ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 664 หยุดมาหาอาซือได้แล้ว
บทที่ 664 หยุดมาหาอาซือได้แล้ว
บทที่ 664 หยุดมาหาอาซือได้แล้ว
“ไม่แน่นอน ในเมื่อท่านอาซูต่างรู้เรื่องของเราสองคนแล้ว คงอยากให้เราสองคนอยู่ด้วยกันใจจะขาด อีกอย่างอาซือของข้าโดดเด่นเพียงนี้ ถ้าข้าช้าไปก้าวเดียว แล้วเจ้าถูกผู้อื่นแย่งไป ข้าจะทำอย่างไร?”
ครั้นได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง หลินซือก็อดมองไม่ได้ ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนว่าพี่อาเถิงเปลี่ยนไป
“พี่อาเถิง ตอนนี้วาจาของท่านไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“ไม่เหมือนเดิมตรงไหน?”
“รู้สึกท่านแปลกไป”
“เพราะอาซือทำให้ข้าเปลี่ยนไป หลังจากได้รู้ความในใจของอาซือ ข้าก็รู้สึกไม่เหมือนเดิม”
“งั้นก็ดี พี่อาเถิง ข้าจะเดินเคียงข้างท่านไปตลอดชีวิต”
“อื้อ”
ทั้งสองคนเดิน ๆ หยุด ๆ อยู่ในสวนดอกไม้ ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ จนกระทั่งเวลาอาหารมื้อค่ำมาถึง หลินเหราที่น้อยนักจะกลับมากินข้าวกับทุกคนในจวน ครั้นเห็นเจี่ยงเถิงฟื้นแล้วจึงอยากดื่มฉลองกับเขาสักสองสามจอก แต่ดูจากสีหน้าที่ไม่พอใจของสตรีกลุ่มนั้น สุดท้ายก็ทำได้แค่นั่งดื่มสุราอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง
เพราะฟื้นแล้ว เจี่ยงเถิงจึงไม่ต้องอาศัยอยู่ในจวนหลินอีกต่อไป และกลับไปพร้อมกับเจี่ยงฉีตั้งแต่คืนนั้น
ไม่รู้ว่าเพราะเคยชินกับการมีเจี่ยงเถิงอยู่ด้วยหรือไม่ จู่ ๆ หลินซือก็รู้สึกปรับตัวไม่ได้ เหมือนกับขาดบางอย่างไปก็มิปาน
ด้วยเหตุนี้ เหยาซูจึงทำได้แค่ยิ้มโดยไม่กล่าวสิ่งใด นางคือคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด แต่เรื่องแบบนี้พูดไปก็คงดูไม่ดี
วันที่สอง เจี่ยงเถิงไม่ได้มาหาหลินซือที่จวนหลิน แต่มุ่งหน้าไปจวนลู่แทน
เขายังจำเรื่องในวันนั้นได้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาถามลู่เหยาให้รู้เรื่อง ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่ พฤติกรรมขององค์รัชทายาทจะต้องได้รับการหารือ
“ขอถามหน่อย เจ้ามาหาผู้ใด?” บ่าวรับใช้หน้าประตูจวนลู่ เห็นท่าทางของเจี่ยงเถิง ไม่ใช่คนที่ใครจะล่วงเกินได้โดยง่าย จึงใช้เอ่ยถามด้วยถ่อยคำสุภาพ
“คุณหนูของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?”
“ขอถามหน่อย คุณชายคือ?”
