ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 655 จาวเอ๋อขอตัวลา
บทที่ 655 จาวเอ๋อขอตัวลา
บทที่ 655 จาวเอ๋อขอตัวลา
ทันทีที่ทุกคนได้ยินก็แทบจะลมจับ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดตอนนี้องค์หญิงจาวเอ๋อถึงชอบเสด็จมาวิ่งเล่นในตำหนักองค์รัชทายาทนัก เป็นเพราะชื่นชอบตำหนักองค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ?
องค์รัชทายาทที่ประทับอยู่ในตำหนัก หลังจากที่องค์หญิงจาวเอ๋อเสด็จจากไปก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
เรื่องในคราที่แล้วเป็นเพราะเขาบุ่มบ่ามมากเกินไป จึงได้เปิดช่องทางให้โจรปล้นเหล่านั้นได้เหิมเกริม ไม่เพียงแต่ให้โอกาสพวกเขาทำร้ายลู่เหยาแล้ว ยังเกือบจะคร่าชีวิตของอาซืออีกด้วย
ดังนั้นคราต่อไปถ้าเขาจะกระทำการอันใด จะต้องคิดให้รอบคอบไม่ว่าอย่างไรจะบ้าบิ่นเช่นนี้ไม่ได้อีกเด็ดขาด
แต่คำพูดของจาวเอ๋อเมื่อครู่ก็ฟังดูมีเหตุผลพอสมควร ใจจริงเขาอยากไปเจออาซือมาก อยากรู้ว่าอาซือเป็นอย่างไรบ้าง เขาจึงจะวางใจลงได้
“ทหาร”
“พ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาททรงมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ที่อยู่ข้างนอกรีบพรวดพราดเข้ามา ก่อนจะทำการคารวะองค์รัชทายาท
“เจ้าจงนำป้ายอาญาสิทธิ์ของข้าไปยังจวนหลิน เพื่อขอเยี่ยมคุณหนูหลิน แล้วจงนำโสมพันปีที่เสด็จพ่อทรงพระราชทานให้ข้าชิ้นนั้นไปด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นน้อมรับคำสั่งแล้วออกไป แม้นจะรับสั่งออกไปเช่นนี้ แต่หัวใจขององค์รัชทายาทกลับว่างเปล่า
ในสมองอดนึกถึงลู่เหยาไม่ได้ ครั้งแรกที่เห็นนางหลงทางในวัง กระทั่งคิดว่าตนเป็นหลินเซิน นิสัยชอบหลงทางเช่นนี้ ไม่เหมือนกับพ่อและแม่ของนางเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเหมือนผู้ใด
ครั้นนึกถึงตอนที่ลู่เหยาถูกตนส่งกลับไปในคราที่แล้ว ท่าทางนั้นของตู้เหิง ทำให้องค์รัชทายาทก็อดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ ถ้าให้ลู่เหยาอยู่ข้างกายตู้เหิงต่อไป คงรับประกันไม่ได้ว่าตู้เหิงจะไม่สั่งสอนไปในทางที่ผิด
กว่าเขาจะหาคนที่น่าสนใจเช่นนี้ได้สักคนไม่ใช่เรื่องง่าย จะยอมให้ตู้เหิงมาทำลายไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นลู่เหยาก็เป็นสตรี ถ้าเป็นบุรุษ เขาคงไปขอร้องต่อเสด็จพ่อ ให้ลู่เหยาเขาวังมาเป็นสหายร่วมเรียน เหมือนกับหลินเซิน แต่นางดันเป็นสตรี
แต่เรื่องนี้มันไม่ง่ายเช่นนั้น นางเองก็เช่นกัน อาการบาดเจ็บในคราวที่แล้ว ไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนผ่านไปแล้วจะเป็นเยี่ยงไรบ้าง
ก่อนหน้านั้นนางมักจะเข้าวังอยู่บ่อยครั้ง ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแม้แต่เงาของนางก็ไม่เห็น ถ้าบาดเจ็บจริง เหตุใดถึงไม่รู้จักเขียนจดหมายมารายงานเขาบ้าง หรือลืมเขาไปแล้ว?
