ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 663 หลินจื้อจะแต่งงานแล้ว
บทที่ 663 หลินจื้อจะแต่งงานแล้ว
บทที่ 663 หลินจื้อจะแต่งงานแล้ว
เจี่ยงฉีสั่งสอนเจี่ยงเถิงให้ปกป้องคนที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าชีวิตของนางจะไม่เคยราบรื่นเลย แต่นางก็ไม่เคยโทษฟ้า โทษแต่ตัวเอง สำหรับนางแล้ว สวรรค์เบื้องบนเมตตานางเสมอ มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้อาเถิงได้เติบโตจนมีชีวิตที่ดีเช่นนี้
“ขอรับ ลูกเข้าใจแล้ว”
“เอาละ อาเถิงเพิ่งฟื้น เรี่ยวแรงคงไม่สมบูรณ์ ข้าสั่งให้คนทำของกินอร่อย ๆ มากมาย วันนี้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” เหยาซูเอ่ยกับเจี่ยงเถิงและเจี่ยงฉี
“เอาสิ เจ้ามักจะจัดแจงเรื่องนี้เก่งเสมอ” เพราะความเป็นมิตรภาพมานานหลายปี ดังนั้นเจี่ยงฉีจึงไม่เคยคิดเกรงใจเหยาซูแต่อย่างใด ครั้นเห็นเหยาซู นางมักจะนึกถึงช่วงเวลาของตัวเองในอดีตเสมอ มันช่างดียิ่งนัก
“ท่านล้อเลียนข้า ไม่รู้เหมือนกันว่าใครสอนเรื่องนี้กับข้า” แม้ว่าก่อนหน้านั้นเหยาซูจะเคยทำ แต่ก็ไม่ชำนาญมากนัก มีแต่เจี่ยงฉีที่ทำได้
ดังนั้นเจี่ยงฉีจึงค่อย ๆ สอนนางทีละนิดทีละน้อย จนทำให้เหยาซูกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเจี่ยงฉีจะหย่าร้าง กระทั่งเลี้ยงเจี่ยงเถิงมาเพียงลำพัง ย่อมไม่มีกระจิตกระใจจัดการเรื่องเหล่านี้
สุดท้ายคนในเมืองก็รู้ว่าฮูหยินจวนหลินเก่งกาจ สามารถรักษาชื่อเสียงและเกียรติยศไม่ให้โดดเด่น ทั้งยังทำให้เจ้าบ้านและแขกเหรื่อมีความสุข เจี่ยงฉีจึงค่อย ๆ ถูกทุกคนเลือมเลือน แต่โชคดีที่ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว
“เอาล่ะ ไม่ล้อเจ้าแล้วก็ได้ เอ้อเป่า เจ้าไปดูอาหารมื้อค่ำกับเราดีกว่า ให้เวลาอาเถิงได้ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย”
“อื้อ” หลินซือตอบรับอย่างเชื่อฟัง
สิ้นสุดเสียง หลินซือก็เดินตามเหยาซูและเจี่ยงฉีออกไป ครั้นเห็นทั้งสามคนออกไปแล้ว เจี่ยงเถิงจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น
เนื่องจากไม่ได้ขยับตัวนานเกินไป ตอนนี้จึงยังไม่ค่อยคุ้นชินนัก
ค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นที่ห่างหายไปนาน ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาสวมใส่ทีละตัว แล้วผลักประตูออกไป จนพบว่าตัวเองนั้นอยู่ในจวนของอาซือ
“อาเถิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วรึ?”
