ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 688 เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้จนหมดสภาพเช่นนี้
บทที่ 688 เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้จนหมดสภาพเช่นนี้?
บทที่ 688 เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้จนหมดสภาพเช่นนี้?
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ ข้าจะไปส่งเจ้าก่อน มิเช่นนั้นดึกเกินไปจะอันตราย”
เหยาเอ้อหลางเอ่ยพลางเตรียมพาปี้ชุนออกจากที่นี่
แต่ครั้นปี้ชุนเห็นท่าทางของเหยาเอ้อหลางในตอนนี้ จึงพยายามเลี่ยงตอบ และจู่ ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
“เจ้าไม่พูดก็ช่างเถอะ ข้าไม่สนหรอก ข้าไม่ต้องการให้เจ้าไปส่ง ข้ากลับเองได้”
ปี้ชุนเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงักลง ครุ่นคิดทั้งที่นางเดินออกมาไกลเพียงนี้ เหตุใดเหยาเอ้อหลางถึงไม่ไล่ตามนางมา?
หรือเพราะตัวเองเดินเร็วเกินไป เขาจึงไม่ไล่ตามมา ปี้ชุนจึงผ่อนความเร็วลง แต่หลังจากรอเป็นอยู่นานก็ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวใด
นางรีบหันกลับไปมอง ปรากฏว่านอกจากกลุ่มคนที่เดินกันขวักไขว่ไปมาแล้ว ถนนสายยาวที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุดนั้น กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเหยาเอ้อหลาง
ปี้ชุนกระทืบเท้าข้างหนึ่งด้วยความโกรธเกรี้ยว คิดว่าในใจของเขาคงไม่ได้สนใจนาง ไม่มีแม้แต่จะไล่ตามนางมา
จู่ ๆ นางก็รู้สึกเสียใจทันใด หมุนกายและเดินจากไป
ผลลัพธ์คือในตอนนี้เองเกิดความโกลาหลระลอกหนึ่งท่ามกลางฝูงชนที่เดินกันอย่างขวักไขว่
ชายชุดดำคลุมหน้ากากกลุ่มหนึ่งถลันออกมาจากฝูงชน คมดาบในมือของแต่ละคนตวัดมาทางปี้ชุน
ชาวบ้านโดยรอบพากันตื่นตระหนกตกใจร้องเสียงหลงกันเป็นระลอก วิ่งหลบไปรอบทิศเสียวุ่นวาย ฝูงชนเริ่มเบียดเสียดและแออัดมากขึ้น จนชนกันและกัน
ปี้ชุนไม่ทันสังเกต จึงถูกใครบางคนชนเข้าจนล้มไปกองบนพื้น เป็นการเปิดโอกาสครั้งใหญ่ให้แก่ชายชุดดำเหล่านั้นพอดี พวกเขาจึงพากันวิ่งเข้าไปจี้ตัวปี้ชุนอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดถึงต้องจับตัวข้า?”
แม้ว่าในใจจะหวาดกลัว แต่ก็ยังฝืนทำเป็นใจดีสู้เสือ
แต่ชายชุดดำคลุมหน้าเหล่านั้นไม่คิดจะให้โอกาสปี้ชุนได้พูด พุ่งตรงไปหานางอย่างไม่รีรอ
เสียงโลหะกระทบกันเป็นประกายไฟสีแดงสาดกระจายออกมา ปี้ชุนเห็นเหยาเอ้อหลางปรากฏกายอยู่หน้าของตัวเองพร้อมกับดาบในมือ ขวางคมดาบของฝ่ายตรงข้ามไว้
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางหมุนตัวกลับมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนจะเอ่ยถามปี้ชุน
“ข้าไม่เป็นไร”
ปี้ชุนมีใบหน้าซีดเผือดลง จึงรีบส่ายสะบัดหน้า
ปรากฏว่าในตอนนี้เอง คมดาบในมือของชายชุดดำหนึ่งในกลุ่มนั้นเล็งเป้ามายังเหยาเอ้อหลางหมายจะปลิดชีวิต
ด้วยความตื่นตกใจนางรีบตะโกนเสียงแหลมออกไปทันที “ระวังด้านหลัง!”