“ช่วยไปรายงานคุณหนูของพวกเจ้าด้วย ว่าข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง”
“ขอรับ คุณชายโปรดรอสักครู่” ครั้นทหารเฝ้าประตูได้ยินดังนั้น ก็รีบวิ่งเข้าไปรายงาน ใครบ้างไม่รู้ว่าเจี่ยงเถิงคือใคร แต่คนที่มาหาคุณหนูของพวกเขาได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ พวกเขาย่อมล่วงเกินไม่ได้
เป็นดั่งที่คาดคิดไว้จริง ๆ ไม่นาน บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็เดินออกมา มองเจี่ยงเถิง แล้วเชื้อเชิญเจี่ยงเถิงเข้าไปอย่างระมัดระวัง
คุณหนูเคยกล่าวไว้ คุณชายเจี่ยงเป็นขุนนางชั้นสูงจะละเลยไม่ได้
เจี่ยงเถิงไม่พูดสิ่งใด กระทั่งเดินตามเข้ามาข้างใน ไม่นานก็เจอกับลู่เหยา
“คุณชายเจี่ยงมาหาข้าถึงที่นี่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?” ลู่เหยาคาดไม่ถึงว่าเจี่ยงเถิงจะมาหานางถึงที่นี่ ถึงอย่างไรนางก็รู้ข่าวที่เจี่ยงเถิงสลบไสลไม่ได้สติ
ตอนนี้ฟื้นแล้วก็ควรอยู่กับพี่หลินซือไม่ใช่รึ? เหตุใดถึงมาที่นี่?
“แน่นอนว่ามีบางเรื่องที่ยังสงสัย ได้โปรดคุณหนูลู่ช่วยชี้ความกระจ่างให้ข้าด้วย”
“คุณชายเจี่ยงเชิญพูด”
“วันนั้น คุณหนูลู่ขวางรถม้าของข้า เพราะมีคนสั่งการใช่หรือไม่?”
“คุณชายเจี่ยงหมายความว่าอย่างไร? วันนั้นข้าประสบกับปัญหาบางอย่าง จึงขอความช่วยเหลือจากคุณชายเจี่ยง ใครเลยจะรู้ว่าคุณชายเจี่ยงจะไม่อ่อนโยนกับสตรี ทั้งยังทิ้งข้าไว้ข้างทางด้วย”
ลู่เหยาจำได้ขึ้นใจว่าห้ามเปิดโปงองค์รัชทายาทเด็ดขาด นางย่อมบอกความจริงกับเจี่ยงเถิงไม่ได้ แต่คำโกหกของนางจับได้ง่ายเกินไป จะปิดบังเจี่ยงเถิงได้อย่างไร
“ใช่รึ? แต่ตอนที่คุณหนูลู่พูดกลับไม่กล้ามองตาข้า หรือกลัวจะเผยพิรุธ?”
“ข้า…ข้าแค่เวียนหัวเท่านั้น คุณชายเจี่ยงน่าจะรู้ดีว่าวันนั้นข้าถูกโจรจับตัวไป ต่อมาก็หลบไสลไปหลายวัน แต่ข้าฟื้นก่อนคุณชายเจี่ยงเท่านั้น”
“คุณหนูลู่โน้มน้าวใจเก่งยิ่งนัก ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาททรงเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่?” ครั้นเห็นลู่เหยา เจี่ยงเถิงก็นึกถึงความลำบากที่หลินซือได้รับเหล่านั้น จึงไม่อาจอ่อนโยนต่อสตรีผู้นี้ได้
บางครั้งเขาก็ไม่ชอบองค์รัชทายาท ด้านหนึ่งปากบอกชอบอาซือ แต่กลับทำร้ายอาซือมาโดยตลอด อีกด้านหนึ่งก็ไม่ชัดเจนกับลู่เหยา การชื่นชอบของบุคคลสูงส่ง ช่างไร้ราคายิ่งนัก
“เหตุใดวาจาของคุณชายเจี่ยงช่างเจ็บปวดเช่นนี้ ช่วงนี้จวนของข้าไม่ค่อยสงบนัก ข้าเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปตอบคำถามของคุณชายเจี่ยงด้วย ถ้าวันนี้คุณชายเจี่ยงจะมาถือโทษเอาผิด ต้องขออภัยเพราะข้าไม่มีเวลาจะมารับมือ ได้โปรดคุณชายเจี่ยงค่อยมาใหม่คราวต่อไปนะเจ้าคะ”