“อื้อ ไม่ได้ขยับตัวนาน ทำให้พวกท่านต้องรอนาน”
“พูดอะไรแบบนั้น เจ้าได้รับบาดเจ็บเพื่ออาซือของเรา อาซูซาบซึ้งใจเจ้าแทบไม่ทันแล้ว”
“นั่นนะสิ ข้ารอพี่อาเถิงได้อยู่แล้ว” หลินซือคอยพูดเสริมอยู่ข้างกาย ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
“งั้นก็ดี” กล่าวพลางลูบศีรษะของหลินซือ เจี่ยงเถิงชอบความรู้สึกนี้เป็นที่สุด
“เอาล่ะอาเถิง เจ้านอนนานเกินไปแล้ว ตอนนี้คงยังไม่ชิน เราไม่รบกวนเจ้าดีกว่า ให้อาซือไปเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนเจ้า ประเดี๋ยวถึงเวลาอาหารค่ำก็ค่อยมา”
เจี่ยงเถิงไม่พูดสิ่งใด แต่มองเจี่ยงฉี พบว่าเจี่ยงฉีพยักหน้าจึงตอบรับไป “ขอรับ”
“เจ้าดูสิ ช่างเป็นเด็กที่รู้ความยิ่งนัก เรื่องพวกนี้ก็ต้องถามเจ้าก่อนถึงจะพยักหน้าตอบตกลง” ครั้นเห็นพฤติกรรมของเจี่ยงเถิง เหยาซูก็อดยิ้มไม่ได้
ไม่รู้เป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ต้องหย่าร้างกันของบิดาและมารดาหรือไม่ เจี่ยงเถิงถึงได้รู้ความมากเพียงนี้ เรื่องนี้ทำให้เหยาซูอิจฉาอย่างมาก
แม้ว่าเอ้อเป่าจะไม่ซุกซนนัก แต่บางครั้งก็แปลกประหลาดจนนางเป็นกังวลไม่น้อย แต่กับเจี่ยงเถิง ในความทรงจำของเหยาซูดูเหมือนเจี่ยงเถิงจะเติบโตโดยไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมากนัก
“นี่ต้องยกความดีความชอบให้อาซือเชียวนะ อาซือคอยนึกถึงแม่อย่างข้าต่อหน้าเจี่ยงเถิงทุกวัน เขาจำไม่ได้คงจะไม่ใช่”
พูดไปพูดมา หัวข้อสุดท้ายก็ยังวกกลับมายังเด็กทั้งสองคนอยู่ดี ทำให้เหยาซูและเจี่ยงฉีอดยิ้มไม่ได้
ส่วนหลินซือหน้าแดงระเรื่อเพราะคำพูดหยอกล้อของทั้งสองคนก่อนแล้ว เจี่ยงเถิงเห็นดังนั้นจึงจูงมือหลินซือออกไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด
ครั้งเห็นทั้งสองคนเดินออกไปไกล เหยาซูและเจี่ยงฉีจึงได้สบตากัน
“พี่อาเถิง ทำไมท่านแม่และท่านป้าเจี่ยงถึงเอาแต่ยิ้มตลอดเลย?”
“เพราะพวกนางดีใจอย่างไรล่ะ”
“ข้าเองก็ดีใจ มีพี่อาเถิงอยู่ข้างกายข้าช่างดียิ่งนัก”
“ต่อไปข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าตลอดไป จริงสิ เรื่องเกลือของเจ้าเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะลงมือทำเองหรอก มีพระราชทานอนุญาตจากองค์จักรพรรดิ เบื้องล่างยังมีผู้คนอีกมากมายรอการเห็นด้วยจากข้า ทำเช่นนี้เกลือแบบเอกชนของพวกเขาถึงจะขายในราคาที่ดีได้ ดังนั้นข้าตั้งใจจะพัฒนาคนเบื้องล่าง พี่อาเถิงคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
“ความคิดของเจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก แบบนี้เจ้าเองจะได้ประหยัดแรงกายแรงใจด้วย เพียงแต่ตอนที่เลือกคนเบื้องล่างต้องชั่งใจสักหน่อย ต้องเลือกคนที่วางใจไว้ แบบนี้เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยในภายภาคหน้า”
“อื้อ เรื่องนี้ข้ารู้ดี”
“เจ้ากราบทูลองค์จักรพรรดิว่าอย่างไร? เหตุใดฝ่าบาทถึงส่งให้อภิสิทธิ์นี้กับเจ้า?” สำหรับองค์จักรพรรดิ เจี่ยงเถิงเข้าใจดี
