอาจจะโกรธเข้าให้แล้วก็ได้
ส่วนซวีจ้าว หลังจากเข้ามาในจวนหลินแล้วก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัวในตระกูลหลินดีขึ้นกว่าเมื่อหลายวันก่อน
ได้ยินว่าคุณหนูหลินฟื้นแล้ว คนนอกอย่างเขาเข้าไปเยี่ยมคุณหนูหลินเพียงลำพังคงดูไม่ดีแน่ จึงส่งคนใช้นำขี้ผึงชั้นดีขวดหนึ่งไปส่ง เผื่อจะช่วยสมานบาดแผลได้เร็วโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้
คนอื่น เวลานี้ต่างล้อมอยู่หน้าเตียงของหลินซือ ทุกคนต่างจับจ้องไปยังหลินซือราวกับเห็นอัญมณีที่หาได้อยากยิ่งเม็ดหนึ่งก็มิปาน ถึงกระนั้นหลินซือก็ชินไปแล้ว
หลังจากฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน ความทรงจำของหลินซือได้หยุดอยู่ในช่วงเวลาที่เจี่ยงเถิงกอดนางกระโดดลงจากหน้าผาไป