ช่วงนี้ชีวิตของลู่เหยาไม่ค่อยราบรื่นนัก ตู้เหิงก็ตั้งครรภ์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับทุกคนในจวน แต่นางกลับไม่เป็นเช่นนี้
นางรู้มาตลอด เพราะความสัมพันธ์ของนาง ดังนั้นมารดาจึงเข้ากับตระกูลลู่ไม่ได้ นางจึงกลายเป็นความหวังเดียวของมารดามาโดยตลอด
จนบางครั้งรู้ทั้งรู้ว่าเรื่องที่มารดาทำไม่ถูกต้อง แต่ครั้นลู่เหยานึกถึงสถานการณ์ที่ตู้เหิงต้องเผชิญในตระกูลลู่ นางจึงจำใจต้องทำ เพราะกลัวว่ามารดาจะไม่พอใจ
แต่บัดนี้ มารดากลับบอกนางว่าต่อไปนางจะมีน้องชายอีกคน ลู่เหยาไม่รู้ว่าควรจะต้องดีใจหรือเสียใจไปชั่วขณะหนึ่ง
เหตุผลที่ดีใจคือ ถ้ามีน้องชายจริง ต่อไปมารดาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นในจวนลู่แน่นอน ไม่ต้องทนสายตาดูถูกของผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกัน นางจะไม่ใช่ความหวังเดียวของผู้เป็นมารดาอีก นางเป็นแค่ลูกสาวคนหนึ่ง ต่อไปถ้าออกเรือนคงต้องจัดการเองอย่างช่วยไม่ได้
ถ้ามีน้องชายจริง มีความเป็นไปได้ว่าต่อไปบิดาของตนอาจจับตนหมั้นหมายกับคนที่มีประโยชน์ต่อสายอาชีพของเขาแน่นอน
เพราะเหตุนี้ ช่วงนี้ลู่เหยาจึงนอนไม่หลับ เอาแต่นึกถึงเรื่องนี้ในทุกวัน นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบ จนสีหน้าของนางดูไม่ค่อยดีนัก ครั้นได้ยินว่าเจี่ยงเถิงมาหาถึงที่นี่ จึงรีบแต่งแต้มสีหน้าให้ชมพูเล็กน้อยเพื่อให้สีหน้าของตัวเองดูดีขึ้น
“ทำไม คุณหนูลู่กล้าทำแต่ไม่กล้ารับรึ? อีกอย่าง ข้าน้อยเจี่ยงเถิงเป็นเพียงขุนนางชั้นต่ำ ไม่ต้องถือศักดิ์ศรีเพียงนั้น คุณหนูลู่น่าจะอธิบายได้?” เจี่ยงเถิงไม่ใช่คนที่จะคบค้าสมาคมได้ง่าย ๆ
ก่อนหน้านั้นเพราะเห็นแก่หน้าของอาซือ จึงพยายามดีกับลู่เหยา
แต่หลังจากรู้ว่าลู่เหยาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาซือต้องกระโดดหน้าผา ความสงสารเพียงส่วนเดียวของเจี่ยงเถิงที่มีต่อลู่เหยาถูกโยนทิ้งไปหมดสิ้น
แตะต้องเขาได้ แต่แตะต้องอาซือของเขาไม่ได้
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้ เพียงแต่ช่วงนี้ในจวนของข้ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ข้าไม่มีกระจิดกระใจจะมาคิดเรื่องอื่น ถ้าคุณชายเจี่ยงเชื่อข้า ไว้ข้ามีเวลา ข้าจะนำของขวัญขอโทษไปให้พี่หลินซือถึงที่ ดีไหม?”
“ของขวัญขอโทษ? ข้าว่าอาซือคงไม่รับของขวัญชิ้นใหญ่ของคุณหนูลู่ ขอแค่คุณหนูลู่จงทำตัวเป็นคุณหนูลู่ดี ๆ หยุดมาหาอาซือ ข้าจะขอบคุณคุณหนูลู่มาก”
“ข้ารู้ คุณชายเจี่ยงวางใจ ต่อไปข้าจะไม่ไปหาพี่หลินซืออีก” ลู่เหยารู้สึกลำบากใจอยู่ภายใน พี่หลินซือเป็นคนดี แต่พวกนางเป็นพี่น้องกันไม่ได้อีก