ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 650 ข้าอยู่ที่ไหน
บทที่ 650 ข้าอยู่ที่ไหน
บทที่ 650 ข้าอยู่ที่ไหน
“ท่านแม่ ข้าอยู่ที่ใด?” ครั้นลูบศีรษะแล้วรู้สึกเจ็บปวด หลินซือก็ส่ายสะบัดหน้าอย่างแรง พลางทุบมือไม่มีหยุด ราวกับต้องการให้ตัวเองตื่นตัวโดยเร็ว
ไม่รู้ว่าเพราะนอนนานเกินหรือว่าเพราะสาเหตุอื่น หลินซือจึงเห็นเงาคนตรงหน้าซ้อนทับกัน มองไม่เห็นรูปร่างของพวกเขา อาศัยจากการจำเสียงเท่านั้น
“เอ้อเป่า ตื่นแล้ว เจ้าทำแม่ตกใจแทบแย่” ครั้นเห็นหลินซือตื่นแล้ว เหยาซูที่เป็นห่วงมาตลอดในที่สุดก็ผ่อนคลายลง แม้ว่าหมอหลวงจะบอกว่าเอ้อเป่าไม่เป็นอะไร แต่ร่างกายนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงสลบไสลไปช่วงเวลาหนึ่ง แค่ไม่เห็นเอ้อเป่าตื่นเพียงวันเดียว หัวอกคนเป็นแม่ก็ไม่อาจจะสงบลงได้
“ท่านแม่ ข้าอยู่ที่ใด?”
“นี่คือจวนของเรา เอ้อเป่า เจ้าลืมเรื่องอะไรไปบ้าง? หรือปวดตรงไหนไหม?”
“หลีกทางหน่อย หลีกทางหน่อย หมอหลวงมาแล้ว” หลังจากหลินเหรารู้ว่าหลินซือฟื้นแล้วก็รีบให้คนไปตามหมอหลวงมาทันที อยากให้หมอหลวงดูอาการให้หลินซือว่ามีตรงไหนที่ไม่สบายบ้างหรือไม่
ความหมายขององค์จักรพรรดิคือต้องการให้หมอหลวงมาจวนหลิน หลีกเลี่ยงเรื่องที่ไม่คาดฝัน ทั้งยังมีพระราชโองการจากองค์จักรพรรดิ หลังจากที่บาดแผลของหลินซือและเจี่ยงเถิงสมานกันแล้ว หมอหลวงถึงจะกลับวังหลวงได้ ดังนั้นตระกูลหลินจึงต้องจัดจวนให้หมอหลวงโดยเฉพาะหนึ่งหลัง ย่อมขาดผู้ช่วยเหล่านั้นของหมองหลวงไม่ได้
“หมอหลวง เจ้ารีบดูอาการให้เอ้อเป่าเร็วเข้า รู้สึกว่าเอ้อเป่าจะจำใครไม่ได้เลย”
“ฮูหยินหลินอย่าเพิ่งร้อนใจไป ให้ข้าดูก่อนค่อยว่ากัน”
ครั้นได้ยินหมองหลวงหล่าวเช่นนี้ เหยาซูก็รีบหลีกทางให้ทันที ให้หมอหลวงได้เข้ามาดูอาการของหลินซืออย่างละเอียด
หมอหลวงนำผ้าเช็ดหน้าวางลงบนมือของหลินซือ จากนั้นก็ทำการจับชีพจร เปิดเปลือกตาของหลินซือเพื่อตรวจดูอาการอย่างละเอียด ครั้นตรวจนานแล้วหมอหลวงจึงได้เก็บอุปกรณ์ทางการรักษา
“ฮูหยินหลินไม่ต้องเป็นห่วง คุณหนูหลินแค่หลับไปนาน ดังนั้นสมองอาจจะเฉื่อยช้าไปบ้าง รอให้คุณหนูหลินค่อย ๆ ดีขึ้น ส่วนเรื่องบาดแผลภายนอก อย่าลืมใช้ยาตามที่ข้าสั่ง ทาให้ตรงเวลา เพื่อไม่ให้คุณหนูหลินมีรอยแผลเป็นใด ๆ หลงเหลือไว้”
“งั้นก็ดี ขอบคุณหมอหลวงมาก”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ถ้าฮูหยินไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
“เจ้าค่ะ มา ๆ ส่งหมอหลวง” ครั้นได้ยินคำพูดของหมอหลวง ในใจของเหยาซูก็พลันสงบลง
แต่เมื่อเห็นหลินซือ ในใจก็ยิ่งรู้สึกผิด ถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นตนสั่งให้คนในจวนของเอ้อเป่าออกไป เอ้อเป่าก็คงไม่ถูกองค์รัชทายาทลักพาตัวไปง่าย ๆ เช่นนี้
