ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 661 เจี่ยงเถิงฟื้นแล้ว
บทที่ 661 เจี่ยงเถิงฟื้นแล้ว
บทที่ 661 เจี่ยงเถิงฟื้นแล้ว
ในตอนที่หลินซือกำลังพูดเสียงเจี้อยแจ้ว นางไม่ทันสังเกตเห็นว่ามือของพี่อาเถิงเริ่มขยับเล็กน้อย ตามมาด้วยเปลือกตาที่ค่อย ๆ ยกขึ้น
ตอนนี้หลินซือสังเกตเห็นแล้ว
“พี่อาเถิง พี่อาเถิง ท่านฟื้นแล้ว?”
ทันทีที่ฟื้นก็ได้ยินเสียงของอาซือทันที เจี่ยงเถิงจึงอดกระตุกมุมปากไม่ได้ อาซือของเขายังร่าเริงเหมือนแต่ก่อน
“อื้อ” บางทีอาจเพราะไม่เคลื่อนไหวนานเกินไป แม้ว่าเจี่ยงเถิงจะฟื้นแล้ว แต่ทั้งร่างกายกลับไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าไร ทำได้แค่มองหลินซือด้วยรอยยิ้ม ส่งสัญญาณบอกนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง
“พวกเจ้ารีบไปเชิญหมอหลวงและท่านป้าเจี่ยงมาเร็วเข้า บอกว่าพี่อาเถิงฟื้นแล้ว” หลินซือบอกสาวใช้ที่อยู่ข้างนอก จากนั้นก็หันกลับมามองเจี่ยงเถิงบนเตียงอีกครั้ง
“ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว รู้ไหมว่าข้าเป็นห่วงท่านมากเพียงใด” ครั้นเห็นท่าทางไม่เป็นอะไรมากของเจี่ยงเถิง ความเข้มแข็งที่นางประคองมาตลอดได้พังทลายลง ความจริงแล้วในใจของนางหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะพี่อาเถิง ดังนั้นนางจึงยังกล้าหาญ อดทนรอเขาฟื้นมาตลอด
“ข้าผิดเอง ข้าทำให้อาซือเป็นห่วง”
“ต่อไปห้ามทำเรื่องที่สิ้นคิดแบบนี้อีกนะ ทำไมถึงเอาแต่ปกป้องข้าอย่างดี แต่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง?”
“แต่ถ้าเทียบกับตัวเองแล้ว ข้ากลัวอาซือจะบาดเจ็บมากกว่า”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้ ถ้าท่านไม่รับปากข้า ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว”
“ก็ได้ ข้ารับปากอาซือทุกอย่าง” ครั้นเห็นอาซือไม่สบอารมณ์ เจี่ยงเถิงก็รีบเกลี้ยกล่อมนางทันที
แม้ว่าเขาจะหลับใหลไปหลายเดือน แต่ในความสะลืมสะลือนั้นก็ยังพอได้ยินสิ่งที่อาซือพูดคุยกับเขา และเพราะเหตุนี้เขาจึงทำให้ตัวเองรีบฟื้นขึ้นมา
สาวน้อยของเขาต้องร้อนใจมากแน่ ๆ และเขาก็ทนเห็นสาวน้อยเป็นห่วงเขาแบบนี้อีกไม่ได้
“ก็ยังดี ว่าแต่ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่?”