เวลานี้เหยาเอ้อหลางกำลังสนใจความปลอดภัยของปี้ชุนอยู่ ต่อให้ปี้ชุนเตือนเขาได้ทันท่วงที
แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองมันก็สายเกินไปแล้ว คมดาบของชายชุดดำผู้นั้นได้เฉียวแขนของเหยาเอ้อหลางไปโดยไม่ทันตั้งตัว
ส่งผลให้เลือดสีแดงสดสาดกระจายออกมาฉับพลัน เลือดสดที่ทะลักออกมาได้สาดกระจายใส่ดวงตาของปี้ชุน
กระทั่งสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนผ่าว นั่นคือเลือดของเหยาเอ้อหลาง
ปี้ชุนรู้สึกถึงหัวใจที่ถูกบีบรัด ดวงตาเบิกกว้างมองเหยาเอ้อหลางตรงหน้า ก่อนจะรุดหน้าเข้าไปคว้าตัวเขาเตรียมวิ่งหนี
แต่เหยาเอ้อหลางกลับสะบัดแขนของปี้ชุนอย่างรุนแรง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าไปก่อน ข้าจะปิดหลังให้เจ้า อย่าให้คนพวกนี้จับตัวเจ้าได้เด็ดขาด!”
“ข้าไม่… ข้าไม่อยากให้เจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพัง พวกเขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”
เวลานี้ปี้ชุนเกิดความกลัวในใจ กลัวว่าเหยาเอ้อหลางจะได้รับอันตราย
แต่ตอนนี้สถานการณ์มันคับขัน
เหยาเอ้อหลางไม่อยากล่าช้าเกินไป ชายชุดดำในตอนนี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ายังถ่วงเวลากันเช่นนี้ เกรงว่าปี้ชุนคงจะหนีไม่พ้น เขาตะคอกใส่ปี้ชุนด้วยสีหน้าตึงเครียด “ข้าบอกให้เจ้าหนีไป!”
เหยาเอ้อหลางไม่เคยโหดร้ายเช่นนี้กับปี้ชุนมาก่อน จึงทำให้ปี้ชุนตื่นตระหนกตกใจจนตะงันอยู่ที่เดิม ตามมาด้วยน้ำตาที่หลั่งรินออกมา จากนั้นก็หมุนตัวแล้วหนีไป
ครั้นเห็นปี้ชุนจากไปอย่างปลอดภัยแล้ว เหยาเอ้อหลางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ขอแค่ปี้ชุนปลอดภัย เรื่องอื่นเขาไม่สนใจแล้ว ต่อให้เขาต้องทิ้งชีวิตไว้ตรงนี้เขาก็ไม่ลังเล
ปี้ชุนวิ่งตรงไปตลอด ไม่มีการหันกลับไปมองอีกแต่อย่างใด
กระทั่งปี้ชุนวิ่งมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เจอกับองครักษ์ที่มาถึงพอดีจึงรีบพุ่งตัวไปตรงหน้าของพวกเขา
เอ่ยกับพวกเขา “พวกเจ้ารีบไปยังถนนตะวันออกเร็ว ที่นั่นมีฆาตกรกำลังไล่ตามข้า รีบไปเร็วเข้า!”
องครักษ์ได้ยินก็ตรงไปจับตัวฆาตกร ณ ที่แห่งนั้นอย่างไม่ลังเล ครั้นพวกเขาไปถึงชายชุดดำเหล่านั้นก็สลายตัวกันไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงเหยาเอ้อหลางที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นเพียงลำพัง
เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ หาส่วนดีไม่ได้เลย เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส เหล่าองครักษ์จึงรีบพาเขากลับโดยเร็ว
ปี้ชุนได้รับข่าวจึงรีบตรงไปทันที กระทั่งเห็นเหยาเอ้อหลางนอนอยู่บนเตียงสีขาวที่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน นอนแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเพราะความเจ็บปวดที่ลุกลาม
ปี้ชุนรู้ว่า แม้ตอนนี้เขาจะสลบไสล แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งตัว ดังนั้นตอนนี้เขาจะต้องทรมานมากแน่นอน
ถ้าไม่ใช่เพราะนาง เขาคงไม่ต้องมาเจ็บปวดเจียนตายเช่นนี้
ครั้นคิดได้ดวงตาของปี้ชุนก็ค่อย ๆ รื้นด้วยหยาดน้ำตา กระทั่งโผเข้าไปหาตัวเขา
“เจ้าต้องฟื้นนะ ข้ามีเรื่องราวมากมายที่อยากพูดกับเจ้า ก่อนหน้านั้นข้าไม่ควรโกรธเจ้าเลย”
หยาดน้ำตาที่มีค่าดุจอัญมณีของปี้ชุนได้หลั่งรินออกมาจากดวงตา คร่ำครวญจนดวงตาแดงก่ำไปหมด
ไม่สนใจว่าคนอื่นจะโน้มน้าวอย่างไร นางก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นางร้องไห้ตลอดจนเหนื่อยล้าจึงทรุดตัวลงนอนหลับอยู่ข้างเตียงของเหยาเอ้อหลาง
ในห้วงความฝัน จู่ ๆ ปี้ชุนก็ฝันเห็นเหยาเอ้อหลางที่เต็มไปด้วยเลือดสดทั้งตัว ยืนอยู่ตรงหน้าของตัวเอง
จากนั้นก็เห็นเขาที่ค่อย ๆ หมดลมหายใจลงทีละนิดตรงหน้านาง
ปี้ชุนรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังถูกบีบรัดเข้าด้วยกันมากขึ้น เจ็บปวดร้าวรานราวกับจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ
“เหยาเอ้อหลาง!”