ครั้นนึกได้ ในใจของเขาก็เหมือนกับถูกแมวข่วนก็มิปาน เขาเดินเข้าไปในห้องตำรา แล้วหยิบกระดาษและดินสอถ่าน
แต่ในตอนที่จะเขียนจริงจังนั้น กลับไม่รู้จะเขียนสิ่งใดลงไป
องค์รัชทายาทเพิ่งตระหนักได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาลู่เหยาเป็นฝ่ายเข้าหาเขา กระทั่งทุกครั้งก็เป็นลู่เหยาที่มักมาหาเขา เขาไปหาลู่เหยาเพียงแค่ครั้งเดียว แต่สุดท้ายก็โมโหร้ายพาลใส่ลู่เหยา
รู้ทั้งรู้ว่าตู้เหิงเป็นคนเช่นนั้น แต่ในฐานะที่ลู่เหยาเป็นบุตรสาวของนางจะโต้แย้งอะไรได้? เหตุใดตัวเองถึงต้องไปพาลระบายอารมณ์ใส่ลู่เหยาด้วย ทั้งยังเลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่า?
สุดท้ายก็ไม่ได้เขียนสิ่งใด กระทั่งให้คนนำจดหมายเปล่าไปส่งให้ลู่เหยาทั้งแบบนั้น
หวังว่าลู่เหยาจะเข้าใจความหมายของเขา
ครั้นนึกถึงอาซืออีกครั้ง องค์รัชทายาทกลับไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แรกเริ่มเขาตั้งความหวังไว้ว่าจะได้เริ่มต้นใหม่กับอาซืออีกครั้ง
ใครเลยจะรู้ว่าตอนนี้กลับยิ่งห่างอาซือมากขึ้นเข้าไปทุกที จนเกือบทำร้ายชีวิตของอาซือแล้ว
หรือว่าเขาทำพลาดไปจริง ๆ? แต่เพราะความเสียใจเมื่อครั้งอดีตชาติ ดังนั้นจึงทำให้เขาได้มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่อีกครา มิเช่นนั้นเหตุใดฟ้าเบื้องบนถึงให้เขากลับมาในช่วงที่เจอกับอาซือด้วย?
คำถามมากมายถาโถมเข้ามาในใจขององค์รัชทายาท ทำให้องค์รัชทายาทหายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เข้าใจถึงความพยายามของฟ้าเบื้องบน
ซึ่งสิ่งที่ยืนหยัดมาตลอดตั้งแต่เกิดใหม่ ก็ดูเหมือนจะเริ่มสั่นคลอน ดูเหมือนจะทำให้เขาเชื่อว่าอย่าฝืน แต่เรื่องที่เขาชอบอาซือไม่เคยโกหกแต่อย่างใด
อีกด้านหนึ่ง องค์จักรพรรดิทรงประทับอยู่ในวัง ทรงอยู่กับองค์หญิงจาวเอ๋อ
“เสด็จพ่อ นานมากแล้วที่ท่านไม่มาหาจาวเอ๋อ ลืมจาวเอ๋อไปหมดแล้วใช่หรือไม่เพคะ?” องค์หญิงจาวเอ๋อประทับอยู่บนเก้าอี้ข้างกายองค์จักรพรรดิ สายตาจับจ้องที่ผู้เป็นบิดาพลางเอ่ยขึ้น
“จะเป็นไปได้อย่างไร พ่อรักจาวเอ๋อที่สุด ช่วงนี้พ่อค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นจึงไม่มีเวลามาหา ไม่ใช่ว่าเสร็จภารกิจก็ตรงมาหาเจ้าเลยหรือ? ดังนั้นองค์หญิงแก้วตาดวงใจของพ่อให้อภัยพ่อได้หรือไม่?” กล่าวพลางบีบแก้มของจาวเอ๋อ มันเป็นความสุขที่หาได้ยากยิ่งขององค์จักรพรรดิ ธิดาสุดดวงใจเข้าใจความคิดเขาที่สุดอย่างที่คาดคิดไว้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จาวเอ๋อมีความเป็นผู้ใหญ่มากพอ ให้อภัยเสด็จพ่อเพคะ” ดูเหมือนจะตริตรองเรื่องนี้มาหนักหน่วงมาแล้ว จาวเอ๋อจึงเลือกที่จะใจกว้างให้อภัยองค์จักรพรรดิ
“ฮ่า ๆๆๆ จาวเอ๋อ เจ้าเป็นคือลูกที่พ่อภูมิใจที่สุด”
