ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 69 ชื่อหลินเซินเป็นอย่างไร
บทที่ 69 ชื่อหลินเซินเป็นอย่างไร
น้ำเสียงเย็นชาของหลินเหราราวกับหิมะแรกใต้แสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ละลายซึมซับเข้าไปในดินที่แห้งแล้งของหัวใจอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเหยาซูได้ยินน้ำเสียงที่อยู่ข้าง ๆ นางก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้ายอมรับว่าตัวข้านั้นเกลียดตระกูลหลิน เด็ก ๆ เองก็ปฏิเสธสถานที่แห่งนั้นเช่นกัน ในฐานะบิดา ท่านมีความรับผิดชอบมากที่คิดแยกออกจากตระกูลภายใต้ความกดดันนั้นและกลับมาดูแลพวกเขา แต่ก็ยังเป็นความรับผิดชอบของข้าที่เป็นมารดาของพวกเขาด้วย ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า นอกจากนี้ข้าเองก็รักเด็ก ๆ ย่อมต้องพยายามเพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นอย่างดีที่สุด”
นางยิ้มบา ไม่ได้สนใจความหวั่นไหวในหัวใจใด ๆ
เมื่อนางกอดซานเป่าและเอ่ยคำว่า ‘ความรัก’ หัวใจของหลินเหรานั้นราวกับถูกสัมผัสโดยบางสิ่ง ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่คุ้นเคยและสวยงาม
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้น “อาซู เจ้า…”
ความรักมีลักษณะเช่นไร? เป็นสิ่งที่ข้าเห็นอยู่ตอนนี้ใช่หรือไม่ ความอบอุ่นของเด็ก ๆ การดูแล และการคาดหวัง?
“ท่านพ่อ! เรามาตั้งชื่อแพะกันดีไหมขอรับ?”
อาจื้อพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขัดความคิดของหลินเหรา ความรู้สึกที่พองตัวก็ปั่นป่วนขึ้นทันที และค่อย ๆ สลายไปจนกระทั่งไม่เหลือสิ่งใด
“ข้าเพิ่งบอกน้องสาวไปเรื่องชื่อของม้าขอรับ”
อาจื้อไม่รู้ตัวว่าตนได้รบกวนความคิดของบิดา เพียงดึงแขนเสื้อของหลินเหราอย่างกระตือรือร้น “เอ้อเป่า ก็บอกว่าคงหวู่เป็นชื่อที่เพราะมากขอรับ”
เหยาซูมองไปที่อาจื้อด้วยความประหลาดใจ “ตั้งชื่อม้าของท่านพ่อว่าคงหวู่อย่างนั้นหรือ ทำไมถึงใช้แซ่คงเล่า?”
ความอยากรู้อยากเห็นของนางนั้นคล้ายกับหลินเหรา ซึ่งหาได้ยาก
อาจื้อจึงอธิบายอีกรอบ “ไม่ใช่แซ่คง แต่เป็นคงหวู่ที่แปลว่ามีพละกำลัง…ท่านพ่อบอกว่าสามารถเรียกมันว่าหลินคงหวู่ได้”
หลินเหราขมวดคิ้ว “พ่อพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
อาจื้อเริ่มหยอกล้อ “ท่านพ่อบอกว่าขอเพียงท่านแม่ไม่คัดค้านก็…”
คราวนี้เหยาซูยืนอยู่ข้าง ๆ หลินเหราไม่ลังเลที่จะพูดขึ้นมาว่า “แม่คัดค้าน”
ชื่อหลินคงหวู่ที่ใช้เป็นชื่อม้านั้นแปลกประหลาดเกินไป! นางไม่เห็นด้วยกับลูกชายของนางที่จะเดินไปบนเส้นทางแห่งความสุนทรีย์
นางจงใจหยอกล้อลูกชาย “เอ้อเป่าตั้งชื่อกระต่ายน้อยที่พึ่งซื้อมาก่อนหน้านี้ฟังดูไพเราะทีเดียว ต่อไปต้าเป่าไม่ต้องเป็นคนตั้งชื่ออีกแล้วนะ”
อาจื้อเบิกตากว้างราวกับว่าไม่เชื่อว่านี่คือสิ่งที่ท่านแม่พูดออกมาจึงตะโกนอย่างโมโห “ท่านแม่!”