“ไม่แล้ว เพียงแค่ได้เห็นหน้าอาซือข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว” เจี่ยงเถิงลองขยับกาย พบว่านอกจากแขนขาที่มีความแข็งขืนแล้ว ก็นับว่าเคลื่อนไหวได้
ครั้นหลินซือเห็นดังนั้น ก็รีบประคองเจี่ยงเถิงขึ้นมา หยิบหมอนใบหนึ่งมารองแผ่นหลังของเขาอย่างบรรจง
“พี่อาเถิง คราวนี้ท่านป้าเจี่ยงตกใจแทบแย่ ประเดี๋ยวท่านต้องพูดกับท่านป้าเจี่ยงดี ๆ นะเจ้าคะ นางเป็นห่วงท่านมาก”
“อื้อ” เมื่อเอ่ยถึงเจี่ยงฉี เจี่ยงเถิงก็เงียบงันไป ชีวิตนี้เขาแทบไม่ใส่ใจสิ่งใดมากนัก นอกจากอาซือแล้วก็มีมารดาของตนอีกคน ยามตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เขาไม่ทันได้ตระหนักถึงเรื่องนี้นอกจากต้องปกป้องอาซือ จึงไม่รู้ว่ามารดาของตนนั้นเป็นห่วงเขามากเพียงใด
“พี่อาเถิง ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ข้ากลัวแทบแย่” หลินซือโผเข้ากอดเจี่ยงเถิงก่อน จากนั้นก็กอดอย่างนั้นอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
เจี่ยงเถิงยังไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เมื่อได้สติกลับมา เขาเกิดความลังเลที่จะผลักอาซือผู้เป็นที่รักออก
ตัวเองสลบไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำไมอาซือถึงได้ติดเขามากเพียงนี้? ทำให้เขาได้รับความโปรดปรานจนน่าประหลาดใจ
“อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่เป็นไรแล้ว” เจี่ยงเถิงกล่าวพลางตบแผ่นหลังของอาซืออย่างแผ่วเบา เจี่ยงเถิงเหมือนกล่อมเด็กก็มิปาน คอยปลอบอาซือด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ในใจของเขา อาซือเป็นน้องสาวที่ต้องได้รับการปกป้องเสมอ
“ต่อไปท่านห้ามจากข้าไปไหนอีกเข้าใจหรือไม่? ต่อให้สลบก็ไม่ได้ ข้าเป็นห่วงท่านเหลือเกิน”
“อาซือ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดสิ่งใด?” ครั้นได้ยินคำสารภาพของอาซือ เจี่ยงเถิงก็ดีใจสุดขีด แต่ในใจเขารู้ดีว่าอาซือยังไม่เปิดใจ นางอาจจะอยากพึ่งพิงเขาด้วยจิตใต้สำนึกเท่านั้น
“ข้าบอกว่า ข้าอยากอยู่กับพี่อาเถิงตลอดไป จะไม่แยกจากพี่อาเถิงอีก”
“เจ้าจะออกเรือนกับข้า?”
“ถ้าพี่อาเถิงยอม เหตุใดข้าจะไม่ยอมเล่า?” หลินซือเบิกตากว้างจ้องเขม็งไปยังเจี่ยงเถิง ความสุกสกาวในดวงตาคู่นั้นทำให้จิตใจของเจี่ยงเถิงหวั่นไหว
“อาซือ เจ้ามองตาข้า แล้วบอกข้าว่าที่เจ้าพูดเป็นความจริงใช่ไหม?” เขากล่าวพลางดึงตัวอาซือให้หันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง เจี่ยงเถิงจึงเอ่ยถามอาซืออย่างจริงจัง
“จริงสิ แล้วพี่อาเถิงเต็มใจหรือไม่?”
หลินซือได้รับการอบอรมสั่งสอนมาจากเหยาซูเสมอ ไม่ต้องสงวนตัวเหมือนสตรีนางอื่น รู้สึกอย่างไรก็บอกไปตามตรง ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่พลาดคนที่ตัวเองชอบเพราะความเขินอาย
ถ้าชอบก็แค่สารภาพออกไปตามตรง แม้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ แต่ก็พยายามเต็มที่แล้ว และไม่เสียใจภายหลังไม่ใช่รึ?
“เต็มใจแน่นอน อาซือ เจ้ารู้ไหมว่าพี่อาเถิงรอวันนี้มานานแค่ไหนแล้ว?”
“อ่า?”