“เอ้อเป่า เจ้าจำได้ไหมว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ข้าจำได้แค่ข้านั่งเล่นอยู่ในลานกว้าง จู่ ๆ องค์รัชทายาทก็พลันปรากฏตัว ให้ข้าไปกับเขา พอข้าไม่ยอม องค์รัชทายาทจึงอุ้มข้าไป ดูเหมือนจะไปยังจวนที่ไหนสักแห่ง ตอนที่องค์รัชทายาทเข้าใกล้ข้า ข้าได้ยินคนข้างนอกพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นองค์รัชทายาทก็จากไปทันที”
หลินซือพยายามนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเวลานานเกินไปหรือตัวเองจำไม่ได้ ดังนั้นความทรงจำจึงไม่ได้ปะติดประต่อ
“ต่อมา ต่อมาพี่อาเถิงก็ปรากฏตัว ข้าและพี่อาเถิงขึ้นรถม้าไปด้วยกัน ดูเหมือนว่าจะมีคนไล่ตามเรา พี่อาเถิงกลัวว่าข้าจะตกอยู่ในอันตราย จากนั้น….เรื่องราวหลังจากนั้นข้าจำไม่ได้แล้ว”
ครั้นได้ยินคำพูดของหลินซือ เหยาซูก็ไม่แปลกใจ เพราะองค์รัชทายาทได้ทรงตรัสไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว อาจจะมีบางช่วงที่หลงลืมไปเพราะหวาดกลัว
ดูท่าวันนั้นคงเป็นวันที่น่ากลัวมาก ดังนั้นเอ้อเป่าถึงได้ลืมเรื่องราวหลังจากกระโดดขึ้นจากรถม้าไปหมดสิ้น
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเอ้อเป่าต้องดูแลร่างกายของตัวเองให้ดี อย่าเป็นอะไรไปอีกเด็ดขาด”
“ใช่ เอ้อเป่าเจ้าไม่รู้อะไร ช่วงเวลาที่เจ้าสลบไปนั้น แม่ของเจ้าดูแลเจ้าไม่ห่าง เฝ้าทะนุถนอมเจ้าตลอดเวลา แม่ของเจ้าดูซูบผอมลงมากทีเดียวใช่หรือไม่” หลินเหรากล่าวขึ้นจากด้านข้าง
คนหนึ่งก็ฮูหยินของตัวเอง อีกคนก็บุตรสาวของตน ไม่ว่าคนไหนเขาก็เจ็บปวด เขาก็รู้สึกเป็นทุกข์ทั้งนั้น
โชคดีที่ครั้งนี้มีเจี่ยงเถิงอยู่ด้วย จึงช่วยปกป้องเอ้อเป่าเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นชีวิตนี้ของเอ้อเป่าจะรอดกลับมาได้หรือไม่
และเพราะผ่านเรื่องในครั้งนี้มาได้ หลินเหราจึงยอมรับในตัวของเจี่ยงเถิงได้หมดใจ คนที่ยอมสละชีวิตของตัวเองปกป้องเอ้อเป่าได้ ต่อไปจะต้องดูแลเอ้อเป่าเป็นอย่างดีแน่นอน
“ขอโทษเจ้าค่ะ ที่ลูกทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วง” ครั้นได้ยินคำพูดของหลินเหรา หลินซือก็เงยหน้ามองมารดาของตัวเอง ซึ่งเป็นอย่างที่คาดคิดไว้มารดาผู้แสนงดงามมาโดยตลอดบัดนี้ดูหม่นหมอง แค่เห็นก็รู้ทันทีว่านางอดหลับอดนอนมาหลายวันแล้ว
“ไม่เป็นไร คนเป็นแม่ไฉนเลยจะไม่เป็นห่วงลูก อย่าไปฟังคำพ่อเจ้าเลย เขามักชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น”
“เอ้อเป่า เจ้านับว่าเก่งมาแล้ว หากไม่เก่งพอคงได้พลาดวันมงคลของพี่ชายเจ้าแน่” หลินจื้อเห็นหลินซือฟื้นแล้ว ก็นึกอยากหลอกล้อ
แน่นอน ถ้าหลินซือไม่ฟื้นขึ้นมาจริง ๆ เขาอาจจะไม่ได้แต่งงาน ถึงอย่างไรช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด คงจะขาดน้องสาวผู้เป็นดวงใจคนนี้ของเขาไปไม่ได้
“จริงหรือ? งานแต่งของพี่ใหญ่ถูกกำหนดขึ้นแล้วเช่นนั้นหรือ? เมื่อไรเจ้าคะ?”