ครั้นเห็นจาวเอ๋อน่ารักเช่นนี้ ความเหนื่อยล้าในช่วงนี้ขององค์จักรพรรดิก็พลันหายเป็นปลิดทิ้ง
สวีกุ้ยเฟยมองจาวเอ๋อได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิ ความตึงเครียดที่อยู่ในใจก็ลดน้อยลงบ้าง
“ฝ่าบาทคงจะไม่ทราบ ช่วงที่ฝ่าบาทไม่ประทับอยู่ในวัง จาวเอ๋อมาบ่นข้างหูหม่อมฉันตลอดว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาหาหม่อมฉันเมื่อใด นางคงลืมแม่อย่างหม่อมฉันไปโดยปริยาย”
“ที่ไหนกัน เห็น ๆ อยู่ว่าเพราะเสด็จแม่อยู่ข้างกายจาวเอ๋อ ดังนั้นจาวเอ๋อจึงไม่ต้องคะนึงหาเสด็จแม่อย่างไรเล่าเพคะ”
คาดไม่ถึงว่าจะถูกสวีกุ้ยเฟยเปิดโปงต่อหน้าเสียได้ ใบหน้าของจาวเอ๋อแดงระเรื่อ ทำท่าทางกระเง้ากระงอน ช่างน่ารักยิ่งนัก
“ดี ๆ ที่จ้าวเอ๋อพูดก็ถูก” สวีกุ้ยเฟยไม่ได้โต้เถียงกับจาวเอ๋อ เพียงแต่มองไปยังจ้าวเอ๋อพลางยิ้มบาง ๆ เท่านั้น
ก่อนจะยื่นส้มที่เพิ่งปอกไปให้องค์จักรพรรดิ จากนั้นก็หยิบส้มลูกหนึ่งจากด้านข้างขึ้นมาปอก
เล็บสีแดงสดที่โบกไปมา ขับมือของสวีกุ้ยเฟยให้ขาวผุดผ่องอย่างเห็นได้ชัด ไฉนเลยจะดูเหมือนสตรีที่มีบุตรแล้ว
องค์จักรพรรดิเองก็ตะลึงงันไป แม้ว่าสวีกุ้ยเฟยจะมีอายุไม่น้อยแล้ว แต่อายุยิ่งมากเช่นนี้เสน่ห์ของนางกลับยิ่งเต็มเปี่ยมมากขึ้น
“จาวเอ๋อคะนึงหาพ่อเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ถึงกระนั้นพ่อก็รักจาวเอ๋อ ส่วนเจ้าเถอะ ตอนนี้จาวเอ๋อโตเป็นสาวแล้ว มีหลายอย่างที่เจ้าต้องอบรมสั่งสอนให้จาวเอ๋ออย่าได้ขาด จาวเอ๋อของเราฉลาดเพียงนี้ เรื่องพวกนั้นนางต้องได้รับการเรียนรู้ ใช่ไหม จาวเอ๋อ?”
“เสด็จพ่อ แต่จาวเอ๋อไม่อยากเรียนเรื่องพวกนั้น มันน่าเบื่อ จาวเอ๋ออยากออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง” ครั้นได้ยินเรื่องเรียน องค์หญิงจาวเอ๋อก็แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาทันที
“เช่นนั้นไม่ได้ จาวเอ๋อเป็นองค์หญิง ควรเรียนก็ต้องเรียน พ่อรับปากเจ้า ถ้าเจ้าเรียนได้ดี พ่อจะให้เจ้าออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง ดีไหม?”
“เช่นนั้นก็ได้ เสด็จพ่อทรงตรัสคำไหนคำนั้นนะเพคะ” ครั้นได้ยินคำพูดขององค์จักรพรรดิ องค์หญิงจาวเอ๋อก็ผ่อนคลายลง
“วันนี้ดึกมากแล้ว จาวเอ๋อกลับไปพักผ่อนเถอะ พ่อและแม่ของเจ้าก็ต้องพักผ่อนแล้วเช่นกัน”
“เช่นนั้นจาวเอ๋อไม่รบกวนเสด็จพ่อและเสด็จแม่แล้วเพคะ จาวเอ๋อทูลลา” ครั้นได้ยินคำพูดขององค์จักรพรรดิ จาวเอ๋อก็ทำความเคารพและออกไป
ครั้นสวีกุ้ยเฟยได้ยินคำพูดขององค์จักรพรรดิก็รู้สึกสิ้นหวังในทันที แต่ก็ต้องปิดบังเอาไว้ ไม่ให้องค์จักรพรรดิสังเกตเห็น
เหล่านางกำนัลเดินรุดหน้าเข้ามาเก็บของ แล้วดึงม่านเตียงของทั้งสองลง จากนั้นก็ดับตะเกียง แล้วถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