“ข้าให้สัญญากับตัวเองว่าเจ้าจะเป็นภรรยาเพียงคนเดียวและคนสุดท้ายของข้าไปตลอดชีวิต แต่ครั้นเห็นว่าเจ้ายังวัยเยาว์ ยังไม่เข้าใจหลายเรื่อง จึงอยากให้เจ้าโตกว่านี้แล้วค่อยคุยกันอีกครั้ง แต่การปรากฏตัวขององค์รัชทายาทในเวลาต่อมา ทำให้ข้าเริ่มตระหนักได้ถึงช่วงวิกฤต แต่ข้าก็ไม่อยากบีบบังคับอาซือ ใครเลยจะรู้ว่าในที่สุดวันนี้ก็ได้ยินเจ้าพูดออกมา เจ้ารู้ไหมว่าข้าดีใจมากเพียงใด?”
เจี่ยงเถิงไม่อยากจะเชื่อ ความวาดหวังตลอดหลายปีที่ผ่านมาของตัวเองจะกลายเป็นความจริงแล้ว?
“แล้วทำไมพี่อาเถิงไม่พูดเล่า แถมยังให้ข้าพูดก่อนด้วย?” หลินซือรู้ว่าพี่อาเถิงเป็นห่วงตนมาก แต่ไม่เคยคิดว่าพี่อาเถิงจะปักใจที่ตนนานแล้ว
ครั้นนึกได้ว่าคำพูดที่พี่อาเถิงควรเป็นฝ่ายพูดก่อน ถูกตัวเองโพล่งออกมาแล้ว ใบหน้าก็อดร้อนผ่าวไม่ได้ ดูเหมือนนางจะไม่รู้ตัวด้วย?
“เพราะข้ากลัวว่าอาซือจะเมินเฉยข้า หลังจากรู้ความในใจของข้า ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดมาโดยตลอด”
“ที่แท้พี่อาเถิงก็กลัวเองรึ?”
“แน่นอน ข้าชอบเจ้า อยากให้เจ้ามีความสุข ดังนั้นจึงได้กลัวว่าจะเสียเจ้าไป” เจี่ยงเถิงมองหลินซือ ด้วยความดีใจอย่างเต็มเปี่ยม
ความรู้สึกประมาณว่าฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ทำให้เขาแยกแยะไม่ออกว่ามันคือความจริงหรือภาพลวงตา
“จริง ๆ แล้ว ช่วงนี้นอกจากข้าจะดูแลพี่อาเถิงแล้ว ข้ายังเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งให้ท่านอีกด้วย” ขณะเอ่ย หลินซือได้หยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งออกมาจากอ้อมแขนของตัวเอง ดูเหมือนจะห่ออะไรบางอย่างไว้
ครั้นเห็นท่าทางระมัดระวังของหลินซือ เจี่ยงถิงก็อดกลั้นหายใจไม่ได้ ไม่นาน เจี่ยงเถิงก็เห็น หลินซือหยิบบางอย่างจากบนมือนั้นคือปิ่นหยกชิ้นหนึ่ง
“นี่คือปิ่นหยกที่ข้าตั้งใจไปขอร้องให้อาจารย์อวี้อวี้ช่วยชี้แนะให้ เพราะพี่อาเถิงแสนดีกับข้าเพียงนี้ ดังนั้นข้าจึงควรให้ของขวัญพี่อาเถิงบ้าง ไม่รู้ว่าพี่อาเถิงจะชอบหรือไม่? ต่อให้ไม่ชอบพี่อาเถิงก็ต้องรับไป มิเช่นนั้นข้าจะโกรธ”
ดูเหมือนกลัวว่าเจี่ยงเถิงจะไม่ชอบของขวัญของตัวเอง หลินซือจึงไม่ให้โอกาสเจี่ยงเถิงปฏิเสธ
“อาซือทำเองกับมือ ทำไมข้าจะไม่ชอบเล่า ข้าชอบมา แค่ตกใจเท่านั้น”