ต่อให้อาซือโดดเด่นเพียงใดก็เป็นได้แค่สตรีที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนผู้หนึ่ง ถ้าอยากกราบทูลขอพระราชทานอนุญาตจากองค์จักรพรรดิไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อาซือทำมันได้ เขาแปลกใจยิ่งนัก
“ข้าไม่เคยเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ท่านปู่ต่างหากคือคนที่เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ข้าสัญญาว่าจะนำสามในสิบส่วนของรายได้จากการค้าเกลือในทุกปีมาสร้างเรือนพักพิง”
“ดูท่าเจ้าจะไม่ล้มเลิกความคิดนี้ของเจ้าสินะ”
ครั้นได้ยินอาซือพูดเช่นนี้ เจี่ยงเถิงก็เข้าใจ แม้ว่าบัดนี้องค์จักรพรรดิจะเกิดความสงสัย แต่ก็ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตัวเองมากกว่า
ตอนแรกเรือนพักพิงของอาซือมีชื่อเสียงโด่งดังในเมือง บัดนี้สามารถเปิดเรือนพักพิงที่อื่นได้แล้ว โดยไม่ต้องใช้เงินการคลังอีกด้วย ในใจขององค์จักรพรรดิย่อมปลาบปลื้มใจเป็นธรรมดา
“แน่นอนสิ นี่คือสิ่งที่พี่อาเถิงสอนข้า จะยอมแพ้ง่าย ๆ ไม่ได้” ท่าทางลำพองใจของหลินซือ ทำให้เจี่ยงเถิงอยากจะพูดบางอย่างก็พูดไม่ออก ในเมื่ออาซืออยากทำ เขาจะสนับสนุนนาง
“ใช่ ข้าจะสอนเจ้า เจ้าเรียนรู้ได้เร็วมาก”
“พี่อาเถิง ท่านรู้เรื่องที่ท่านพี่และพี่ไป๋กำลังจะแต่งงานกันแล้วหรือยัง?”
“เมื่อใด?”
“หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน”
“เร็วยิ่งนัก?”
“ความจริงมันไม่เร็วหรอก พี่อาเถิง ท่านนอนหลับไม่ได้สติมาสามเดือนเต็มต่างหาก ในสามเดือนนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นข้าจึงเป็นห่วงว่าคราวท่านพี่แต่งงาน ท่านจะยังไม่ฟื้น แต่ตอนนี้ท่านฟื้นแล้ว ดูท่าฟ้าเบื้องบนจะได้ยินคำอธิฐานของข้า”
“ใช่ แต่ไม่ใช่เพราะฟ้าเบื้องบนได้ยินหรอก พี่อาเถิงของเจ้าต่างหากที่ได้ยิน” เจี่ยงเถิงเห็นท่าทางของอาซือ ในใจก็ยิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
แต่ข่าวการแต่งงานของหลินจื้อยังทำให้เขาอิจฉาไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้เขาและอาซือจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน แต่ต่อมาเรื่องราวที่ต้องทำมีมากมายก่ายกอง จึงไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้แต่งงาน
“พี่อาเถิงหัวเราะข้า”
“เอาละ ไม่หัวเราะก็ได้ อาซือ ไว้พี่ใหญ่เจ้าแต่งงานแล้ว ข้าจะไปคุยเกับท่านอาซู ดีหรือไม่?”
“แต่เช่นนี้มันไม่เร็วไปรึ?” แม้ว่าที่ผ่านมาจะอยู่กับพี่อาเถิงเสียส่วนใหญ่ แต่ครั้นได้ยินว่าพี่อาเถิงจะมาคุยเรื่องหมั้นหมาย ในใจของหลินซือก็ทั้งกระวนกระวายทั้งเขินอาย ราวกับกวางน้อยที่หลงทางอยู่ในใจของนางก็มิปาน ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะเจอกับทางออก
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในที่สุดทั้งสองก็จะสมหวังกันแล้ว ลุ้นมาตั้งนานว่าเมื่อไหร่หลินซือจะรู้ใจตัวเอง
ไหหม่า(海馬)