“กำหนดไว้คร่าว ๆ แล้ว อีกสามเดือน”
“เร็วยิ่งนัก เช่นนี้อีกไม่นานพี่ไป๋ก็จะกลายเป็นพี่สะใภ้ข้าแล้วอย่างนั้นสิ?” ครั้นได้ยินประโยคนี้ หลินซือก็ตื่นเต้นทันใด แม้ว่าในใจของนางจะเห็นไป๋หรูปิงเป็นพี่สะใภ้ของตัวเองมาโดยตลอด แต่ตอนนี้นางกำลังจะกลายเป็นพี่สะใภ้ที่แท้จริงแล้ว
“ใช่นะสิ ดังนั้นเจ้าต้องรีบฟื้นตัว เช่นนี้พี่ไป๋ของเจ้าจะได้ออกเรือนกับข้าอย่างวางใจ”
“วางใจเถอะ ข้าไม่มีวันถ่วงวันมงคลของท่านพี่แน่นอน” ครั้นได้ยินคำพูดของหลินจือ หลินซือก็เอ่ยอย่างเบิกบานใจ
เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ พี่ไป๋จะออกเรือนกับท่านพี่แล้ว
ครั้นคิดได้เช่นนี้ จู่ ๆ หลินซือก็เหมือนจะลืมบางอย่างไป จึงหันไปมองคนรอบตัว พบว่าเจี่ยงเถิงไม่อยู่
“ท่านแม่ พี่อาเถิงล่ะ? เหตุใดเขาถึงไม่มาเยี่ยมข้า พี่อาเถิงไม่ชอบอาซือแล้วใช่หรือไม่?”
ในใจของหลินซือ เจี่ยงเถิงมีความสำคัญกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นยามที่ไม่เห็นเจี่ยงเถิง หลินซือจึงค่อนข้างกระวนกระวายใจ
“เอ้อเป่าอย่าเพิ่งร้อนใจไป พี่อาเถิงไม่ได้ไม่ชอบเจ้า แต่เขาบาดเจ็บเช่นกัน ดังนั้นจึงมาเยี่ยมเจ้าไม่ได้”
เหยาซูไม่อยากปิดบังหลินซือเช่นกัน แต่นางไม่คิดว่าหลินซือจะสังเกตเห็นเร็วเช่นนี้ จึงรีบเข้าปลอบโยนหลินซือทันที
หมอหลวงบอกไว้ ตอนนี้หลินซือไม่ควรได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ พวกเขาจึงไม่กล้ากระตุ้นหลินซือ
“จริงหรือ? พี่อาเถิงได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร? เขาไปพร้อมกับข้าไม่ใช่หรือ?” ดูเหมือนจะนึกเหตุการณ์สำคัญบางอย่างออก สีหน้าของหลินซือจึงได้เปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงฉับพลัน
นางเหมือนจะคิดบางอย่างออก พี่อาเถิงถามนางว่ากลัวไหม จากนั้นก็คว้ามือของนางไว้ ดึงนางเข้ามากอด จากนั้นก็….จากนั้นก็พวกเขาก็กระโดดลงหน้าผาไป
นางจำได้ทุกอย่างแล้ว
“เอ้อเป่า เจ้าเป็นอะไรไป?” ครั้นเห็นหลินซือมีสีหน้าถอดสีลง เหยาซูก็ตื่นตระหนกตกใจ