ปี้ชุนสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
ลืมตาโพลงด้วยความสะลึมสะลือ กระทั่งเห็นเหยาเอ้อหลางกำลังนอนหายใจคงที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง ไม่เหมือนอย่างที่นางฝันไว้ จึงโล่งใจยกใหญ่
ในตอนนี้เอง ปี้ชุนเห็นนิ้วมือที่นิ่งสงบมาตลอดของเหยาเอ้อเหลางเกิดกระดุกกระดิก ลูกตามีการเคลื่อนไปมาสองสามครั้งเป็นการตอบสนอง
นางกุมมือของเขาแน่นด้วยความตื่นตกใจ “เจ้าจะฟื้นแล้วใช่ไหม? เจ้าฟื้นขึ้นมามองข้าสิ!”
ความตื่นเต้นนี้ ปี้ชุนเริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นอีกครั้งพาให้นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำ
เวลานี้เหยาเอ้อหลางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้น ค่อย ๆ เอื้อมไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของปี้ชุนอย่างเบามือ
“เด็กโง่ ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย เหตุใดต้องร้องไห้จนหมดสภาพเช่นนี้? คงเจ็บตาแย่ใช่ไหม?”
ครั้นได้ยินคำพูดที่อบอุ่นของเหยาเอ้อหลาง ปี้ชุนก็พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเสียยกใหญ่
โชคดีที่อาการนี้ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นช่วยชีวิตไม่ได้ นางยังมีโอกาสได้พูดคุยกับเขา
“ดวงตาข้าเจ็บคงไม่เท่ากับบาดแผลบนร่างกายของเจ้าหรอก เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ได้สนใจข้ามิใช่รึ? ในใจของเจ้าไม่ได้ชอบข้าเหมือนกันใช่หรือไม่? เหตุใดเจ้าต้องไม่ยอมรับด้วย?”
ปี้ชุนกุมมือของเหยาเอ้อหลางไว้แน่น เวลานี้นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางไม่สนแม้แต่ความหวงเนื้อสงวนตัวของสตรีอีก
นางรู้แค่ว่าถ้าไม่พูดให้เขารับรู้อีก บางทีหลังจากนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว
“ข้าชอบเจ้า”
ปี้ชุนหลับตาโพล่งสามพยางค์นี้ออกไป กระทั่งรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่จับตัวเหยาเอ้อหลางกลับจวนโดยไม่ได้ตั้งใจ ในใจของนางก็ผูกติดกับเขามาโดยตลอด
ผลลัพธ์ผ่านไปครึ่งค่อนวัน นางไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเหยาเอ้อหลาง จึงคิดว่าเขาคงไม่มีทางปฏิเสธนางกระมัง?
จากนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาอย่างช้า ๆ ด้วยความรู้สึกสับสนในใจ
กระทั่งเห็นท่าทีของเหยาเอ้อหลางกำลังอึ้งงันราวกับยังไม่ได้สติกลับมา และมองมาทางตนอย่างไม่วางตา
ริมฝีปากเรียวบางเผยอขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าควรจะพูดกับตนอย่างไร
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ชอบข้า ข้าแค่อยากบอกเจ้าด้วยใจจริง ข้าชอบเจ้า ข้ากลัวว่าถ้าข้าไม่พูดตอนนี้จะไม่มีโอกาสได้พูดอีก”
——————————————–