เมื่อเห็นท่าทางไม่อยากจะเชื่อของอาจื้อ เหยาซูก็หัวเราะ ‘ฮ่า ๆ ๆ’ อาซือหัวเราะ ‘คิกคัก’ อยู่ด้านข้าง ซานเป่าไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น มือหนึ่งกำผมที่ปรกลงมาของมารดาเบา ๆ เผยให้เห็นฟันขาวขนาดเท่าเม็ดข้าวสองซี่
ครอบครัวห้าคนและแพะตัวเมียพี่พึ่งคลอดลูกอีกหนึ่งตัวเดินกลับบ้านอย่างรื่นเริง
ระหว่างทางหลินเหราก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาสลักรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาของเหยาซูไว้ในใจ
หลังจากเกิดข้อสงสัยและการทะเลาะวิวาทกัน การมาตระกูลเหยาในวันนี้ได้เข้ามาช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับเหยาซูและหลินเหราไม่น้อย
เหยาซูสังเกตว่านางพยายามที่จะไม่เปิดเผยความแตกต่างให้เป็นจุดผิดสังเกต ในขณะเดียวกันนางแค่เพียงแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาและมองดูหลินเหราที่อยู่ในห้องใต้ชายคาเดียวกัน
หลินเหรายังคงสงสัยอยู่ แต่เขาไม่สามารถต้านทานความอบอุ่นที่เหยาซูแสดงออกมาได้
พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายวันและช่วยกันดูแลลูก ทว่าถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ยังคงระแวดระวังกันและกัน
หลายวันมานี้ไม่รู้ว่าหลินเหราหาใบมีดเก่า ๆ มาจากที่ไหน เขาเริ่มลับมันและใช้เวลาทั้งวันในการโกนหนวด
เหยาซูเห็นแล้วขำขันทว่าก็รู้สึกผิดต่อเขา วันนี้เป็นงานชุมนุมใหญ่เดือนละครั้งในเมืองพอดี เหยาซูจึงตั้งใจที่จะไปซื้อของใช้ที่จำเป็นให้หลินเหรา
เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ การค้านางก็เริ่มต้นอีกครั้ง
ในตอนเช้าตรู่ ครอบครัวทั้งห้าคนกินอาหารเช้าร่วมกัน อาจื้อและอาซือกำลังให้อาหารม้าในลานบ้านอย่างกระตือรือร้น
เหยาซูจึงพูดกับหลินเหราว่า “วันนี้ไม่มีอะไรทำ ท่านตามข้าเข้าไปในเมืองด้วยกันเถอะ จะได้ไปซื้อของใช้ที่จำเป็นกลับมา”
หลินเหราไม่ได้คัดค้านและถามว่า “แล้วเด็ก ๆ เล่า?”
เหยาซูสวมเสื้อผ้าฝ้ายให้ซานเป่าพลางตอบว่า “ต้าเป่าและเอ้อเป่าต้องเขียนหนังสือกับพี่ใหญ่ทุกวัน ซานเป่ามอบให้ท่านแม่ดูแลก็พอแล้ว”
หลายวันมานี้หลินเหรามักจะอุ้มซานเป่าอยู่บ่อย ๆ ตอนนี้ทารกน้อยรู้จักเขาแล้ว เขามองพ่อตัวเองแล้วเผยรอยยิ้มที่งดงามออกมาพร้อมกับฟันสองซี่ พูดอ้อแอ้ในสิ่งที่ทารกเท่านั้นที่จะฟังเข้าใจ
“เอาล่ะเด็กน้อยอย่าหัวเราะ น้ำลายไหลหมดแล้ว”
เหยาซูหัวเราะเยาะเขา
ซานเป่ายังคงเป็นเด็กเล็ก ไหนเลยจะเข้าใจการหยอกล้อของท่านแม่ได้ เมื่อเห็นแก้มที่พองโตของลูกชายคนเล็ก หลินเหราก็ยกมุมปากขึ้น เขาเชิดคางของลูกน้อยและเช็ดด้วยผ้าสะอาด หลังจากนั้นพูดกับเหยาซูว่า
“ตอนนี้ซานเป่ายังไม่มีชื่อ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เด็กชาวชนบทมักจะมีชื่อช้าเพราะพ่อแม่เป็นกังวลเกี่ยวกับการตายของเด็ก จึงมักจะเรียกด้วยชื่อเล่นตั้งแต่เด็ก
เหยาซูลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกถึงชื่อของซานเป่าในหนังสือต้นฉบับนิยาย
นางจึงเอ่ยถามหลินเหราว่า “ท่านอยากให้เขาชื่อว่าอะไร?”
หลินเหราคิดอยู่สักครู่ก่อนจะพูดว่า “ชื่อของอาจื้อและอาซือ มาจากใจและคำว่าภักดีซึ่งเป็นคำที่ดี…”
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เขาก็เห็นคิ้วอันละเอียดอ่อนของเหยาซูพันกันเป็นปม และการแสดงออกที่ไม่มีความสุข
หลินเหราเห็นว่าท่าทางของนางไม่ค่อยมีความสุขจึงพูดว่า “แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องทำตามชื่อของพวกเขา นอกจากนี้เจ้าเองก็ตั้งชื่อให้กับซานเป่ามาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นควรจะใช้ความคิดเห็นของเจ้าเป็นหลัก”
เหยาซูไม่ชอบชื่อของจอมวายร้ายที่มืดมนและชั่วร้ายที่สุดในหนังสือนิยายต้นฉบับ ‘หลินซ่ง’ ที่แปลว่า ‘ตาย’ ฟังดูแล้วไม่เป็นมงคลเสียเลย
ซานเป่าเติบโตมาในอ้อมแขนของนาง ในใจของนางมีเป็นหมื่นคำที่พยายามโต้เถียงและไม่เต็มใจที่จะให้นางตั้งชื่อนี้ให้กับลูกชาย
หากไม่ใช่เพราะต้าเป่าและเอ้อเป่าถูกเรียกขานว่าอาจื้อและอาซือจนชิน นางก็คงจะเปลี่ยนชื่อให้เด็กทั้งสองไปพร้อม ๆ กัน
เมื่อเหยาซูเห็นว่าน้ำเสียงของหลินเหราเปลี่ยนไป เหยาซูจึงพยักหน้าว่า “หากมีโอกาสในอนาคตข้าหวังว่าเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้อ่านเขียนมากยิ่งขึ้น แม้จะไม่มีอาชีพเกี่ยวกับราชการแต่ก็อยากให้เรียนรู้หนังสือ อีกอย่างชื่อของเขานั้นเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวเขาไปตลอดชีวิต เราควรระมัดระวังและพิจารณาให้มากกว่านี้”
หลายวันมานี้หลินเหราได้เดินทางไปบ้านตระกูลเหยาหลายครั้งและยังได้เรียนรู้ทักษะของเหยาเฉาที่ใช้ในการเกลี้ยกล่อมภรรยามาไม่น้อย เขาจึงทำเพียงพูดเสียงอ้อมแอ้มว่า “อาซูเจ้าฉลาด อ่านหนังสือมามากกว่าข้า งั้นเจ้าตัดสินใจเถอะ”
คำพูดของหลินเหราทำให้ความอึดอัดใจของนางหายไป
หลังจากที่ใส่เสื้อผ้าฝ้ายของซานเป่าเสร็จ เด็กน้อยก็ยื่นแขนออกมาเพื่อให้บิดาอุ้ม เหยาซูจึงวางเด็กไว้ในมือของหลินเหรา แท้จริงแล้วเหยาซูนั้นเคยคิดถึงชื่อของซานเป่ามานานแล้วทว่าตอนนั้นหลินเหรายังไม่ได้กลับมาทุกอย่างคงต้องคิดใหม่
ตอนนี้พ่อของลูกได้กลับมาแล้วและไม่ดื้อรั้นอย่างที่นางคิดเอาไว้
เหยาซูจ้องมองลูกชายคนเล็กที่เคลื่อนไหวอยู่ในอ้อมแขนของบิดา ดวงตาเป็นประกายราวกับไข่มุกดำ มองซ้ายมองขวามองพ่อทีและก็หันมามองแม่ที
เด็กทารกส่งเสีย ‘อ๊า’ ‘อ๊า’ เหมือนเด็กสมัยนี้ที่กำลังเรียกแม่ เหยาซูจับมือของซานเป่ามุมปากของนางยกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
“ซานเป่าเรียกแม่อยู่หรือ? อย่าใจร้อน อีกไม่กี่เดือนเจ้าก็สามารถพูดคุยได้แล้ว…”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของภรรยา ใบหน้าที่เย็นชาของหลินเหราก็ละลายลงและอ่อนโยนเป็นพิเศษ “ซานเป่าเหมือนกับเจ้า เขาฉลาดมาก”
เหยาซูขำพรืด นางรู้สึกว่าการกระทำของเขานั้นถูกกลั่นกรองมาอย่างละเอียด
เดิมทีนางคิดชื่อไว้หลายชื่อแล้ว ทว่าพอจะหลุดปากออกมากับเปลี่ยนเป็นอีกชื่อหนึ่ง
“ท่านคิดว่าชื่อหลินเซินเป็นอย่างไร?”
ยามอยู่ในป่าลึกพบเจอกวางตัวหนึ่ง
เหยาซูนึกได้ว่าครั้งแรกที่นางเห็นผู้ชายคนนี้ หัวใจของนางก็เต้นระรัวราวกับกวางน้อยกำลังกระโจน
ติดเพียงว่าหากเขาไม่ใช่พระเอกของเรื่องที่ในอนาคตจะต้องไปรักคนอื่นแล้วล่ะก็…
หลินเหราไม่ได้สังเกตเห็นความหมายแฝงของชื่อนี้ แต่สังเกตจากใบหน้าของเหยาซูเขาสัมผัสได้ถึงความหมายที่ไม่เคยมีมาก่อน เขามองไปที่ดวงตาของนาง สายตาพลันค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
“เป็นชื่อที่ดี” เสียงของหลินเหราแหบพร่าเล็กน้อย มือขวาของเขายกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้และจับไปที่ปอยผมของเหยาซูที่ซานเป่ากำลังจับเล่นอยู่ “หลินเซิน เป็นชื่อที่ดีมาก”
ใบหน้าของเหยาซูแดงระเรื่อขึ้นในทันที หัวใจที่เต้นอยู่ในอกของนางนั้นแสดงความรู้สึกออกมาเป็นจังหวะ ใบหน้าเห่อร้อนและแดงก่ำ
นางสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ราวกับว่าจะถอยหลังแต่อดกลั้นไว้ได้
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ท่านแม่หวั่นไหวแต่แรกเห็นเลยนี่นา แต่ดูเหมือนว่าต่อไปท่านพ่อน่าจะไม่ไปรักนางเอกนิยายแล้วล่ะมั้ง
ไหหม่า(海馬)